บทที่ 508 เมืองศักดิ์สิทธิ์ชินหยาง
แดนกลางฝั่งเหนือ ท้องฟ้าเหนือแม่น้ำแห่งหนึ่ง
คนทั้งหกจากอาณาจักรนภานั่งอยู่บนหลังของปักษายักษ์ มุ่งหน้าตรงไปยังจุดหมาย เวลาส่วนมากของจ้าวเฟิงถูกใช้ไปกับการนั่งขัดสมาธิฟื้นฟูพลัง
หลังจากกลับมาจากซากปรักหักพังสือเฉิง จ้าวเฟิงก็ได้ฝึกฝน ‘อนุสรณ์วายุอัสนีโบราณ’ และ ‘หอกจักรพรรดิเหมันต์’ สองวิชามรดกไปพร้อมๆ กัน
สิ่งแรกมุ่งเน้นไปในด้านเคล็ดวิชา อีกสิ่งหนึ่งมุ่งเน้นไปยังการใช้พลังสายเลือดของเขา นับว่าช่วยเหลือได้ในระดับหนึ่ง
ระหว่างมรดกทั้งสอง จ้าวเฟิงให้ความสำคัญกับมรดกอนุสรณ์วายุอัสนีโบราณมากกว่า เพราะมรดกวิชานี้สมบูรณ์แบบกว่า ทั้งเมื่อเทียบกับมรดกอื่นๆ แล้วยังนับว่าเป็นมรดกชั้นยอด โดยเฉพาะแก่นแท้ด้านความเร็วของมรดกจากมหาจักรพรรดิวายุอัสนีที่ยากจะหามรดกใดมาเทียบเคียง ทว่าข้อมูลมรดกภายในหอกจักรพรรดิเหมันต์นับว่าไม่สมบูรณ์และพร่าเลือนกว่ามากนัก ส่วนมากจึงมุ่งเน้นไปยังการใช้อาวุธวิเศษชั้นพิภพนี้
ทุกวันนี้
ปราณวายุอัสนีได้ถือกำเนิดขึ้นในร่างของจ้าวเฟิง สีสันเขียวเข้มลึกล้ำของมันก่อนหน้าได้ส่องประกายสีม่วงอ่อนจางขึ้น ทว่าเป็นเพียงราวๆ หนึ่งในยี่สิบส่วนของวายุอัสนีสีเขียวเท่านั้น
แม้กระนั้น จ้าวเฟิงก็ยังรู้สึกยินดีอย่างมาก
นี่เป็นหลักฐานว่าการทำความเข้าใจฝึกฝนอนุสรณ์วายุอัสนีโบราณของเขาได้เริ่มพัฒนาเข้าสู่ระดับวายุอัสนีสีม่วงแล้ว
“ตามข้อมูลของมรดกแล้ว ‘วายุอัสนีสีม่วง’ มีเสวียนอ้าวของการทำลายล้างอยู่ พลังในการทำลายของมันจะเพิ่มขึ้นสู่ระดับใหม่อย่างสิ้นเชิง ผลจากการที่ถูกวายุอัสนีที่มีเสวียนอ้าวแห่งการทำลายล้างโจมตี บาดแผลนั้นจะเกิดการต่อต้านการฟื้นฟูขึ้น”
จ้าวเฟิงทำความเข้าใจอนุสรณ์วายุอัสนีโบราณเป็นเวลานาน รู้ว่าทุกครั้งที่วายุอัสนีพัฒนาขึ้นไปอีกระดับจะเกิดความเปลี่ยนแปลงแตกต่างมากกว่าเดิมนับสิบเท่า
ในยามนี้
เสียงๆหนึ่งดังขึ้นผ่าน ‘เมล็ดใจทมิฬ’ “นายท่าน หลังจากที่เข้ามาในทวีปกลางแล้ว เราสามารถรวบรวมทรัพยากรได้มากขึ้น ยามนี้ข้าสร้างหุ่นเชิดศพขั้นนายเหนือแท้ได้ 2-3 ตัวแล้ว”
ความจริงแล้ว
