บทที่ 534 กลับคืนสือเฉิง (2)
หลังผ่านห้วงมิติที่วุ่นวายและยุ่งเหยิง ร่างกายของจ้าวเฟิงก็รู้สึกหนักอึ้งขึ้น บึงน้ำส่งกลิ่นเหม็นเน่าปรากฏแก่สายตา
“ไม่ผิดแน่ ต้องเป็นที่นี่แน่นอน”
จ้าวเฟิงมีความทรงจำอย่างลึกซึ้งกับกลิ่นอายของซากปรักหักพังสือเฉิงด้วยเคยอยู่ที่นี่นานหลายเดือน มิติแห่งซากปรักหักพังนี้ ถึงแม้ว่าจะเป็นพื้นที่ธรรมดาๆ แต่ไอสวรรค์กลับเหนือกว่าอาณาจักรนภาถึงสิบเท่า!
ด้วยขอบเขตจิตวิญญาณของจ้าวเฟิง ในขณะที่เขากำลังดำดิ่งสู่ห้วงความคิดอยู่นั้น ไอสวรรค์ที่บริสุทธิ์และทรงพลังก็หลั่งไหลเข้ามา
ฝึกตนในที่แห่งนี้ย่อมง่ายกว่าฝึกที่ทวีปบุปผาครามหลายเท่าตัว
แต่แล้วขณะที่เขายังยืนไม่เต็มเท้า ก็สัมผัสได้ถึงไอแข็งแกร่งที่ตีขึ้นมาจากเบื้องล่างจนพื้นที่ยืนอยู่สั่นไหวน้อยๆ
วิ้ว วิ้ว~
ในบึงเหม็นเน่าด้านล่างก็มีเส้นเถาวัลย์สีดำซึ่งปล่อยควันเขียวโขมงผุดขึ้นมาราวสายน้ำ ไอพิษของมันสามารถสังหารมนุษย์ธรรมดาได้ในพริบตา
สวบ!
บนพื้นดินทิ้งร่องรอยไว้ก็เพียงแต่พายุและสายฟ้า หนวดสีดำสนิทนั้นไล่จับอย่างบ้าคลั่ง แต่สุดท้ายก็คว้าได้เพียงอากาศเท่านั้น
วินาทีต่อมา จ้าวเฟิงปรากฏกายบนอากาศสูงจากพื้นดินราวสิบจ้าง สายตาทอดมองลงเบื้องล่าง ในบึงน้ำปรากฏอสูรขนาดใหญ่สีดำทมิฬโผล่ขึ้นมาครึ่งหนึ่ง ขนาดของมันรัศมีใหญ่เกือบครึ่งลี้ เรียกได้ว่าเป็นอสูรขนาดยักษ์เลยทีเดียว
“ระวัง! นั่นคือ ‘อสูรวารีทมิฬ’ ที่อยู่ในขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตแก่นก่อกำเนิด!”
เสียงนุ่มระรื่นหูแฝงความกังวลดังขึ้นในหัวของจ้าวเฟิง
อสูรวารีทมิฬ?
