Skip to content

King of Gods 550

King Of Gods

บทที่ 550 อาวุธชั้นพิภพ

จ้าวเฟิงเพิ่งเคยพานพบ ‘อาวุธชั้นพิภพ’ ที่สมบูรณ์แบบเป็นครั้งแรก

ณ ทวีปบุปผาครามบ้านเกิดเขา ถึงแม้ว่าจะเคยมีช่วงรุ่งโรจน์ของอาวุธชั้นพิภพ แต่สำหรับสำนักทั้งหลายมันเป็นเสมือนสิ่งของในตำนานเท่านั้น

“ทำลายมันซะ!”

‘ดาบจันทร์เสี้ยวเขี้ยวหมาป่า’ ในมือของลู่เทียนอี้ปลดปล่อยเงาสีม่วงแดงรูปร่างคล้ายหมาป่า ลากออกเป็นลำแสงดาบเจิดจ้ายาวสองสามลี้ มันทำลายไอสวรรค์จำนวนนับไม่ถ้วนจนอากาศรอบบริเวณสั่นสะเทือน

กลางอากาศเหลือเพียงแค่ลำแสงใบมีดสีม่วงทอง ตัวด้ามจับซึ่งเป็นแสงสีม่วงรูปร่างคล้ายหัวหมาป่า สาดซัดพลังราชันมารที่ทำให้โลกปั่นป่วนได้ออกมา

พลังดาบที่ฟาดลงมาทำให้สุริยันและจันทรามืดครึ้มลง ฟ้าดินปั่นป่วนไปหมด!

รัศมีหมื่นลี้ภายในซากปรักหักพังสือเฉิง สิ่งมีชีวิตจำนวนมากมายล้วนแต่สั่นไหวด้วยความหวาดกลัวสุดขั้วหัวใจ

“นี่คือพลังที่แท้จริงของอาวุธชั้นพิภพหรือ?” จ้าวเฟิงนั่งลง ส่งพลังปะทะรุนแรงที่ให้ความรู้สึกเหมือนจะหายใจไม่ออกออกไป

ความรู้สึกเช่นนี้ราวกับเผชิญหน้ากับภัยพิบัติทำลายล้าง พลังที่มีอยู่ราวเล็กเท่าเม็ดทราย

“อาวุธชั้นพิภพที่สมบูรณ์ส่งผลให้พลังการรบแข็งแกร่งขึ้นเป็นอย่างมาก อยู่เบื้องหน้าคมดาบนี้ ผู้สูงศักดิ์ขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตแก่นก่อกำเนิดกว่าครึ่งของทวีปบุปผาครามยากที่จะเอาชีวิตรอดไปได้”

ภายในลูกประคำหมื่นวิญญาณ เจ้าหอโครงกระดูกใจสั่นระรัว

อาวุธชั้นพิภพจะสามารถปลดปล่อยพลังที่แท้จริงของมันออกมาได้เมื่ออยู่ในมือของผู้สูงศักดิ์

ส่วนมากผู้สูงศักดิ์ของทวีปบุปผาครามล้วนแต่มีเศษเสี้ยวอาวุธชั้นพิภพอยู่ในครอบครอง แต่ทว่ายังห่างกับลู่เทียนอี้อยู่มากโข ยิ่งไปกว่านั้น ลู่เทียนอี้มาจากสำนักสองดาวครึ่ง วิชามรดกที่ใช้ฝึกตนของเขาย่อมเหนือกว่าผู้สูงศักดิ์ทั่วไปของทวีปบุปผาคราม

ตูม โครม~

ลำแสงดาบที่ลากยาวจากเงาหมาป่าอสูรปกคลุมเต็มท้องฟ้า ก่อนจะพุ่งตรงไปยัง ‘ยักษ์ศิลา’ แล้วกลืนกินไปจนหมด

“นอนราบลง!” จ้าวเฟิงควบคุมให้ยักษ์ศิลาขดตัวกลายเป็น ‘ก้อนศิลา’ เพื่อลดการบาดเจ็บที่อาจเกิดขึ้นได้