การที่จ้าวเฟิงมายังทวีปกลาง การเข้าร่วมงานน้ำชาเซียนมังกรเป็นเพียงเป้าหมายหนึ่งเท่านั้น ทวีปกลางเองก็มีทรัพยากรมากกว่า สามารถสนับสนุนการฝึกตนของเขา และอาจกระทั่งช่วยทำให้ ‘แผนการร้อยศพ’ ของเขาเสร็จสิ้นได้
หากความแข็งแกร่งของจ้าวเฟิงพัฒนาขึ้นไปได้อีก และแผนการหนึ่งร้อยศพเสร็จสมบูรณ์ ก็จะไม่มีขั้วอำนาจใดที่จ้าวเฟิงจะต้องหวาดกลัวอีกในทั้งทวีปนี้
“เจ้าหอโครงกระดูก”
น้ำเสียงของจ้าวเฟิงพลันปรากฏความเย็นเยียบขึ้น ส่งเสียงผ่าน ‘เมล็ดใจทมิฬ’ ดังก้องขึ้นในสมองของเจ้าหอโครงกระดูก
เจ้าหอโครงกระดูกสะท้านเฮือก ดวงวิญญาณราวกับรับรู้ถึงลางสังหรณ์เลวร้าย
จ้าวเฟิงลำบากเพียงแค่คิดก็ทำให้ดวงวิญญาณของเขาแหลกสลายได้
“จ้าวเฟิง นี่เจ้า…”
ร่างของเจ้าหอโครงกระดูกแข็งทื่อ ในใจเต็มไปด้วยความตื่นตระหนกหวาดกลัว
ในสถานการณ์ที่ความเข้าใจในศาสตร์แห่งวิญญาณและพลังวิญาณไม่แตกต่างกันมากนัก วิชาประเภท ‘เมล็ดใจทมิฬ’ ของจ้าวเฟิงที่ถูกฝังอยู่ในส่วนลึกของวิญญาณของเจ้าหอโครงกระดูก ฝ่ายหลังก็ไม่มีความเป็นไปได้ที่จะควบคุมมันได้
“มันเหมือนกับว่าเราถูกใครบางคนจ้องมองอยู่ บางทีมันอาจเกี่ยวข้องกับกลิ่นอายบางอย่างบนร่างของเจ้า”
จ้าวเฟิงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
ดวงตาเทพเจ้าของเขามองทะลุจิตใจของเจ้าหอโครงกระดูกในประคำหมื่นวิญญาณ กลิ่นอายบนร่างของเจ้าหอโครงกระดูกมีหลากหลายและยุ่งเหยิงยิ่งนัก ก่อนหน้าจ้าวเฟิงจึงไม่ได้สนใจ
ทว่าหลังจากที่เข้ามาในทวีปกลาง เด็กหนุ่มรับรู้ได้ว่ากำลังถูกจ้องมองโดยใครบางคน ดวงตาเทพเจ้ามักจะรับรู้ถึงบางอย่างได้ ให้ความรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีอย่างอธิบายไม่ได้
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เจ้าหอโครงกระดูกก็เงียบไปชั่วขณะ เปลวเพลิงในเบ้าตาไหวระริกอย่างลังเล
“หากเจ้าไม่ตอบ ข้าก็ไม่ได้ลำบากอันใดที่จะกำจัดข้ารับใช้ที่อาจนำพาอันตรายที่ไม่ล่วงรู้มาได้”
จ้าวเฟิงถือไพ่เหนือกว่า
แม้ว่าความสามารถของเจ้าหอโครงกระดูกจะมาก หนึ่งหรือสองปีข้างหน้าอาจจะสามารถฟื้นฟูสู่ระดับผู้สูงศักดิ์ได้ ทว่าเพื่อความปลอดภัย จ้าวเฟิงก็ไม่ลังเล
