บทที่ 538 พลังของค่ายกล
ทะเลความว่างเปล่า
ภูเขาขนาดมหึมาราวอสูรโบราณตั้งอยู่กลางทะเลหมอกกินอาณาเขตเป็นรัศมีหลายร้อยลี้
บนยอดเขามีเงาคนกลุ่มหนึ่งจับจ้องสายตาไปยังเหนือศีรษะของพวกเขา
มองเห็นก็เพียงแต่ภาพเงาดุจทะเลสาบกระจกที่มีขนาดใหญ่ราวร้อยจั้ง ภายในนั้นสีสันสดใส ภาพที่ปรากฏนับว่าชัดเจนทีเดียว
ในเวลานี้ เหตุการณ์ที่ปรากฏในภาพเงาทำให้ขนต้องลุกชัน
สิ่งที่ปรากฏคือเถาวัลย์อสูรสีเขียวเข้มจำนวนมาก มันสูงชะลูดเกินสิบจ้าง บิดรัดเกาะเกี่ยวปกคลุมเต็มไปทั่วอาณาบริเวณ จนทำให้พื้นที่แห่งนั้นกลายเป็น ‘ทะเลเถาวัลย์’ สีดำทมิฬ การเติบโตของเถาวัลย์รวดเร็วอย่างบ้าคลั่ง กล่าวคือพวกมันไม่หยุดโตเลยแม้แต่วินาทีเดียว
คนที่มองดูอยู่นั้นกลั้นลมหายใจ หัวใจเต้นระรัว
“น่ากลัวเกินไปแล้ว ขอเพียงแค่มีพลังแห่งชีวิตและไอสวรรค์ ‘เถาวัลย์มารทมิฬ’ นี้ก็จะโตไปได้เรื่อยๆ อย่างไม่มีขีดจำกัด”
“ไม่เสียทีที่เป็นเถาวัลย์อสูรต้องห้ามที่อยู่ในระดับหายนะ หากไม่พยายามควบคุมก็น่าจะมากพอทำลายพื้นที่หนึ่งได้” เงาของผู้แข็งแกร่งทั้งหลายอดใจหายวูบไม่ได้
เงาทั้งหลายนี้เป็นเงาของคนผู้ที่อย่างน้อยๆ ก็อยู่ในขั้นนายเหนือแท้ บางคนก็เป็นผู้สูงศักดิ์ในขั้นขอบเขตแก่นก่อกำเนิด ซึ่งคนเหล่านี้มาจากสำนักสองดาวทั้งสาม
และแน่นอนว่าภายในจิตใจของคนทั้งหลายเต็มไปด้วยความหวั่นเกรงยามมองสามผู้แข็งแกร่งไม่มีที่สิ้นสุดกลางอากาศ
พวกเขาล้วนแต่สัมผัสได้ถึงสาม ‘พลังยิ่งใหญ่’ ที่แผ่รัศมีออกไปหมื่นลี้ ยามเมื่อนัยน์ตาทอดมองไปก็เห็นพลังสว่างไสวราวแสงแห่งเซียนสามลูก
โครงกระดูกสีทองผู้อบอวลไปด้วยปราณมรณะคละคลุ้งทั่วร่าง สตรีในชุดคลุมสีเงินท่าทางสูงศักดิ์สะอาดสะอ้าน และราชันลัทธิมารที่มีไอของความมืดปกคลุมทั่วกาย
ราชันแห่งขอบเขตปราณเทวะทั้งสาม
พวกเขาเป็นประหนึ่งสามรูปสลักเซียน เวลาที่หมุนเวียนเปลี่ยนผันไม่สามารถส่งผลใดๆ ต่อพวกเขาได้เลย ราวกับว่าอยู่มาตั้งแต่สมัยโบราณกาล
