Skip to content

King of Gods 606

King Of Gods

บทที่ 606 เตรียมทะลวงขั้น

ที่ผ่านมา

กลิ่นอายของห้วงฝันบรรพกาลโดนสายเลือดของจ้าวเฟิงดูดซึมเอาไว้

ในเวลาดังกล่าว จ้าวเฟิงกลับเกิดความคิดหาญกล้าที่จะเอากลิ่นอายห้วงฝันบรรพกาลภายในร่างหลอมรวมเข้ากับพลังดวงตาและพลังวิญญาณ

ดวงตาเทพเจ้าของจ้าวเฟิงกับดวงวิญญาณเชื่อมต่อสอดประสานกันโดยตรง

กลิ่นอายห้วงฝันบรรพกาลจึงหลอมรวมเข้าในพลังวิญญาณและพลังดวงตาไปกับดวงตาเทพเจ้า

ผลัวะ วิ้ง!

ผิวด้านบนของทะเลสาบพลังดวงตาเกิดระลอกวงน้ำ แล้วดูดซึมเอากลิ่นอายห้วงฝันบรรพกาลอย่างรวดเร็ว

ทันใดนั้นเอง ดวงวิญญาณของจ้าวเฟิงสั่นไหว

ดวงวิญญาณที่เชื่อมโยงกับ ‘ดวงตาเทพเจ้า’ ดูดซึมกลิ่นอายห้วงฝันบรรพกาลสำเร็จ ประหนึ่งเป็นพืชเหี่ยวแห้งที่ดูดซึมเอาน้ำเข้าไป

ความรู้สึกมีชีวิตชีวาที่ลึกซึ้งนั้นละม้ายคล้ายกับคราแรกที่ได้ดูดซึมกลิ่นอายห้วงฝันบรรพกาล

“ช่างดีนัก กลิ่นอายห้วงฝันบรรพกาลน่าจะมีผลที่น่าอัศจรรย์ต่อดวงวิญญาณ” จ้าวเฟิงมีสีหน้ายินดี

พื้นฐานสายเลือดของเขาดูดซึมกลิ่นอายห้วงฝันบรรพกาลไปไม่น้อย ผลที่ได้ตามมากลับน้อยลงทุกวัน

แต่พลังดวงตาและพลังวิญญาณกลับไม่เหมือนกัน

นี่เป็นครั้งแรกที่จ้าวเฟิงให้พลังวิญญาณและพลังดวงตาดูดซึมกลิ่นอายห้วงฝันบรรพกาล

ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นโดดเด่นชัดเจนมากมายนัก!

เวลาครึ่งชั่วยามจากนั้น

พลังวิญญาณและพลังดวงตาของจ้าวเฟิงซึมซับเศษเสี้ยวกลิ่นอายห้วงฝันบรรพกาลที่หลงเหลืออยู่ภายในร่างไปจนหมด

เมื่อสัมผัสอย่างละเอียดถี่ถ้วนดูแล้ว กลิ่นอายของสายธารในทะเลสาบพลังดวงตาพิสุทธ์ใสยิ่งขึ้น อีกทั้งในชั้นดวงวิญญาณ จ้าวเฟิงเองก็สัมผัสได้ว่าดวงวิญญาณของตนแข็งแกร่งมากขึ้นกว่าเดิม

“กลิ่นอายห้วงฝันบรรพกาลช่วยหล่อเลี้ยงให้ดวงวิญญาณกระปรี้กระเปร่าขึ้น รวมทั้งช่วยให้รวมตัวและคงสภาพด้วย” จ้าวเฟิงเปรียบเทียบก่อนหลังอย่างละเอียดถี่ถ้วน

ในเดือนถัดมา

ทุกครั้งที่จ้าวเฟิงเข้าไปภายในห้วงฝันบรรพกาล กลิ่นอายในนั้นเกินกว่าครึ่งจะให้พลังวิญญาณและพลังดวงตาดูดซึมไปจนสิ้น

หลังจากดูดซึมไปหลายครั้ง จ้าวเฟิงจึงพบว่าพลังดวงวิญญาณของตนเองแข็งแกร่งและลึกล้ำกว่าเดิมมาก

ที่ผ่านมา พลังดวงวิญญาณของจ้าวเฟิงแข็งแกร่งขึ้นรวดเร็วราวติดปีกบินด้วยปัจจัยการช่วยเหลือจากแก่นแท้จิตวิญญาณพฤกษา