“บางทีอาจเป็นคำสั่งเจ้าหอจันทราชาดนี้”
เจ้าหอโครงกระดูกหันศีรษะ เบื้องหน้าร่างปรากฏตราคำสั่งสีแดงโลหิตโปร่งใสลอยอยู่
ตราคำสั่งนั้นราวกับไร้น้ำหนัก กระทั่งดูราวกับไม่มีอยู่จริง ลอยอยู่ในมิติในประคำหมื่นวิญญาณ
“ไม่ธรรมดาจริงๆ”
จ้าวเฟิงสังเกตด้วยดวงตาเทพเจ้าอย่างละเอียด ทว่ากลิ่นอายที่มหาศาลนั้นได้เชื่อมต่อกับกลิ่นอายของเจ้าหอโครงกระดูก หากไม่ตั้งใจก็คงไม่อาจแยกแยะได้
เจ้าหอโครงกระดูกถอนหายใจ:”ประสาทสัมผัสของเจ้าแข็งแกร่งกว่าข้าเสียอีก ตราคำสั่งเจ้าหอจันทราชาดนี้เป็นสิ่งที่สร้างขึ้นโดยกลิ่นอายของข้าและวัสดุแปลกประหลาดของต่างแดนหลอมเข้าด้วยกัน ในด้านการใช้งานสามารถรับรู้สั่งการมันได้โดยกลิ่นอาย อย่างน้อยต้องเป็นระดับเจ้าหอขึ้นไป รวมทั้งผู้อาวุโสจันทราชาดและท่านจ้าวลัทธิ…”
ตราคำสั่งเจ้าหอจันทราชาด
หลังจากที่จ้าวเฟิงได้ยินก็อดที่จะสูดลมหายใจเย็นเยียบเข้าไปไม่ได้ เกิดความรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา หรืออีกนัยหนึ่ง ตัวตนที่จ้องมองจ้าวเฟิงอยู่อยู่ในระดับของเจ้าหอจันทราชาดเป็นอย่างน้อย หรืออาจจะสูงกว่านั้น
หาก ‘จ้าวลัทธิมารจันทราชาด’ อยู่ใกล้ๆ แถวนี้ ย่อมสามารถรับรู้ถึงการคงอยู่ของ ‘ตราคำสั่งเจ้าหอจันทราชาด’ ได้
แน่นอนว่า
จ้าวเฟิงสามารถตัด ‘จ้าวลัทธิมารจันทราชาด’ ออกไปได้ หากตัวตนที่มาเฝ้ามองเขาแข็งแกร่งจริงๆ ย่อมไม่มีสิ่งใดให้ต้องหวาดกลัว
จากนั้นเขาจึงสามารถสรุปได้ว่าผู้ที่กำลังเฝ้ามองเขาอยู่คงจะเป็นตัวตนในระดับเจ้าหอโครงกระดูกในสภาวะก่อนหน้า หรือที่เลวร้ายที่สุดก็คือผู้ที่พลังฟื้นฟูสู่ขอบเขตแก่นก่อกำเนิดแล้ว
“แต่เจ้าอยู่ในประคำหมื่นวิญญาณ ควรจะถูกตัดออกจากโลกภายนอก เหตุใดเราจึงยังถูกจ้องมองอยู่อีก”
จ้าวเฟิงค้นพบจุดน่าสงสัยจึงเอ่ยถามขึ้น
เขาไม่เชื่อว่าด้วยสิ่งของในศาสตร์แห่งวิญญาณในระดับของ ‘ประคำหมื่นวิญญาณ’ จะยังมีกลิ่นอายของเจ้าหอโครงกระดูกที่อยู่ภายในเล็ดรอดออกมาได้อีก ทั้งยังสามารถถูกรับรู้ได้โดยศัตรู