ระยะเวลาสามปี สำหรับราชันในขอบเขตปราณเทวะผู้มีชีวิตมายาวนานบางทีอาจเหมือนแค่เพียงชั่วพริบตาเท่านั้น
“เฉิงเยว่เซียนกู ที่แท้ท่านก็ใช้เมล็ดของเถาวัลย์ต้องห้ามจาก ‘ดินแดนจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์’ เพื่อขัดขวางเจ้าเด็กนั่น” โครงกระดูกสีทองเอ่ย ในน้ำเสียงเจือความคาดไม่ถึงอยู่
ราชาปราณเทวะทั้งสามจับจ้องไปที่บริเวณใจกลางของหุบเขาลี้ลับที่ปกคลุมไปด้วยเถาวัลย์อสูร
ภายในภาพนั้นจ้าวเฟิงและเจ้าหอโครงกระดูกกำลังวุ่นรับมือกับการเติบโตอย่างไม่รู้จักจบสิ้นของเถาวัลย์
ราชาปราณเทวะทั้งสามไม่ได้ตกอกตกใจอะไรกับการปรากฏตัวของจ้าวเฟิง
“หลังจากที่เด็กผู้นี้กลับเข้ามายัง ‘ซากปรักหักพังสือเฉิง’ ก็ทำให้แผนการของเราปั่นป่วนวุ่นวายไปหมด เขาเป็นปัจจัยอันตรายที่เราไม่อาจควบคุมได้จริงๆ ยิ่งไปกว่านั้นจ้าวเฟิงคนนี้ในปีนั้นลงมือสังหารศิษย์สำนักข้าไปไม่น้อย เมื่อตั้งตัวเป็นศัตรูกับสำนักจันทร์กระจ่างก็ต้องชดใช้” ในเสียงอ่อนหวานของเฉิงเยว่เซียนกูเจือความเย็นยะเยือก
ที่แท้วินาทีที่จ้าวเฟิงกลับเข้าไปในซากปรักหักพังสือเฉิง สามสำนักใหญ่รับรู้กันถ้วนหน้าแล้ว
ข้างกายของเฉิงเยว่เซียนกูมี ‘แมงป่องยักษ์’ สีสันหลากหลาย ขนาดใหญ่โตกว่าวัว ดวงตาของมันเป็นสีแดงชวนเขย่าขวัญผู้คนที่พบเห็น
กลิ่นอายของ ‘แมงป่องยักษ์’ นี้ไปถึงขั้นขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริง ลูกตากลอกไปมาแล้วจึงจับจ้องไปที่จ้าวเฟิงผู้อยู่ภายในภาพเงานั้น หากจ้าวเฟิงอยู่ที่นี่ด้วยแล้วล่ะก็จะต้องขนพองสยองเกล้าแน่
เจ้าแมงป่องยักษ์นี้ลืมตาดูโลกได้ไม่กี่ปีก็อยู่ในขั้นผู้วิเศษแท้แล้ว การที่ลูกแมงป่องยักษ์เติบโตเร็วราวกับติดปีกแน่นอนว่าเป็นเพราะ ‘การทุ่มเทเลี้ยงดู’ ของราชาในขอบเขตปราณเทวะ
ลูกแมงป่องยักษ์เป็นสัตว์วิเศษของจ้าวเฟิง ยิ่งพลังของมันแข็งแกร่งมากขึ้นเท่าไหร่ ความสัมพันธ์ลึกลับที่มีกับเจ้านายของมันก็ยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นตามไปด้วย