แต่นอกเหนือจากความแข็งแกร่งแล้ว อย่างอื่นกลับไม่คงสภาพมากพอ

หากจะเปรยบเทียบให้เห็นภาพก็ดังเช่นคนอ้วนผู้หนึ่งที่มีเนื้อบนเรือนร่างเยอะ แต่ต่อสู้ชายหนุ่มรูปร่างกำยำมีกล้ามเนื้อไม่ได้

ในตอนนี้ จ้าวเฟิงดูดซึมเอากลิ่นอายห้วงฝันบรรพกาลเพื่อให้ดวงวิญญาณที่แข็งแกร่งอยู่แล้วยิ่งคงสภาพกว่าเดิม

“ดูดซึมกลิ่นอายห้วงฝันบรรพกาลแล้วดวงวิญญาณของข้าแข็งแกร่งขึ้นไม่หยุด ส่วนประกอบพลังก็ยิ่งล้ำลึกขึ้นเรื่อยๆ ไม่รู้ว่าต่อไปในภายภาคหน้าจะมีการเปลี่ยนแปลงอะไรเกิดขึ้นอีก?”

จ้าวเฟิงฝึกฝนดวงวิญญาณให้แข็งกล้าตามสัญชาตญาณ

ภายในระยะเวลาสั้นๆ ผลลัพธ์ของการเพิ่มระดับจะเพียงแค่ทำให้ประสาทสัมผัสทั้งหมดแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น ส่วนประกอบในระดับชั้นวิญญาณลึกซึ้งขึ้น

แต่สิ่งที่จ้าวเฟิงไม่รู้ก็คือ การตัดสินใจจากความรู้สึกของตนเองครานี้ จะมีประโยชน์ต่อการฝึกตนของเขาในอนาคตอย่างที่คาดคิดไม่ถึง

ทว่าเรื่องราวในอนาคตเหล่านี้ ยังไม่จำเป็นต้องเอ่ยในตอนนี้

ในปัจจุบัน พลังดวงตาและวิญญาณของจ้าวเฟิงดูดซึมกลิ่นอายห้วงฝันบรรพกาลไปแล้วจึงสัมผัสได้ว่ามีประโยชน์ไร้โทษ แน่นอนว่าย่อมดูดซับไปเป็นจำนวนมาก

สองเดือนจากนั้น

พลังวิญญาณของจ้าวเฟิงก็คงสภาพและแข็งแกร่งขึ้นอย่างรวดเร็ว ในช่วงเดือนแรกๆ ที่ผ่านมา การให้พลังวิญญาณและพลังดวงตาดูดซึมกลิ่นอายห้วงฝันบรรพกาลได้ผลดีเลิศยิ่งนัก

โดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว ระดับชั้นดวงวิญญาณของจ้าวเฟิงก็ล้ำหน้าเกินกว่าขั้นขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับต่ำ พอๆ กับขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูง หนำซ้ำยังคงสภาพมากนัก

อีกทั้งจ้าวเฟิงสัมผัสได้ว่า ดวงวิญญาณของตนเปลี่ยนแปลงไปจากยามอดีตอย่างบอกไม่ถูก

อย่างแรกเลยคือ ดวงวิญญาณของเขาแกร่งกล้ามั่นคงกว่ายามก่อนมาก

อีกอย่างคือ กลิ่นอายที่ดวงวิญญาณสาดซัดออกมาใกล้เคียงกับแหล่งกำเนิดพลังมากขึ้นทุกที

แล้วผลลัพธ์ที่โดดเด่นที่สุดคือ ปฏิกิริยาการดูดซึมไอสวรรค์ในฟ้าดินของจ้าวเฟิงกับความเข้าใจในการใช้เสวียนอ้าวจำพวกวายุอัสนีพิฆาตสีม่วงก้าวหน้าไปกว่ายามก่อนมาก

ความเข้าใจใน ‘วายุอัสนีพิฆาตสีม่วง’ ของจ้าวเฟิงก็รวดเร็วขึ้นมากโดยไม่รู้ตัว

ในเส้นทางเดินเรือที่ยาวไกล เวลาหมุนเวียนเปลี่ยนผันไปอย่างรวดเร็ว เพียงพริบตาเดียวก็ผ่านไปครึ่งปี

ครึ่งปีที่ผ่านมานี้ เส้นทางเดินเรือของเรือหลานเหลยราบรื่นเป็นอย่างยิ่ง

หลี่อวิ๋นหยาและโหลวหลานจื๋อสุ่ยผู้เป็นรองหัวหน้าเรือทั้งสอง คนหนึ่งรับผิดชอบงานภายนอก อีกคนรับผิดชอบงานภายใน แบ่งงานกันอย่างชัดเจน

เมี้ยว เมี้ยว!