แต่ถึงแม้ว่าจะทำเช่นนั้น บนร่างกายของยักษ์ศิลาก็ปรากฏบาดแผลลึกจำนวนมาก ส่วนมากเป็นรอยแตกร้าวจากมีด ทั่วร่างเป็นริ้วๆ เศษหินกลายเป็นฝุ่นและควัน อนาถจนเกินจะทนดูได้

หากว่าเป็นผู้สูงศักดิ์ธรรมดามาต้านรับพลังดาบนี้ หากไม่ตายชีวิตก็คงหายไปกว่าครึ่ง

แต่ว่ายักษ์ศิลามีพลังต้านทานสูงกว่าขั้นผู้สูงศักดิ์หลายเท่า จึงยังสามารถรักษาชีวิตรอดได้ ไม่เป็นอันตรายถึงชีวิตจากการโจมตีเมื่อครู่

“คมดาบหมาป่าพิฆาตมังกร!”

พลังสายเลือดภายในร่างของลู่เทียนอี้สูงขึ้นไปอีก ไอสวรรค์ปั่นป่วนกระจัดกระจาย ‘ดาบจันทร์เสี้ยวเขี้ยวหมาป่า’ ได้พาเอาเงาหมาป่าสามหัวที่น่าสะพรึงกลัวออกมาด้วย มันกลายเป็นแสงดาบสว่างเจิดจ้าสามสายเข้าไล่ฟันยักษ์ศิลาอย่างต่อเนื่อง

มุดดิน!

ใบหน้าของจ้าวเฟิงเปลี่ยนสี การโจมตีในครั้งนี้ของลู่เทียนอี้แข็งแกร่งกว่าตอนแรกเป็นเท่าตัว

บึ้ม! โครม ตูม ตูม…

ทั่วร่างของยักษ์ศิลาเปล่งแสงสีซีด ค่อยๆ มุดลงไปยังใต้ดิน แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ยังโดนทำร้ายเป็นบาดแผลฉกรรจ์อยู่ดี

ภายในรัศมีสิบลี้ราวกับโดนทำลายล้างจนพินาศ

ในวินาทีนั้น ทั่วทั้งหุบเขาลี้ลับมีเสียงสะเทือนโครมครามสะท้อนไปทั่ว

ฮู!

ใต้ดิน ยักษ์ศิลาร้องโหยหวนด้วยร่างกายของพวกมันเกิดแผลยาวและลึกกว่าเดิมหลายแผล การบาดเจ็บในครั้งนี้สาหัสสากรรจ์เอาการ ดวงตาจวนบ้าคลั่งทั้งคู่ของยักษ์ศิลาจ้องเขม็งไปยังลู่เทียนอี้

ฟู่~

ฝุ่นควันกระจายเต็มอากาศ ครอบคลุมทั่วพื้นที่บริเวณนั้น เสียงลมร้องหวีดหวิวไม่หยุดเลยแม้แต่วินาทีเดียว

“เหอะเหอะ แข็งแกร่งจริงๆ” นอกเหนือจากอาการตกใจของจ้าวเฟิง มุมปากเขายกขึ้นน้อยๆ เป็นรอยยิ้ม

ในวินาทีนี้เอง เขาค่อยๆ หยุดควบคุมยักษ์ศิลา

ยักษ์ศิลาโดนทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัส มีบาดแผลทั่วร่างกาย ถึงแม้ว่าอยากจะเอาตัวรอด แต่ก็อยากจะเอาคืนลู่เทียนอี้ด้วย มันโดนความแค้นเข้าครอบงำจนสิ้น ภายในนัยน์ตามีแต่ลู่เทียนอี้ที่มันนับว่าเป็น ‘ศัตรู’ ทั้งยังหมายมั่นที่จะทำลายอีกฝ่ายให้สูญสลายเป็นผุยผงให้ได้

โฮก!