จ้าวเฟิงไม่ได้แสดงออกถึงความลนลาน ไม่รู้สึกแปลกใจที่ได้ยินเสียงนั้นแต่อย่างใด
วิ้ง~
ร่างกายของจ้าวเฟิงผุดน้ำสีฟ้าชุ่มชื้นขึ้นห่อหุ้ม กลายเป็นกำแพงชั้นหนึ่งที่มีไว้กรองสิ่งต่างๆ
กลิ่นอายของอสูรวารีทมิฬแข็งแกร่งมาก ทำให้จ้าวเฟิงเกิดรู้สึกหนักใจขึ้นมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งควันสีเขียวที่กระจายออกมา กลิ่นเน่าเหม็นของมันสามารถสังหารสิ่งมีชีวิตต่างๆ ได้มากมาย แทบไม่ด้อยไปกว่าหุ่นเชิดศพพิษเงาทมิฬของจ้าวเฟิงเลยแม้แต่น้อย
“พี่จ้าวเฟิง! ทางที่ดีที่สุดท่านต้องรีบหนีออกจากพื้นที่ของอสูรวารีทมิฬ อสูรตัวนี้มีขนาดใหญ่นัก สามารถปล่อยไอสังหารกระจายออกมา ผู้อยู่ในขั้นนายเหนือแท้ธรรมดาอาจจะกลายเป็นกองเลือดได้ในพริบตา อีกทั้งพลังการรบและพลังชีวิตของมันยังใกล้เคียงกับหอคอยพฤกษาปีศาจ” เสียงของจ้าวหยูเฟ่ยดังขึ้น ในน้ำเสียงมีความกังวลอยู่เล็กน้อย
ภายในซากปรักหักพังสือเฉิงมีสัตว์อสูรที่แข็งแกร่งมากมายรวมไปถึงฝูงสัตว์อสูรด้วย
เมื่อครั้งที่จ้าวเฟิงเข้ามาภายในซากปรักหักพังนี้ ในเวลานั้นเขาระมัดระวังทุกย่างก้าวประหนึ่งเดินบนผืนน้ำแข็งที่บอบบาง ก่อนที่จะย่างเท้าออกทุกฝีก้าวล้วนแต่พึ่งดวงตาเทพเจ้าในการสำรวจตรวจตรา
ถึงแม้จะเป็นจ้าวเฟิงในวันนี้ ทว่าภายในซากปรักหักพังสือเฉิงก็ยังมีบางสิ่งที่แข็งแกร่งจนขู่ขวัญเขาได้ นั่นเพราะว่าสิ่งมีชีวิตอันแข็งแกร่งที่สุดภายในมิติซากปรักหักพังนี้ล้วนแต่เทียบเทียมได้กับผู้สูงศักดิ์
อย่างเช่นอสูรวารีทมิฬตรงหน้า ถึงแม้ว่าพลังมิได้แข็งแกร่งเท่ากับผู้สูงศักดิ์ แต่ว่าในมิติแห่งนี้มันก็นับได้ว่าแข็งแกร่งในระดับใกล้กันกับหอคอยพฤกษาปีศาจระดับสูงเลยทีเดียว
ฟิ้ว ตูม ตูม ตูม–
อสูรขนาดใหญ่สีดำมะเมื่อมในบึงน้ำตัวนี้แผ่กิ่งก้านสาขาแล้วยิงลูกไฟสีดำเขียวขนาดราวก้อนของสิ่งปฏิกูลออกมา อานุภาพของมันร้ายแรงถึงขนาดที่ระเบิดกลางอากาศได้
ผลัวะ ตูม ตูม!
ทุกๆ การระเบิดของลูกไฟสีเขียวดำนี้ รัศมีทำลายล้างอยู่ที่ยี่สิบสามสิบจ้าง หากเป็นคนในขั้นขอบเขตวิญญาณที่แท้จริงธรรมดาโดนพลังของลูกไฟนี้จะต้องตายแน่ๆ อีกทั้งเจ้าอสูรตัวนี้ปล่อยลูกไฟสีดำเขียวออกมาครั้งละร้อยกว่าลูก พลังทำลายน่ากลัวเอาการอยู่เหมือนกัน
“ร้ายกาจจริงๆ ทำไมถึงไม่เป็นมิตรแบบนี้” จ้าวเฟิงตกใจอยู่เหมือนกัน วายุอัสนีปรากฏทั่วร่างเขาแล้วจึงรีบทะยานออกจากที่แห่งนั้นทันที
แต่ว่าก็ยังคงมีลูกไฟสีดำเขียวหลายสิบลูกบินตรงมาแล้วระเบิดใกล้กับตัวของจ้าวเฟิง ไอพิษรุนแรงที่พุ่งปะทะมาในอากาศนั้นสามารถสังหารคนในขั้นนายเหนือแท้ส่วนมากได้
ผลัวะ~
ทั่วร่างของจ้าวเฟิงเกิดเป็นกำแพงคลื่นน้ำสีฟ้าดูดซึมเอาพิษที่ปะทะเข้ามาเหล่านั้น
กลางอากาศ จ้าวเฟิงหลีกหนีออกจากพื้นที่ของสัตว์อสูรเป็นการชั่วคราว แต่ไม่ได้หนีออกไปในทันที
“จ้าวเฟิง! ข้าขอแนะนำให้เจ้าออกมาจากที่แห่งนั้นเป็นดีที่สุด ’อสูรวารีทมิฬ’ นั่นมิอาจออกจากพื้นที่นั้นของมันได้ อีกทั้งในบริเวณนี้ยังมีฝูงอสูรอยู่อีกมาก อาจจะมีสัตว์อสูรในขั้นผู้สูงศักดิ์ที่กำลังจำศีลอยู่ด้วย” เงาที่สวยสดงดงามของเศษเสี้ยววิญญาณสือเฉิงปรากฏขึ้นในหัวของจ้าวเฟิง
สำหรับแผนที่ของซากปรักหักพังสือเฉิง เศษเสี้ยววิญญาณสือเฉิงได้ส่งมอบให้แก่จ้าวเฟิงแล้ว เพียงเขาระมัดระวังอีกสักหน่อยก็อยู่รอดปลอดภัยภายในมิติแห่งนี้ได้แล้ว
“นายท่าน! อสูรวารีทมิฬตัวนี้เหมาะสมเหลือเกินที่จะนำมาเป็นปัจจัยสร้างหุ่นเชิดศพ ของเหลวภายในร่างมันก็เป็นของล้ำค่าที่นำมาสร้างเป็นพิษศพได้” เสียงของเจ้าหอโครงกระดูกลอยออกมาจากประคำหมื่นวิญญาณ
เอ๊ะ!