“ฮ่าฮ่า! มีเถาวัลย์มารต้องห้ามเติบโตไปทั่วทุกหนแห่งขนาดนี้ เจ้าเด็กคนนั้นคงยืดเวลาไปได้ไม่เท่าไหร่ รอยโหว่รอยนี้จะต้องเป็นทางผ่านให้สามสำนักเราบุกเข้าไปยังมิตินั้นแน่ๆ” ราชาลัทธิมารผู้มีกลิ่นอายความมืดปกคลุมทั่วร่างหัวเราะร่า
ในเวลาเดียวกัน ภายในจุดลึกของหุบเขา จ้าวเฟิงและเจ้าหอโครงกระดูกกำลังวุ่นอยู่กับการทำลายเถาวัลย์ที่งอกออกมามืดฟ้ามัวดิน ภาพทั้งหมดเหล่ายอดฝีมือของทั้งสามสำนักมองเห็นอย่างชัดเจนถี่ถ้วน แต่แน่นอนว่าภาพเงานี้ไม่มีเสียง
“จ้าวเฟิง หากเจ้าไม่ใช้อาวุธสังหาร รอจนเถาวัลย์พวกนี้เติบโตขึ้นมาจริงๆ ทั่วทั้งมิตินี้น่าจะหมดหนทางเยียวยาแล้ว” เจ้าหอโครงกระดูกเอ่ยเร่ง
เมื่อต้องรับมือกับเถาวัลย์มารพวกนี้ พลังมรณะของเจ้าหอโครงกระดูกก็มีประโยชน์ขึ้นมา พลังในสายโจมตีจำพวกวายุอัสนีเมื่อเทียบกับพลังมรณะแล้วแทบไร้ประโยชน์
เพราะว่าพลังมรณะของเจ้าหอโครงกระดูกสามารถกัดกร่อนพลังของสรรพสิ่งทั้งหลายได้
“หากต้องการจะทำลายเถาวัลย์มารนี่ในชั่วพริบตา ก็คงต้องใช้ ‘โล่มังกรหยก’ หรือไม่ก็เรียกพลังของ ‘หอกจักรพรรดิเหมันต์’” จ้าวเฟิงใจเต้น
นี่ก็เป็นความคิดของเจ้าหอโครงกระดูกพอดี ใช้โล่มังกรหยกเพื่อกำจัดเถาวัลย์ไปได้คราวละมากๆ แล้วใช้หอกจักรพรรดิเหมันต์ร่วมด้วยเพื่อแช่แข็งพื้นบริเวณนั้นก็น่าจะคลี่คลายภัยอันตรายได้
“ไม่ได้” จ้าวเฟิงสื่อสารกับเศษเสี้ยววิญญาณสือเฉิงแล้วส่ายศีรษะเล็กน้อย
ต้องอย่าลืมว่าพื้นที่นี้เป็นบริเวณเปราะบาง มีรอยโหว่ขนาดใหญ่มาก ถ้าหากว่าใช้โล่มังกรหยกผลลัพธ์ที่ตามมาอาจร้ายแรงเกินคาดคิด รอยแตกร้าวจะขยายใหญ่ขึ้นในพริบตา
สรุปคือบริเวณนี้ไม่อาจรับหรือโดนพลังที่แข็งแกร่งมากได้
“เจ้าหอโครงกระดูก ข้าและเจ้าร่วมมือกัน” ฉับพลันจ้าวเฟิงเกิดความคิดใหม่ขึ้นเมื่อพบว่าพลังมรณะของเจ้าหอโครงกระดูกกัดกร่อนและสังหารเถาวัลย์นี่ได้
“ค่ายกลหุ่นเชิดศพต้องสาป!” ในมือของจ้าวเฟิงปรากฏธงสีดำแล้วสะบัดครั้งหนึ่ง