ทั่วร่างของยักษ์ศิลาเจิดจ้าเป็นสีเหลืองทองยามทะยานขึ้นมา พลังกายแข็งแกร่งขึ้นอีกขั้นเหมือนไปกระตุ้นพลังสายเลือดบางอย่างเข้า มันพุ่งถลาตรงไปยังลู่เทียนอี้

“จงตายซะ!” ลู่เทียนอี้ยิ้มเย็น กวัดแกว่งอาวุธชั้นพิภพ แล้วจึงพุ่งโจมตียักษ์ศิลาอย่างบ้าคลั่ง

แน่นอนว่าเขาไม่ได้สังเกตเลยว่าจ้าวเฟิงไม่ได้ควบคุมยักษ์ศิลาอีกต่อไปแล้ว

วินาทีนี้ลู่เทียนอี้มีเพียงเป้าหมายเดียวเท่านั้น หลังจากสังหารยักษ์ศิลาสำเร็จ จึงจะล่วงล้ำเข้าไปสังหารจ้าวเฟิงได้

เป้าหมายนี้ยิ่งใกล้เข้าไปทุกทีแล้ว

ผ่านไปไม่เกินห้ากระบวนท่า เขาก็สามารถสังหารยักษ์ศิลาได้

“น่าชมยิ่งนัก น่าชมยิ่งนัก” จ้าวเฟิงนั่งอยู่บนกิ่งไม้ ทั่วร่างของเขาห่อหุ้มไปด้วยกำแพงน้ำสีฟ้าซึ่งคอยดูดซับพลังที่หลงเหลือจากการต่อสู้เบื้องหน้า

เมื่อปรายตามองยักษ์ศิลาที่กำลังจะตาย เขากลับผ่อนคลายสบายใจ ดูแล้วจ้าวเฟิงไม่ได้สนใจภยันตรายที่กำลังจะเกิดขึ้นเลย

“มีบางอย่างไม่ถูกต้อง!”

“จ้าวเฟิงผู้นี้ควบคุมเผ่าพันธุ์สายเลือดโบราณ ไม่น่าจะผ่อนคลายขนาดนี้”

โลกภายนอก ยอดฝีมือทั้งสามสำนักมองออกถึงความไม่ชอบมาพากล

“แย่ล่ะ! จ้าวเฟิงไม่ได้ควบคุมยักษ์ศิลาอีกต่อไป” เฉิงเยว่เซียนกูหน้าชาวาบ

ฝูงชนหน้าเปลี่ยนสีไปตามๆ กัน หลังจากที่เผชิญกับการต่อสู้ไปครั้งแล้วครั้งเล่า ก็ไม่มีใครสงสัยในพลังของจ้าวเฟิงอีก

ยิ่งไปกว่านั้น ภายในใจของราชันในขอบเขตปราณเทวะทั้งสาม พลังของจ้าวเฟิงแข็งแกร่งยิ่งกว่าเจ้าหอโครงกระดูกที่เป็นผู้สูงศักดิ์เสียอีก เดาได้เลยว่ายามจ้าวเฟิงไม่ต้องควบคุมยักษ์ศิลา ต่อไปจะเกิดเหตุอันใดขึ้นอีก

“หมาป่าทลายดารา!” ลู่เทียนอี้แกว่ง ‘ดาบจันทร์เสี้ยวเขี้ยวหมาป่า’ เกิดเป็นเงามีดรูปร่างหัวหมาป่าขนาดใหญ่ ซึ่งปล่อยลำแสงสีม่วงทองที่ทำลายล้างทุกอย่างออกมามากมาย

ลู่เทียนอี้บีบยักษ์ศิลาให้มาถึงจุดชี้เป็นชี้ตาย เขาเลียริมฝีปากน้อยๆ ในใจก็ลิงโลดขึ้นมา ยามเมื่อได้ฟาดฟันดาบลงบนร่างของเผ่าพันธุ์สายเลือดโบราณ ในใจรู้สึกลำพองยิ่งกว่าสังหารผู้สูงศักดิ์สำเร็จเสียอีก

แล้วในเวลานั้นก็เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น

พรึ่บ! ดวงตาสวรรค์ขนาดใหญ่สีฟ้าโปร่งแสงปรากฏขึ้นกลางอากาศเหนือศีรษะของลู่เทียนอี้

หืม?

ใจของลู่เทียนอี้สั่นไหวเมื่อสัมผัสได้ถึงพลังจิตวิญญาณซึ่งกดจากเบื้องบนในเวลานั้นเขากระตุ้นพลังออกมา กำลังปลดปล่อยวิชามรดกลงมือสังหารยักษ์ศิลา

“รัศมีม่วงพิฆาต เนตรมรกตพิฆาต!”