เศษเสี้ยววิญญาณสือเฉิงอดประหลาดใจไม่ได้ที่พบว่าภายในลูกประคำหมื่นวิญญาณของจ้าวเฟิงมียอดฝีมือมาด้วย
“ข้าก็มีเจตนาเช่นนั้นพอดี!”
ดวงตาเทพเจ้าของจ้าวเฟิงจะมองไม่ออกถึงความล้ำค่าของร่างกายเจ้าอสูรวารีตัวนี้ได้อย่างไร ร่างกายของมันสามารถเป็นทรัพยากรชั้นดีของ ‘แผนการร้อยศพ’ โดยแท้
วายุอัสนีผ่านภา!
จ้าวเฟิงโบกมือในอากาศคราหนึ่ง ตาเปล่าก็มองเห็นเป็นคมมีดวายุอัสนียาวราวสิบยี่สิบจ้าง มีดสายฟ้าคมกริบนั้นผุดไอ ‘วายุอัสนีสีม่วง’ เป็นเส้นจางๆ ขึ้นล้อมรอบ
แซ่ด สวบ!
ยามคมมีดวายุอัสนีขนาดใหญ่แหวกผ่านกลางอากาศ สายอัสนีบาตก็ร้องเลือนลั่นแล้วจึงปล่อยไอแห่งการทำลายล้างออกมา สายฟ้านั้นยังไม่ทันได้สัมผัสกับเหยื่อตรงหน้า เจ้าอสูรวารีทมิฬสัมผัสได้ถึงความไม่ชอบมาพากล มันจึงเตรียมจะหลบลงน้ำไป
แต่เพื่อเพิ่มพลังของ ‘วายุอัสนีผ่านภา’ จ้าวเฟิงจึงจงใจแบ่ง ‘วายุอัสนีสีม่วง’ ไปยังคมมีดรอบๆ บริเวณ ทำให้แรงฉีกทึ้งและแรงปะทะส่งผลที่น่ากลัวนัก
พรึ่บ! แซ่ดแซ่ด!