ฟู่ พรึ่บ พรึ่บ พรึ่บ–
หุ่นเชิดศพขั้นนายเหนือแท้สิบห้าร่างปรากฏกลางทะเลเถาวัลย์
ยามหุ่นเชิดศพเหล่านี้อยู่ในจุดที่ถูกกำหนดตามวิถีของค่ายกล ในรัศมีร้อยลี้ก็ปกคลุมไปด้วยหมอกควันสีเทาเข้ม ปราณศพของหุ่นเชิดศพเข้าปิดล้อมทั่วบริเวณ
แซ่ด แซ่ด~
เถาวัลย์ที่อยู่ใน ‘ค่ายกลหุ่นเชิดศพต้องสาป’ กลายเป็นควันสีดำโขมง เมื่อโดนปราณศพของหุ่นเชิดศพกัดกร่อน หากใช้ตาเปล่ามองจะเห็นเถาวัลย์เหล่านั้นค่อยๆ เน่าเปื่อยแล้วไหลเยิ้มกลายเป็นของเหลวสีดำชวนพะอืดพะอม
“ผลลัพธ์ไม่เลว!” จ้าวเฟิงรู้สึกปิติและเกินคาดเล็กน้อย
พลังการยับยั้งเถาวัลย์ของค่ายกลหุ่นเชิดศพต้องสาปแข็งแกร่งกว่าที่เขาคิดไว้ ทั้งยังเพียงพอที่จะใช้สลายเถาวัลย์และทำลายให้สิ้นซากไป
ฉึก ผลัวะ พลั่ก–
เถาวัลย์มารทมิฬอีกบริเวณหนึ่งสลายตัวไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นหลอมละลายกลายเป็นของเหลวสีดำมีกลิ่นเหม็นเน่าชวนขยะแขยง
“ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง! ในค่ายกลหุ่นเชิดศพต้องสาปเดิมมีพลังคำสาปจากความอาฆาตที่สามารถควบคุมเหล่าสรรพชีวิตบนโลกนี้ได้” เจ้าหอโครงกระดูกตื่นตกใจเมื่อเข้าใจในกระบวนการทั้งหมด
ค่ายกลหุ่นเชิดศพต้องสาปไม่เพียงแต่รวมพลังของหุ่นเชิดศพขั้นนายเหนือแท้ แต่ยังมีพลังอาฆาตแค้นกับคำสาปแช่งของจิตวิญญาณทั้งหลายด้วย
เมื่อนึกถึง ‘ดินแดนต้องห้ามร้อยหลุมศพ’ ทั่วทวีปบุปผาครามคงมีแค่จ้าวลัทธิมารจันทราชาดและคนจำนวนน้อยแทบนับนิ้วได้ที่สามารถเข้าและออกที่นั่นอย่างปลอดภัย
การจัดฉากที่ดินแดนต้องห้ามร้อยหลุมศพเดิมทีก็เป็นฝีมือขั้วอำนาจที่อยู่เบื้องหลังลัทธิมารจันทราชาด
หลังจากที่ ‘ค่ายกลหุ่นเชิดศพต้องสาป’ ปรากฏออกมา ความเร็วของเถาวัลย์ในที่สุดแล้วก็ช้าลง แต่เพียงแค่ช้าลงเท่านั้น ไม่ได้หยุดเติบโตเสียทีเดียว
“จ้าวเฟิง! เถาวัลย์อสูรลุกลามไปราวห้าหกลี้แล้ว ต้องขยายอาณาเขตของค่ายกล” เศษเสี้ยววิญญาณสือเฉิงเอ่ย
จงเปิด!