เนตรสวรรค์กลายเป็นสีเขียวมรกต ค่อยๆ ปรากฏกลิ่นอายสีม่วงสุกสกาวออกมา

ฟิ้ว!

ไอมีดขนาดใหญ่กึ่งโปร่งแสง ตรงคมมีดล้อมรอบไปด้วยกลิ่นอายของพลังวายุอัสนีสีม่วง พุ่งตรงไปยังลู่เทียนอี้อย่างเหนือความคาดหมาย ตอนที่คมดาบเคลื่อนเข้าใกล้ร่างของเขา ลู่เทียนอี้ใจกระตุกวูบยามสัมผัสได้ถึงจิตสังหารที่พุ่งตรงมา

แล้วในวินาทีนั้นเอง วิญญาณกับสายเลือดของเขาก็เต้นรัวอย่างบ้าคลั่ง อาวุธชั้นพิภพในมือสั่นน้อยๆ เป็นการเตือน

“แย่แล้ว!” ในสถานการณ์แบบนี้ ลู่เทียนอี้ไหนเลยจะมีแก่ใจสังหารยักษ์ศิลา เขารีบหลบในทันทีแล้วจึงกระตุ้นพลังแก่นก่อกำเนิดมาปกป้องร่างกาย

แต่เหมือนว่าลู่เทียนอี้จะช้าไปเสียแล้ว ยามที่กำลังจะลงมือสังหารยักษ์ศิลา เขารวบรวมพลังไว้มากเกินไป จึงไม่ทันสังเกตว่าจ้าวเฟิงไม่ได้ควบคุมยักษ์ศิลาอีกต่อไปแล้ว

ผลัวะ!

ไอมีดของรัศมีม่วงพิฆาตฟาดฟันลงไปที่ร่างของลู่เทียนอี้เต็มๆ จนเลือดสาดกระเซ็น

“อ๊าก…” ลู่เทียนอี้กรีดร้อง ถึงแม้ว่าเขาจะพยายามหลบหลีก แต่ว่าแขนข้างหนึ่งของเขาก็ยังโดนไอมีดไร้รูปร่างที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายสังหารตัดจนขาด

ภาพนี้ทำให้เหล่ายอดฝีมือที่อยู่ ณ โลกภายนอกตกใจจนตัวแข็งทื่อ

คนจำนวนไม่น้อยมองออกว่าจ้าวเฟิงลงมือรวดเร็วฉับไว แต่คิดไม่ถึงเลยว่าพลังที่เขาส่งออกไปจะแข็งแกร่งมากขนาดนี้

ทันทีที่เนตรสวรรค์ปรากฏขึ้นก็สาดลำแสงพิฆาตลงมาตัดแขนข้างหนึ่งของ ‘ลู่เทียนอี้’

‘เนตรมรกตพิฆาต’ พัฒนามาจากพื้นฐานของ ‘เนตรคมสวรรค์’ เป็นวิชาสายเลือดดวงตาที่โจมตีได้ว่องไวที่สุดของจ้าวเฟิง

แต่ว่าในครั้งนี้ พลังเกิดจากการหลอมรวมเนตรมรกตพิฆาตกับ ‘วายุอัสนีสีม่วง’ จึงทำให้รวมกลิ่นอายเสวียนอ้าวทำลายล้างเข้าไปด้วย

ประกอบกับที่วิญญาณกับพลังดวงตาของจ้าวเฟิงแข็งแกร่งเท่าผู้สูงศักดิ์แล้ว ขอบเขตจิตวิญญาณก็ใกล้จะถึงขั้นใจกลางขอบเขตแก่นก่อกำเนิด แล้วยิ่งหลอมรวมกับแก่นแท้จิตวิญญาณพฤกษาที่เพิ่มพลังผ่าน ‘เนตรสวรรค์’ อีก

ในสถานการณ์แบบนี้ ‘เนตรมรกตพิฆาต’ ของจ้าวเฟิงแทบจะถึงขั้นที่สามารถสังหารผู้สูงศักดิ์ธรรมดาได้แล้ว