ยามเมื่อคมมีดวายุอัสนีแหวกลงมา ความเร็วนั้นไวเสียจนอสูรตัวใหญ่ไม่ทันได้รู้สึก มันตรงดิ่งไปส่วนบริเวณศีรษะของเจ้าอสูรกระทั่งตัดทำลายชิ้นส่วนภายใน
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว
บึงน้ำเบื้องล่างสั่นสะเทือนเลือนลั่นแล้วจึงมีเสียงร้องคำรามโหยหวนอย่างเจ็บปวดของอสูรยักษ์ตัวนั้น
คมดาบนั้นของจ้าวเฟิงพลังไม่เพียงแต่น่ากลัว อีกทั้งยังฟันลงไปอย่างแม่นยำ เป็นการโจมตีเพื่อหวังปลิดชีพของอสูรยักษ์
ถ้าหากเปลี่ยนมาเป็นนายเหนือแท้ระดับสุดยอดหรือแม้กระทั่งขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตแก่นก่อกำเนิดก็อาจจะตายคาที่ได้
แต่ว่าเจ้าอสูรวารีทมิฬตัวนี้มีขนาดร่างกายใหญ่โต มีพลังชีวิตที่น่าสะพรึง จึงยังมีสัญชาตญาณดิ้นรนเอาชีวิตรอดอย่างมากอยู่ มันอาจจะกลับมาโจมตีจ้าวเฟิงกลับได้ตลอดเวลา
“นายท่าน ทางที่ดีท่านจะต้องทำให้สภาพร่างกายของมันสมบูรณ์ ทรัพยากรเช่นนี้จึงจะนับได้ว่าใช้ประโยชน์ได้ …” เจ้าหอโครงกระดูกมีน้ำเสียงรอคอย เขาไม่คลางแคลงใจเลยแม้แต่น้อยถึงความสามารถในการสังหารเจ้าอสูรนี้ของจ้าวเฟิง
“อืม รับรองได้ว่าสภาพศพมันจะสมบูรณ์” จ้าวเฟิงพยักหน้าน้อยๆ
ยามเมื่อคำพูดดังกล่าวออกไป ฝั่งของเศษเสี้ยววิญญาณสือเฉิงและจ้าวหยูเฟ่ยก็ล้วนแต่ตื่นตะลึงอยู่ไม่น้อย
เวลาเพิ่งผ่านไปสองปีกว่ายังไม่ถึงสามปี จ้าวเฟิงก้าวหน้าไปถึงระดับใดกันแน่ ฟังๆ ดูแล้วเขาแทบไม่ได้เห็นเจ้าอสูรในระดับขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตแก่นก่อกำเนิดตัวนี้อยู่ในสายตาแม้แต่น้อย
เนตรจิตวิญญาณเหมันต์!
ดวงตาซ้ายของจ้าวเฟิงเพิ่มพลังดวงตาที่น่ากลัว แล้วจึงปล่อยลำแสงเหมันต์โปร่งแสงสีตระการตาทะลวงผ่านร่างของอสูรวารีทมิฬไปในพริบตาเดียว
สวบ!
เจ้าอสูรสีดำขนาดใหญ่ทั้งร่างกายและวิญญาณภายในราวกับโดนแช่แข็ง เรี่ยวแรงในการดิ้นรนของมันลดลงฮวบฮาบ
เวลาผ่านไปไม่นานนัก บึงน้ำดังกล่าวในรัศมีกว่าสองลี้ก็กลายเป็นน้ำแข็ง เจ้าอสูรตัวนั้นมีน้ำแข็งชั้นหนึ่งห่อหุ้มร่างกาย วิญญาณของมันค่อยๆ เข้าสู่ภาวะจำศีล พลังชีวิตก็ลดลงจนเหลือเพียงเบาบาง
สภาพเช่นนี้เปรียบเสมือนกับต้นไม้หรือสรรพสัตว์เข้าสู่ภาวะจำศีล แทบไม่มีความต่างอะไรเลยกับร่างไร้ลมหายใจ
เมื่อคราวก่อนที่ในซากปรักหักพังสือเฉิง หลี่หงผู้เป็นนายเหนือแท้ระดับสูงก็ถูก ‘เนตรสวรรค์’ ของจ้าวเฟิงจัดการด้วยวิธีนี้เช่นเดียวกัน