จ้าวเฟิงและเจ้าหอโครงกระดูกร่วมมือกันขยายอาณาเขตของ ‘ค่ายกลหุ่นเชิดศพต้องสาป’
ผ่านไปไม่กี่ช่วงลมหายใจ ‘ค่ายกลหุ่นเชิดศพต้องสาป’ ก็ขยายออกราวหนึ่งลี้ หากยังคงขยายออกไปเรื่อยๆ อาจจะกว้างได้ถึงสองลี้
หลังจากขยายพื้นที่ให้กว้างขึ้นแล้ว พลังของค่ายกลหุ่นเชิดศพต้องสาปก็ลดลงอย่างไม่อาจเลี่ยงได้ แต่เถาวัลย์มารทมิฬเหล่านั้นยังไม่อาจเติบโตเต็มที่ พลังของค่ายกลจึงยังควบคุมไว้ได้อย่างง่ายดาย
“น่าเสียดายที่ ‘แผนการร้อยศพ’ สำเร็จไปเพียงแค่สิบห้าในร้อยส่วน” จ้าวเฟิงออกจะเสียดาย
ถ้าหากแผนการร้อยศพสำเร็จไปครึ่งหนึ่งล่ะก็ เขาคงยังพอจะกำจัดทะเลเถาวัลย์ที่ยังไม่โตเต็มที่เหล่านี้ให้ราบคาบ
ในวินาทีนั้น จ้าวเฟิงและเจ้าหอโครงกระดูกได้เพียงแต่ร่วมมือกันควบคุมสถานการณ์ให้คลี่คลายลง
ในเวลาอันสั้น เถาวัลย์อสูรก็ยังคงเติบโตอยู่แต่ว่าความเร็วลดลงไปมาก ไม่ว่าจะเป็นจ้าวเฟิงหรือเศษเสี้ยววิญญาณสือเฉิงที่อยู่เบื้องหลังต่างถอนหายใจด้วยความโล่งอก
“จ้าวเฟิง! ลำบากเจ้าแล้ว! ถ้าหากช้าไปเพียงแค่ครึ่งก้านธูปล่ะก็ มิติสือเฉิงคงได้เผชิญกับภัยพิบัติครั้งใหญ่แน่” เศษเสี้ยววิญญาณสือเฉิงเอ่ยขอบใจ สีหน้าของจ้าวเฟิงยังคงเคร่งขรึม ภัยอันตรายครั้งนี้ก็เพียงถูกยับยั้งไว้แต่ไม่ได้หยุดการขยายตัวของเถาวัลย์ทั้งหมด
“เจ้าหอโครงกระดูก ‘ค่ายกลหุ่นเชิดศพต้องสาป’ นี้เจ้าช่วยจัดการให้หน่อยแล้วกัน” จู่ๆ จ้าวเฟิงก็เอ่ยปาก ทันทีที่เอ่ยจบเขาก็มอบธงให้กับเจ้าหอโครงกระดูก “ข้าทนได้มากสุดเพียงครึ่งชั่วยาม”
เจ้าหอโครงกระดูกผงกศีรษะ
ในวันนี้ พลังของเจ้าหอโครงกระดูกแทบไม่แตกต่างกับผู้สูงศักดิ์ในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดที่แท้จริง เขาเพียงคนเดียวก็สามารถควบคุมขอบเขต ‘ค่ายกลหุ่นเชิดศพต้องสาป’ ที่กว้างใหญ่ได้ เทียบกับจ้าวเฟิงแล้วยังสบายกว่ามาก
ในเวลาเดียวกันนี้
ทะเลความว่างเปล่า บนยอดเขาสูงเทียมฟ้า
เงาของคนจากสามสำนักใหญ่จับจ้องไปยังภาพเงาแล้วอดตกใจไม่ได้
“คิดไม่ถึงเลยว่าข้างกายจ้าวเฟิงผู้นั้นจะมีผู้ช่วยเป็นถึงคนในขั้นผู้สูงศักดิ์”
“นี่ค่ายกลอะไรกันแน่ เหตุใดพลังที่ใช้ทำลายเถาวัลย์มารทมิฬถึงแข็งแกร่งแบบนี้” ฝูงชนที่มองดูต่างถกเถียงอื้ออึง
สามราชันในขอบเขตปราณเทวะมองหน้ากันไปมา
“พวกเจ้ามองข้าทำไมกัน?” โครงกระดูกสีทองรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย
เฉิงเยว่เซียนกูและราชาลัทธิมารล้วนแต่มีแววตาสงสัย