บางครั้งเจ้าแมวขโมยตัวน้อยจะขึ้นไปบนหอสังเกตการณ์ของเรือ โยนเหรียญทองแดงโบราณหลายเหรียญเพื่อกำหนดเส้นทางเดินเรือเส้นใหม่

สำหรับความช่วยเหลือของเจ้าแมวขโมยตัวน้อย หลี่อวิ๋นหยาและโหลวหลานจื๋อสุ่ยผู้เป็นรองหัวหน้าเรือทั้งสองก็ไม่กล้าขัดคำสั่ง

ภายในห้องของหัวหน้ารือ

จ้าวเฟิงค้นพบว่าทุกครั้งที่เจ้าแมวเปลี่ยนเส้นทางการเดินเรือ ความรู้สึกอันตรายที่มาจากดวงวิญญาณจะลดลงไปหลายส่วน

 

“สามารถเปลี่ยนร้ายให้กลายเป็นดี เจ้าแมวตัวนี้น่าจะมีความสามารถลึกลับใน ‘ศาสตร์แห่งดวงชะตา’ เช่นกัน” จ้าวเฟิงเอ่ยเสียงต่ำ

เวลาครึ่งชั่วยามหลังจากนั้น

จ้าวเฟิงจึงป่าวประกาศ “รวมตัวกันโถงประชุม”

ภายในโถงประชุม

จ้าวเฟิง หลี่อวิ๋นหยา โหลวหลานจื๋อสุ่ย รวมไปถึงเจ้าหอโครงกระดูกปรากฏกายขึ้นพร้อมกัน

การประชุมในลักษณะนี้เกิดขึ้นได้น้อยนัก

หลี่อวิ๋นหยาและคนอื่นๆ จับจ้องสายตาไปบนเรือนร่างของจ้าวเฟิง ในฐานะที่เป็นหัวหน้าเรือ ทุกๆ ห้วงความคิดและการตัดสินใจของจ้าวเฟิงสามารถส่งผลต่อทุกชีวิตบนเรือได้ทั้งสิ้น

“กลิ่นอายบนร่างของจ้าวเฟิงผู้นี้ลึกล้ำไร้ก้นบึ้ง ข้าไม่อาจมองทะลุปรุโปร่งได้แล้ว” เจ้าหอโครงกระดูกจับจ้องเจ้านายของตนเต็มสองตา

ถ้าหากเป็นเมื่อครึ่งปีก่อนเขายังสามารถคาดคะเนถึงขีดจำกัดของจ้าวเฟิง แต่ในตอนนี้เขากลับคาดเดาระดับขั้นของจ้าวเฟิงไม่ได้เลยแม้แต่น้อย

แต่กลิ่นอายที่สาดซัดออกมาจากร่างจ้าวเฟิง ทั้งตั้งใจและไม่ตั้งใจ ล้วนแต่นำความกดดันอย่างหนึ่งมาให้หลี่อวิ๋นหยาและเจ้าหอโครงกระดูก

ความรู้สึกกดดันนั้นไม่เพียงมาจากแก่นแท้ชีวิต ทว่ายังมาจากชั้นดวงวิญญาณด้วย

“หัวหน้าเรือผู้เยาว์ท่านนี้ ไม่ว่าจะดวงวิญญาณหรือว่าสภาวะชีวิตล้วนแต่เหนือกว่าข้า” หลี่อวิ๋นหยาสูดหายใจเข้าลึกแล้วสำรวมจิตใจ

 

ต้องรู้ว่า พลังฝึกตนของหลี่อวิ๋นหยาเข้าใกล้ขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับต่ำช่วงสุดยอด พลังเหนือกว่าเจ้าหอโครงกระดูกเสียอีก

“นายท่าน! ด้านต่างๆ ของท่านมีเงื่อนไขพร้อมแล้วที่จะโจมตีข้ามไปยังขั้นผู้สูงศักดิ์” เจ้าหอโครงกระดูกร้องเสียงหลง

ทะลวงไปยังขั้นผู้สูงศักดิ์?