“อืม รับรองว่าครบสมบูรณ์และสดใหม่แน่นอน” จ้าวเฟิงเอ่ยยิ้มๆ โบกมือเพียงครั้งหนึ่งให้เจ้าหอโครงกระดูกปรากฏกายออกมาจัดการเก็บซากศพทรัพยากร สีหน้าของเจ้าหอโครงกระดูกแปลกพิกล ใบหน้าของเขากระตุกน้อยๆ
ต่ำกว่าขั้นขอบเขตแก่นก่อกำเนิดลงไป บางทีอาจมีเพียงแค่จ้าวเฟิงที่มีความสามารถในระดับแช่แข็งร่างกายและวิญญาณของอสูรในขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตแก่นก่อกำเนิดได้
ทางฟากของเศษเสี้ยววิญญาณสือเฉิงและจ้าวหยูเฟ่ยที่อยู่ในวิหารสือเฉิงล้วนแต่ตกตะลึง
“การเติบโตของพลังที่ซ่อนอยู่ในตัวจ้าวเฟิงผู้นี้ช่างน่าตกตะลึงเสียจริง”
เศษเสี้ยววิญญาณสือเฉิงอดทอดถอนใจไม่ได้ จ้าวหยูเฟ่ยที่นั่งอยู่ด้านข้างนางถึงแม้ฝึกตนไปถึงขั้นนายเหนือแท้ระดับสูงก็อาจจะยังสู้จ้าวเฟิงได้ไม่เท่าไหร่ ควรรู้ว่าสายเลือดพรสวรรค์ของจ้าวหยูเฟ่ยมีความแนบชิดกับไอสวรรค์เป็นอย่างมาก แล้วตัวนางเองยังมาจากรายชื่อหมื่นเผ่าพันธุ์โบราณ ข้อเด่นด้านความเร็วของการฝึกตนถือได้ว่าเป็นระดับต้นๆ ของแผ่นดินอันกว้างใหญ่
อีกทั้งจ้าวหยูเฟ่ยอยู่ในซากปรักหักพังสือเฉิงโดยตลอด สภาพแวดล้อมในการฝึกตนเมื่อเทียบกับทวีปบุปผาครามแล้วแข็งแกร่งกว่าไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า
เวลาผ่านไปครึ่งวันเต็มๆ จ้าวเฟิงและเจ้าหอโครงกระดูกก็จัดการซากของเจ้าอสูรยักษ์สีดำตัวนั้นเรียบร้อยแล้ว
ในเวลาดังกล่าว ใกล้กับบริเวณของพื้นที่บึงน้ำมีอสูรอีกตัวโผล่ออกมา แต่ก็ถูกจ้าวเฟิงและเจ้าหอโครงกระดูกจัดการแบบสบายๆ ไปอีกตัว
“ดีจริงๆ จ้าวเฟิงผู้นี้ ไม่เข้ามาเพียงคนเดียว ยังนำเอาข้ารับใช้ในขั้นผู้สูงศักดิ์เข้ามาด้วย” เศษเสี้ยววิญญาณสือเฉิงพูดอย่างประหลาดใจ
ระดับขั้นของนางกับมิติซากปรักหักพังสือเฉิงที่มีความเกี่ยวโยงกันเป็นพิเศษ จึงสามารถมองความสัมพันธ์ระหว่างจ้าวเฟิงและเจ้าหอโครงกระดูกออกอย่างไม่ยากนัก
“พี่จ้าวเฟิงมีข้ารับใช้เป็นผู้สูงศักดิ์เชียวหรือ?” จ้าวหยูเฟ่ยมองท่านพี่ของนางตาค้างแล้วอ้าปากตกตะลึง
เหตุผลหลักที่พวกนางขอให้จ้าวเฟิงกลับมายังซากปรักหักพังสือเฉิง ก็เพื่อมารับหน้าที่ช่วยเหลืองานบางอย่างของพวกนาง เนื่องจากจ้าวหยูเฟ่ยใช้เวลาส่วนมากหมดไปกับการสร้าง ‘กุญแจผลึก’ ซึ่งถือได้ว่าเป็นหัวใจของซากปรักหักพังแห่งนี้
เวลาครึ่งชั่วยามผ่านไป จ้าวเฟิงพุ่งตัวจากบนฟากฟ้าลงไปยัง ‘หุบเขาลี้ลับ’ ในคราวก่อนอย่างรวดเร็ว