“หุ่นเชิดศพที่ใช้สร้างค่ายกลนั่นมีพลังคำสาปที่ใช้ควบคุมสิ่งมีชีวิต เหมือนจะเกี่ยวข้องกับตำหนักผาดำของเจ้า” เฉิงเยว่เซียนกูเอ่ยปาก
“เหอะ! ผู้ที่เข้าใจวิชานี้ไม่ใช่ว่ามีเพียงแค่ ’ตำหนักผาดำ’ ของข้าสักหน่อย ยังมีสำนักหนึ่งดาวที่เป็นยอดเรื่องพวกหุ่นเชิดศพพวกนี้อยู่ กระทั่งตำหนักมารจันทราเองก็รู้เรื่องวิชานี้” โครงกระดูกสีทองเอ่ยอย่างไม่ยี่หระ
ได้ยินดังนั้นเฉิงเยว่เซียนกูและราชาลัทธิมารจึงไม่ได้ซักไซ้ไล่เรียงอะไร
“ไม่ต้องกังวลไป ในสถานการณ์ที่จำนวนคนมีจำกัดเช่นนี้ หากมีเพียงสองคนน่าจะทนไปไม่ได้เท่าไหร่” โครงกระดูกสีทองเอ่ยเสียงต่ำ
จากระดับขอบเขตของเขา ถึงแม้จะมองเห็นเพียงแต่ภาพก็เข้าใจแจ่มแจ้งใน ‘ค่ายกลหุ่นเชิดศพต้องสาป’
แต่ทว่า ทันทีที่เขาเอ่ยจบรูปภายในเงานั้นก็เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ภาพเหตุการณ์ในเงาสะเทือนสั่นไหวอยู่หลายครั้ง ก่อนจะมีควันโขมงตลบอบอวล
สวบ สวบ สวบ–
มองเห็นสัตว์อสูรที่มีพลังแข็งแกร่งจำนวนหลายร้อยตัวบินถลาเข้ามาจากนอกหุบเขา เหล่าสัตว์อสูรล้วนแต่อยู่ในขั้นขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริง ตัวที่แข็งแกร่งที่สุดก็ไปถึงขั้นนายเหนือแท้ระดับสุดยอด พลังรบเท่ากับขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตแก่นก่อกำเนิด
“บุก!” ผมสีน้ำเงินของจ้าวเฟิงโบกสะบัดยามลอยตัวในอากาศแล้วโบกมือครั้งหนึ่ง
ในวินาทีนั้น ดวงตาเทพเจ้าของเขาสว่างวาบ ก่อนจะปลดปล่อยพลังดวงตาที่น่ากลัวออกมา
พลังของเขาคนเดียวก็สามารถควบคุมทัพสัตว์อสูรในขั้นขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงนับร้อย
พลั่ก ตึง ตัง–
แผ่นดินสะเทือน ฝุ่นควันตลบ เสียงร้องของเหล่าสัตว์อสูรเขย่าขวัญไปถึงวิญญาณ
ช่วงเวลานี้ กองทัพสัตว์อสูรในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงนับร้อยล้วนแต่พุ่งเข้าหา ‘ทะเลเถาวัลย์’ กลิ่นอายพลังต่างๆ ก่อให้เกิดการระเบิดครั้งใหญ่เสียจนควันตลบอบอวลเต็มบริเวณนั้น
เถาวัลย์มารทมิฬกว้างใหญ่ถูกเหยียบย่ำเละเทะไม่ก็ระเบิดกลายเป็นฝุ่นควัน
ถึงแม้ว่าอาณาเขตของเถาวัลย์มารทมิฬจะกว้างใหญ่ สามารถดูดซับเอาไอพลังของสรรพชีวิต สัตว์อสูรธรรมดาเป็นหมื่นเป็นพันก็ล้วนแต่กลายเป็น ‘อาหาร’ ช่วยให้พวกมันเติบโตไวขึ้น
ทว่าสัตว์อสูรของจ้าวเฟิงอยู่ในขั้นจิตวิญญาณที่แท้จริง อีกทั้งมีจำนวนเยอะและมีกำลังมาก พลังที่เกิดขึ้นจึงยากจะคาดคิดได้