“ตราคำสั่งเจ้าหอจันทราชาดเชื่อมต่อกับกลิ่นอายของข้า เพราะเจ้าติดต่อกับข้าบ่อยๆ ในช่วงนี้ รวมทั้งตัวประคำนี่เองก็ทำให้กลิ่นอายของข้าปนเปื้อนตัวเจ้า วัสดุและวิชาที่ใช้สร้างตราคำสั่งเจ้าหอจันทราชาดไม่ได้มาจากทวีปบุปผาคราม ทว่ามาจากมรดกจันทราชาดเมื่อหลายร้อยปีก่อน มันเองก็มีอีกหลายความสามารถ รวมทั้งการส่งสัญญาณในขอบเขตหนึ่ง หากเจ้าฆ่าข้า กลิ่นอายของมันจะถูกสั่งให้เกาะติดบนร่างของเจ้า ทำให้ยอดฝีมือคนอื่นๆ แกะรอยตามไปแก้แค้นได้…”
เจ้าหอโครงกระดูกเอ่ยตอบ
เมื่อจ้าวเฟิงได้ยินเช่นนั้นก็ยิ่งประหลาดใจ ในโลกต่างแดนที่ยิ่งใหญ่นั้นเต็มไปด้วยสิ่งที่ไม่อาจจินตนาการได้
“แน่นอนว่าหากเจ้าไม่เชื่อข้าก็สามารถทำลายตราคำสั่งเจ้าหอจันทราชาดหรือทิ้งมันไปก็ได้”
เจ้าหอโครงกระดูกเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ
จ้าวเฟิงครุ่นคิดไปสั้นๆ ด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก
ความลึกลับของตราคำสั่งเจ้าหอจันทราชาดนี้ เขาเองก็พอจะรับรู้แล้ว
“หากทำลายมัน คำสั่งของมันจะช่วยสร้างความตื่นตัวให้แก่ศัตรู คนที่คอยเฝ้ามองอยู่นั่นอาจจะลงมือเลย
หากทิ้งมันไปก็ไม่อาจที่จะมั่นใจได้ว่าเจ้าหอโครงกระดูกจะสามารถทำอันใดลับหลังได้หรือไม่ บางทีอาจจะส่งคำใบ้บางอย่างให้กับคนที่กำลังแกะรอยตามมา…”
ความคิดของจ้าวเฟิงแล่นไปอย่างรวดเร็ว
ไม่ช้า เด็กหนุ่มก็ตัดสินใจ ในใจปรากฏแผนที่บ้าบิ่นแผนหนึ่งขึ้น
“เจ้าเก็บตราคำสั่งนั่นไปก่อน”
จ้าวเฟิงสั่ง
เจ้าหอโครงกระดูกอดที่จะรู้สึกคาดไม่ถึงมิได้ จ้าวเฟิงก็รู้ดีว่าตราคำสั่งนี้จะสร้างอันตรายอย่างใหญ่หลวงให้ ทว่ากลับไม่หวั่นไหว ไม่ทำลายหรือทำสิ่งอื่นๆ กับมัน
เขาไม่รู้ว่าจ้าวเฟิงวางแผนอันใดอยู่ ทว่าสิ่งเดียวที่เขามั่นใจคือชีวิตที่น่าสงสารของเขาตกอยู่ในกำมือของอีกฝ่ายอย่างสิ้นเชิง
“จะอย่างไรไพ่ในมือของข้าก็ไร้ประโยชน์ จะเป็นเพื่อนเล่นกับพวกมันนานๆ เสียหน่อยแล้วกัน…”
จ้าวเฟิงปิดเปลือกตาลงอย่างเชื่องช้า ไม่สนใจกลิ่นอายอันตรายบางเบาที่เบื้องหลังอีก
บนหลังปักษา
อัจฉริยะเซียนมังกรของอาณาจักรอีกห้าคนท่าทีร่าเริง ไม่รับรู้เลยว่าตนเองกำลังตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายมากมายเพียงใด
ในเสี้ยวพริบตา เวลาครึ่งเดือนก็ผ่านไป
ในช่วงเวลานี้ ผู้คนที่มาเที่ยวชมก็รับรู้ถึงความกว้างใหญ่ของแดนกลาง ความพัฒนาด้านวิชาของมันนั้นนับว่าเหนือกว่าแดนเหนือ
ในวันนี้
เหล่าคนที่ขี่ปักษามาได้เข้าสู่ม่านภูเขาแม่น้ำที่งดงามแห่งหนึ่ง ในสายตาปรากฏพระราชวังที่สร้างขึ้นจากโลหะสีทองส่องประกายเจิดจ้า พระราชวังโลหะนั้นส่องประกายสีทองเจิดจรัสภายใต้แสงอาทิตย์ แม้จะอยู่ห่างออกไปหลายพันลี้ก็สามารถมองเห็นได้
“เมืองศักดิ์สิทธิ์ชินหยาง”
“ที่นี่คือสถานที่จัดงานน้ำชาเซียนมังกร”
“เมืองศักดิ์สิทธิ์ชินหยางนี้มีคำเล่าขานว่าถูกสร้างขึ้นโดยกษัตริย์สามตาจากวัสดุของต่างแดน จนกระทั่งถึงยามนี้ก็มีประวัติศาสตร์ยาวนานหลายพันปีแล้ว…”
ปักษาหลายตัวเคลื่อนเข้าใกล้เมืองศักดิ์สิทธิ์ชินหยางทีล่ะน้อย ผู้คนเริ่มเก็บสัมภาระของตนเอง เกี่ยวกับเมืองศักดิ์สิทธิ์ชินหยาง จ้าวเฟิงได้ยินเถี่ยหมัวเอ่ยถึงมาบ้างแล้ว
ผู้ครองเมืองศักดิ์สิทธิ์นี้คือตระกูลของสายเลือดดวงตาที่แข็งแกร่งที่สุดในทวีปนั้น ตระกูลชินหยาง
อีกนัยหนึ่ง
งานน้ำชาเซียนมังกรนี้ได้ถูกจัดขึ้นในพื้นที่ของตระกูลของ ‘โอรสสวรรค์สามตา’
เขาคืออันดับหนึ่งของงานชุมนุมเซียนมังกรติดต่อกันสองครั้ง ตระกูลชินหยางนับว่าเป็นตระกูลชนชั้นสูงที่ยิ่งใหญ่ติดสิบอันดับแรกของทวีป การจะจัดงานน้ำชาเซียนมังกรขึ้นที่นี่ ด้านคุณสมบัติแล้วไม่มีสิ่งใดให้ติเตียนได้
“หืม?”
หลังจากที่เข้าใกล้ ‘เมืองศักดิ์สิทธิ์ชินหยาง’ จ้าวเฟิงก็รู้สึกว่ากลิ่นอายอันตรายที่ติดตามมาเบื้องหลังพลันถูกรั้งกลับไป ราวกับว่ายอดฝีมือระดับสูงที่ติดตามมาของลัทธิมารจันทราชาดหวาดกลัวเมืองศักดิ์สิทธิ์ชินหยางอยู่ในระดับหนึ่ง
“มิคาดว่าจะเป็นตระกูลชินหยาง”
ในประคำหมื่นวิญญาณ เจ้าหอโครงกระดูกขบฟันกรอด นัยน์ตาปรากฏความเกลียดชัง ทว่าก็ยากที่จะปกปิดความหวาดกลัวในจิตใจ
จ้าวเฟิงประหลาดใจ กระทั่งผู้ที่แข็งแกร่งอย่างเจ้าหอโครงกระดูกยังดูจะหวาดกลัวตระกูลชินหยางอยู่บ้าง
เป็นไปได้หรือไม่ที่เจ้าหอโครงกระดูกผู้นี้ได้พ่ายแพ้ด้วยน้ำมือของตระกูลชินหยางมาก่อน?