ขณะพุ่งตัวลงไปจ้าวเฟิงใช้อัสนีบาตสังหารอสูรทุกตัวที่ขวางหน้า อสูรเหล่านั้นโดนสังหารง่ายดายราวกับหั่นฟักทองอย่างไรอย่างนั้น หรือยามผ่านเหล่าอสูรที่อยู่กันเป็นฝูงจ้าวเฟิงก็แค่ทะลวงแล้วผ่านไป
พลังวายุอันแข็งแกร่งที่หมุนวนรอบหุบเขาลี้ลับไม่ได้มีผลอะไรกับจ้าวเฟิงมากมายนัก
ในส่วนลึกของหุบเขาจ้าวเฟิงก็ได้พบกับหอคอยพฤกษาปีศาจ บาดแผลของหอคอยพฤกษาปีศาจดีขึ้นกว่าครั้งก่อน ส่วนที่ขาดหายไปก็งอกออกมาใหม่
“มนุษย์ เจ้ามาอีกแล้วสิ” หอคอยพฤกษาปีศาจรู้สึกแปลกใจ
ฉับพลันจ้าวเฟิงก็ลอยไปอยู่ด้านบนกิ่งก้านของพฤกษาปีศาจ ในเวลานี้พลังของเขาต่อให้ประมือกับมันแบบซึ่งๆ หน้าก็ไม่มีอะไรต้องหวั่นเกรงอีกต่อไป
เวลาผ่านไป
วิ้ง~ หมอกมายาสีม่วงค่อยๆ ล้อมรอบลำต้นด้านบนของหอคอยพฤกษา กลุ่มควันสีม่วงรูปร่างวิหารลอยมาจากฟากฟ้า นั่นก็คือวิหารสือเฉิงอย่างไม่ต้องสงสัย
วิธีการดำรงอยู่ของวิหารสือเฉิงมีความพิเศษเป็นอย่างมาก ในเวลาปกติมันจะอยู่ในใจกลางระดับลึกของมิติซากปรักหักพัง ไม่อาจจะรั้งอยู่ภายนอกได้เป็นเวลานาน อีกทั้งในทุกครั้งที่วิหารสือเฉิงปรากฏออกมาล้วนแต่จะทำให้พลังของมิติและเศษเสี้ยววิญญาณสือเฉิงสูญสลายไป
สวบ! จ้าวเฟิงใช้วิธีเดิมเข้าไปยังวิหารสือเฉิง
ณ วิหารสามชั้น ภายในห้องโถงโอ่อ่า
จ้าวเฟิงพบกับจ้าวหยูเฟ่ยและเศษเสี้ยววิญญาณสือเฉิงอีกครั้ง
จ้าวหยูเฟ่ยยังนั่งอยู่ตรงที่เดิม เบื้องหน้าของนางปรากฏ ‘กุญแจผลึก’ มือนางโบกน้อยๆ แล้วเพลิงจิตวิญญาณก็หลอมรวมเข้าไปในด้านใน
‘เศษเสี้ยววิญญาณสือเฉิง’ ที่งดงามตระการตาปรากฏเป็นกลุ่มไฟสีม่วงลอยอยู่กลางอากาศ
หญิงทั้งสองมองตรงมายังจ้าวเฟิงแล้วยิ้มน้อยๆ
“พี่จ้าวเฟิง”
โดยเฉพาะอย่างยิ่งจ้าวหยูเฟ่ย ในดวงตาของนางฉายแววคะนึงหาและปิติยินดี นัยน์ตาพร่ามัวไปด้วยน้ำตา แล้วจึงโผร่างเข้าหาอ้อมกอดของจ้าวเฟิง
จ้าวเฟิงใจตกใจเล็กน้อย นอกจากหลิวฉินซินแล้วนี่นับได้ว่าเป็นครั้งแรกที่สนิทสนมกับหญิงอื่นเช่นนี้ แต่กับจ้าวหยูเฟ่ยที่อยู่ภายในอ้อมกอดนี้เป็นความสนิทสนมฉันเพื่อนที่โตมาด้วยกัน จึงทำให้เขาไม่รู้สึกกระดากเลยแม้แต่น้อย มีเพียงความรู้สึกที่ยากจะอธิบายถาโถมเข้ามา
“สองปีกับเก้าเดือน…ข้าเพียงแค่รู้สึกว่าไม่ได้พบหน้าพี่จ้าวเฟิงมานานเหลือเกิน” ในแววตาคล้ายจะยิ้มแต่ไม่ได้ยิ้มของเศษเสี้ยววิญญาณสือเฉิง จ้าวหยูเฟ่ยหน้าแดงระเรื่อ เป็นเวลานานเอาการทีเดียวกว่านางจะคลายอ้อมกอดจากจ้าวเฟิง
สองปีเก้าเดือน? จ้าวเฟิงอดตกใจไม่ได้ คิดไม่ถึงเวลาว่าเวลาจะผ่านไปเร็วเช่นนี้ เขามีอายุยี่สิบปีแล้ว