หากไม่ใช่เพราะคุณสมบัติสายเลือดของ ‘ลู่เทียนอี้’ พิเศษพิสดาร สามารถหลบหลีกได้ทันเวลา การลอบโจมตีครานี้คงปลิดชีพเขาไปแล้ว

ฟู่~

หลังของลู่เทียนอี้เต็มไปด้วยเหงื่อ รู้สึกราวกับเพิ่งเดินผ่านประตูยมโลกมาอย่างไรอย่างนั้น

ในที่สุดเขาก็เข้าใจในสิ่งที่เฉิงเยว่เซียนกูเอ่ยปากเตือนก่อนที่เขาจะเข้ามา

‘เทียนอี้ ถึงแม้ว่าเจ้าจะมีอาวุธสังหารที่เลิศล้ำปานใด แต่ห้ามดูแคลนศัตรูของเจ้าเด็ดขาด ตัวอันตรายไม่ใช่เจ้าหอโครงกระดูกในขั้นผู้สูงศักดิ์ แต่เป็นนายเหนือแท้จ้าวเฟิงต่างหาก’

ยามนี้เขาสูญเสียแขนไปข้างหนึ่ง พลังการรบของเขาย่อมลดลงตามไปด้วย

อีกทั้งบาดแผลที่โดน ‘เนตรมรกตพิฆาต’ พาดผ่าน มีกลิ่นอายทำลายล้างของวายุอัสนีแทรกซึมเข้ามาทำลายร่างกายภายใน ด้วยเหตุนี้การบาดเจ็บของเขาจึงไม่ใช่แค่แขนขาดธรรมดา

ฮูววว~

ในเวลาเดียวกันนี้เอง เสียงร้องคำรามของยักษ์ศิลาใต้ดินก็ดังขึ้นแล้วปลดปล่อยพลังโจมตีกลับ แรงดึงดูดไร้รูปร่างพุ่งไปยังลู่เทียนอี้

ร่างกายของลู่เทียนอี้สั่นน้อยๆ ยามยกดาบขึ้นเพื่อตั้งรับการโจมตี เขาตกเข้าสู่สถานการณ์สองรุมหนึ่ง

บนศีรษะมีเนตรสวรรค์ เบื้องล่างยังมียักษ์ศิลา แต่ที่ทำให้ลู่เทียนอี้อกสั่นขวัญแขวนกลับเป็นเนตรสวรรค์มากกว่า

ลำแสงจิตวิญญาณเหมันต์!

ลำแสงเหมันต์สีฟ้าอ่อนกึ่งโปร่งแสงพุ่งลงมาจากฟ้า หอบเอาไอเหมันต์หนาวเหน็บที่แช่แข็งบรรดาสรรพชีวิตมากลืนกินร่างลู่เทียนอี้

ลู่เทียนอี้เตรียมการป้องกันด้วยการกระตุ้นพลังสายเลือด ใช้พลังของอาวุธชั้นพิภพปกป้องร่างกาย

เสียง ‘ตึง’ ดังขึ้น เขาสามารถรับกระบวนท่านี้ได้

แต่ว่าลู่เทียนอี้ต้องรับศึกสองด้าน เมื่อโดนโจมตีจากกระบวนท่านี้แล้ว ร่างกายและจิตใจตึงเครียด ความเร็วในการเคลื่อนไหวก็ช้าลง

สวบ!

เมื่อโจมตีไม่สำเร็จ เนตรสวรรค์จึงค่อยๆ หายไปจากกลางอากาศ

“ในวันนี้ความเข้าใจที่ข้ามีต่อวายุอัสนีสีม่วงลึกซึ้งกว่าเดิมมาก สามารถประลองกับผู้สูงศักดิ์ในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดแบบซึ่งๆ หน้าได้แล้ว” จ้าวเฟิงรำพึงกับตนเอง ยังไม่ทันเอ่ยจบ เงาร่างก็หายไปในทันที

วินาทีถัดมา

แซ่ด วิ้ง~

ปีกวายุอัสนียาวประมาณสองจั้งก็สาดกลิ่นอายเขย่าขวัญเหล่าสรรพชีวิต ก่อนจะบินขึ้นไปบนฟากฟ้าพร้อมเสียงดังแสบหู

เพียงชั่วพริบตา

ปีกวายุอัสนีสีเขียวม่วงคู่นั้นก็นำจ้าวเฟิงไปอยู่เหนือร่างของลู่เทียนอี้

อะไรกัน!