โหลวนหลานจื๋อสุ่ยที่อยู่อีกด้านใจเต้นถี่รัว

หัวหน้าเยาว์วัยผู้นี้เพิ่งจะอายุยี่สิบกว่าปี แต่มีความสามารถที่จะทะลวงผ่านขั้นขอบเขตแก่นก่อกำเนิดแล้ว การเตรียมการในด้านต่างๆ ก็พร้อมสรรพเสียด้วย

“ใช่! เรื่องนี้คือหนึ่งในเหตุผลที่เรียกรวมพวกเจ้าในครั้งนี้” จ้าวเฟิงผงกศีรษะ ไม่ได้ปฏิเสธ

จนถึงตอนนี้

สภาวะวิญญาณของเขาเข้าใกล้ขีดจำกัดของขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูง พลังดวงวิญญาณก็เทียบเท่าได้กับขอบเขตดังกล่าว ทั้งยังแข็งแกร่งมั่นคงยิ่งกว่าเดิม

ในด้านความเข้าใจในขอบเขตพลังวายุอัสนีพิฆาตสีม่วงก็ไปจนถึงสี่ห้าส่วนแล้ว

เมื่อเปรียบกับยามที่อยู่ในสนามรบสำนักสองดาว พลังของจ้าวเฟิงสูงส่งกว่าเดิมมากนัก!

ในเวลานี้ พลังฝึกตนของเขาก็ได้มาถึงระดับสุดยอดของขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตแก่นก่อกำเนิด เดินหน้าต่อไปอีกเพียงครึ่งขั้นก็จะกลายเป็นผู้สูงศักดิ์ที่แท้จริงแล้ว

“การจะทะลวงผ่านขอบเขตแก่นก่อกำเนิด ข้าต้องหาสภาพแวดล้อมที่สงบเงียบกว่านี้ นอกจากนี้ยังมีอีกเรื่องที่สำคัญมากกว่า” จ้าวเฟิงรีบเอ่ยเจตนาอย่างรวดเร็ว

 

เรือแห่งทะเลความว่างเปล่าแล่นผ่านไปในทะเลหมอกความว่างเปล่า สภาพแวดล้อมไม่ได้สงบเงียบมากนัก

อีกอย่าง ไอสวรรค์ฟ้าดินบนทะเลความว่างเปล่าก็เบาบาง ด้วยปัจจัยต่างๆ จึงไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีในการจะทะลวงขั้น

ถ้าหากยามปิดด่านฝึกตนพบเจอกับเรื่องราวที่ไม่ได้คาดคิด เช่นนั้นก็จะหนักหนาสาหัสยิ่งนัก

“สภาพแวดล้อมที่สงบมาก? เช่นนั้นก็มีเพียงแค่ตำหนักวิญญาณทะเลความว่างเปล่า” หลี่อวิ๋นหยาตอบทันทีโดยไม่ต้องคิด

ตำหนักวิญญาณทะเลความว่างเปล่าเป็นสถานที่บริสุทธิ์ที่สงบราบเรียบ ซ้ำยังเป็นพื้นที่พักฟื้นและจุดพักระดับสูง

ต่อให้เป็นสำนักสองดาวก็ไม่อาจหาญหาเรื่องตำหนักวิญญาณทะเลความว่างเปล่า

“ไม่เลวไม่เลว…ในช่วงระยะครึ่งปีที่ผ่านมา พลังของร้อยศพต้องสาปเข้าใกล้ครึ่งก้าวสู่ขอบเขตแก่นก่อกำเนิด ส่วนการฝึกตนของข้าก็มาถึงจุดติดขัด ต้องการทรัพยากรชั้นยอดส่วนหนึ่งด้วย” เจ้าหอโครงกระดูกมีท่าทีเปลี่ยนไป

โหลวหลานจื๋อสุ่ยผงกศีรษะเห็นด้วย “ตำหนักวิญญาณทะเลความว่างเปล่าเป็นพื้นที่พักฟื้นที่ปลอดภัยที่สุด ระยะกว่าครึ่งปีที่ผ่านมา ลูกเรือทั้งหลายก็ต้องการพักฟื้นและอยากแลกเปลี่ยนค้าขายเพื่อการฝึกตน นอกจากนี้ บางส่วนของเรือแห่งทะเลความว่างเปล่าก็ต้องการทรัพยากรมาซ่อมแซมและเพิ่มความแข็งแรง”

ทุกคนล้วนแต่เห็นด้วยกับความคิดนี้ รู้สึกตื่นเต้นอย่างยิ่ง

การเดินเรือบนทะเลความว่างเปล่ายาวนานไร้จุดสิ้นสุด น่าเบื่อเป็นยิ่งนัก

“หัวหน้าเรือ เรื่องสำคัญที่ท่านพูดถึงหมายถึงด้านใด?” หลี่อวิ๋นหยาเอ่ยถามอย่างประหลาดใจ

การจะทะลวงผ่านขอบเขตแก่นก่อกำเนิด เป็นเพียงหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้จ้าวเฟิงอยากจะไปตำหนักวิญญาณทะเลความว่างเปล่า

“เกี่ยวกับค่ายกลข้ามเขต” จ้าวเฟิงเอ่ยอย่างเคร่งขรึม

ค่ายกลข้ามเขต?