ปักษาใต้ฝ่าเท้าเข้าใกล้เมืองศักดิ์สิทธิ์ชินหยางเข้าไปทุกที
ฟึ่บ ฟึ่บ ฟึ่บ
จ้าวเฟิงนำคนทั้งหกทะยานร่างไปในอากาศ มุ่งหน้าตรงไปยังท้องฟ้าเหนือเมืองศักดิ์สิทธิ์ชินหยางอย่างพร้อมเพรียงกัน เมืองศักดิ์สิทธิ์ชินหยางมีปราสาทขนาดใหญ่และมีตระกูลรับใช้จำนวนมาก จ้าวเฟิงและคนอื่นๆ เพียงเพิ่งเข้าใกล้ก็ได้ดึงดูดความสนใจของยอดฝีมือผู้คุ้มครองของเมืองแล้ว
“ทั้งหกคนยังเยาว์อยู่ ทว่ากลับเป็นผู้ฝึกตนในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงทั้งหมด กระทั่งมีขั้นนายเหนือแท้”
จ้าวเฟิงและคนอื่นๆ เรียงแถวกันเข้าไปในเมืองศักดิ์สิทธิ์ของแดนกลาง เพียงพอที่จะสร้างความวุ่นวายขึ้น
“รายงานไป ผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้จ้าวเฟิงได้มาถึงเมืองศักดิ์สิทธิ์ชินหยางแล้ว”
“ผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้จ้าวเฟิงมาถึงเมืองศักดิ์สิทธิ์ชินหยางแล้ว”
เสียงดังก้องขึ้น ส่งตรงจากภายนอกสู่ภายในปราสาทโลหะ
ชัดเจนว่าผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้อย่างจ้าวเฟิงนั้นง่ายที่จะจดจำนัก
จะอย่างไร งานน้ำชาเซียนมังกรเองก็จะถูกจัดขึ้นในไม่ช้า ตระกูลชินหยางย่อมมีการเตรียมการไว้แล้ว
ในเวลาไม่กี่ลมหายใจ
ภายในปราสาทตระกูลชินหยางได้ระเบิดเป็นความวุ่นวาย โดยเฉพาะเหล่าคนรุ่นใหม่
พวกจ้าวเฟิงทั้งหกเพียงเพิ่งมาถึงเมืองศักดิ์สิทธิ์ชินหยางก็ต้องทนทานต่อสายตาจำนวนมากที่จ้องมองมา
จินไท่จื่อ หวังเสี่ยวก้วย เจียงซานเฟิง และคนอื่นๆ รู้สึกหดหู่อยู่ในใจ ทว่าในเวลาเดียวกันก็รู้สึกตื่นเต้นภูมิใจอย่างอธิบายไม่ถูก
เจียงซานเฟิงและเตี๋ยเย่ ในใจเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ
ในสายตาของตระกูลชนชั้นสูงอันดับหนึ่งของทวีปเต็มไปด้วยความหวาดกลัว นับถือ เลื่อมใส สร้างความรู้สึกพึงพอใจอย่างที่ไม่อาจอธิบายได้
แม้ว่าคนทั้งหมดจะรู้ว่าเกียรติยศทั้งหมดนี้เป็นของจ้าวเฟิงก็ตาม
“เขาคือจ้าวเฟิงหรือ? ใช่ราชาผู้ถูกเลือกที่นามสั่นคลอนทวีปผู้นั้นหรือไม่? นายน้อยของข้ายังไม่ได้รับฉายานามนี้เลยในปีที่ผ่านๆ มา”
ในพระราชวังโลหะ สายตาของข้ารับใช้จำนวนมากเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและชื่นชม จะอย่างไรก็ตาม ผู้ฝึกตนขั้นนายเหนือแท้ที่เยาว์วัยเช่นนี้ ทั่วทั้งทวีปไม่ได้พบเจอได้บ่อยครั้งนัก
“หึ จ้าวเฟิงผู้นี้จองหองยิ่งนัก สายเลือดดวงตาเอาชนะทุกคนในงานชุมนุมเซียนมังกร ยามนี้กล้าเดินเข้ามาในดินแดนของตระกูลสายเลือดดวงตาที่แข็งแกร่งที่สุดในทวีปของข้า”
แน่นอนว่าย่อมมีคนส่วนน้อยที่มีสายตาไม่เป็นมิตร
จ้าวเฟิงเฉยเมย ลอยเข้าไปในปราสาท ไม่ใส่ใจสายตาจำนวนมากของคนตระกูลชินหยางที่มองขึ้นมา
“จ้าวเฟิง จ้าวเฟิง…”
ในตระกูลชินหยางปรากฏเสียงของคนรุ่นใหม่บางคนขึ้น เป็นเสียงของเด็กสาวที่กำลังตกหลุมรักหลายคน