ลู่เทียนอี้ที่กำลังต่อสู้กับยักษ์ศิลารู้สึกถึงพลังวายุอัสนีที่น่าสะพรึงอยู่บนศีรษะตน เขายิ่งสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายทำลายล้างทุกอย่างด้วย

เขาไม่อาจจะคาดคิดได้เลยว่า ผู้ที่อยู่ต่ำกว่าขั้นขอบเขตแก่นก่อกำเนิดจะมีความเร็วและกลิ่นอายพลังที่น่ากลัวเช่นนี้

“รัศมีม่วงพิฆาต แส้วายุอัสนี!”

ในมือจ้าวเฟิงปรากฏแส้วายุอัสนีที่มีรัศมีสีเขียวม่วงหมุนวน ราวกับเป็นงูวายุอัสนียาวสิบกว่าจั้ง พลังของไอสวรรค์วายุอัสนีที่ทำให้ฟ้าดินปั่นป่วนไปหมดตรงเข้ารัดลู่เทียนอี้

เพียะ เพียะ! พลั่ก ผลัวะ ชวิ้ง!

‘รัศมีม่วงพิฆาต แส้วายุอัสนี’ เต็มไปด้วยกลิ่นอายทำลายล้างของวายุอัสนี ทุกครั้งที่พันรัดเป้าหมาย สายฟ้าจะสะเทือนเลือนลั่นเขย่าขวัญผู้ที่พบเห็น

พรึ่บ! พรึ่บ! แซ่ด!

เมื่อมีปีกวายุอัสนีปรากฏขึ้นบนหลัง ทำให้ความเร็วของจ้าวเฟิงเพิ่มมากขึ้นเกินมนุษย์ ทั้งยังสามารถเพิ่มพลังให้กับวายุอัสนีด้วย

ด้วยสภาวะเช่นนี้ จึงกลายเป็นว่าขอบเขตจิตวิญญาณของจ้าวเฟิงแข็งแกร่งเทียมเท่าผู้สูงศักดิ์ไปแล้ว

ขณะขยับทุกอากัปกิริยา พลังที่จ้าวเฟิงเรียกใช้ล้วนไปถึงขั้นผู้สูงศักดิ์ทั้งสิ้น

ลู่เทียนอี้บาดเจ็บทั้งส่วนบนและล่าง โดนโจมตีสะบักสะบอมเสียจนร้องครวญคราง

“พลังของจ้าวเฟิงแข็งแกร่งมาถึงขั้นนี้ตั้งแต่เมื่อใด กลิ่นอายเสวียนอ้าวของวายุอัสนีทำลายล้างนั่นมากพอที่จะทำร้ายผู้สูงศักดิ์ได้เลย” เจ้าหอโครงกระดูกที่อยู่ภายในประคำหมื่นวิญญาณถูกคลื่นความกลัวเข้ามาเกาะกุมจิตใจ

เขาค่อยๆ ฟื้นฟูพลังผู้สูงศักดิ์เพื่อเพิ่มโอกาสในการทรยศให้สำเร็จ แต่คิดไม่ถึงเลยว่าพลังของจ้าวเฟิงจะมาถึงขั้นนี้เสียแล้ว

“มรดกอาวุธชั้นพิภพ หอกจักรพรรดิเหมันต์!” จ้าวเฟิงร้องคำราม ปีกวายุอัสนีที่อยู่เบื้องหลังเขาขยับไหวๆ ในมือปรากฏเงาหอกจักรพรรดิเหมันต์สีฟ้า

วิ้ง!

เงาหอกเหมันต์สีฟ้านั้นเป็นรูปธรรมมากขึ้นทีละน้อย พลังที่แท้จริงของอาวุธชั้นพิภพค่อยๆ สำแดงออกมา

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!