หลี่อวิ๋นหยาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็เข้าใจ จุดหมายของการเดินทางในครั้งนี้คือ ‘ดินแดนศักดิ์สิทธิ์เจินอู่’ ซึ่งมีระยะทางยาวไกลยิ่งนัก

“ด้วยความเร็วในตอนนี้ หากต้องการจะไปถึง ‘ดินแดนศักดิ์สิทธิ์เจินอู’ ต้องใช้เวลาห้าถึงหกปี ช้ามากเกินไปแล้ว” จ้าวเฟิงเอ่ยเนิบนาบ

“เวลาห้าหกปี? นี่ไม่นับว่ายาวนานเท่าไหร่” เจ้าหอโครงกระดูกเอ่ยอย่างไม่เป็นเดือดเป็นร้อนอะไร

แต่คาดคิดไม่ถึงเลยว่า จ้าวเฟิงในตอนนี้เพิ่งจะอายุได้ประมาณยี่สิบสองปีเท่านั้น เวลาห้าหกปีสำหรับเขานับว่ายาวนานยิ่งนัก ทว่าเจ้าหอโครงกระดูกมีชีวิตอยู่มาหลายร้อยปีแล้ว

“ในทุกตำหนักวิญญาณจะมีค่ายกลข้ามเขต สามารถเดินทางไปยังตำหนักวิญญาณส่วนอื่นได้ กระทั่งจะส่งไปที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์เจินอู่ก็ไม่ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้ เพียงแต่การจะใช้ ‘ค่ายกลข้ามเขต’ หากมิได้เป็นสมาชิกคนสำคัญในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ก็นับว่ายากลำบากยิ่งนัก” หลี่อวิ๋นหยาก็พอจะรู้เรื่องราวดังกล่าวอยู่บ้าง

ความยากในเรื่องนี้ จ้าวเฟิงย่อมรู้แจ้ง

ยามที่อยู่ในตำหนักวิญญาณทะเลความว่างเปล่าของ ‘ดินแดนหมู่เกาะเชียนหลิว’ ในครั้งก่อน จ้าวเฟิงได้ไปขอความช่วยเหลือจากคนในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งสองคน

 

แต่ว่าเจียงฟานและเฉินอี้หลินผู้เป็นอัจฉริยะของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไม่อยากจะสนใจเรื่องจุกจิกของจ้าวเฟิง จึงไม่ยินยอมช่วยเหลือเขา

“หลี่อวิ๋นหยา เจ้าเองก็ออกมาจากสำนักสองดาวครึ่งอย่าง ‘วังลิ่วหวน’ หรือว่าเรื่องนี้เจ้าจะไม่มีวิธีการใดเลย” จ้าวเฟิงไม่เชื่อว่าจะอับจนหนทาง

คนที่อยากจะไปดินแดนศักดิ์สิทธิ์เจินอู่ไม่ได้มีเพียงเขาคนเดียวแน่

“เรื่องนี้ไม่ได้มีทางเดียวเท่านั้น! ใน ‘กลุ่มดินแดนอู่เยวี่ย’ ของพวกเรา ถ้าหากยอดฝีมือในขอบเขตปราณเทวะออกหน้า ‘เจ้าตำหนักทะเลความว่างเปล่า’ ผู้นั้นก็คงจะพออะลุ่มอล่วยให้ได้” หลี่อวิ๋นหยาเอ่ยยิ้มๆ

จ้าวเฟิงปีติยินดี หลี่อวิ๋นหยาผู้มาจากสำนักใหญ่สองดาวครึ่งมีความรู้ประสบการณ์กว้างไกลยิ่งนัก

“แต่ว่าพวกเราเข้ามาภายในกลุ่มดินแดนแห่งใหม่แล้ว ยังพอมีวิธีอื่นอีกหรือไม่?” จ้าวเฟิงแอบมีความหวังน้อยๆ ดวงตาจับจ้องไปบนร่างของหลี่อวิ๋นหยา

ถ้าหากใช้ค่ายกลข้ามเขตได้จะลดระยะทางของจ้าวฟิงไปได้มาก

ในเวลาเดียวกัน ทำเช่นนี้ก็จะลดการคุกคามจากคำสั่งล่าสังหารได้ด้วย

“หัวหน้าเรือ มอบเรื่องนี้ให้ข้าจัดการเถอะ รอให้ไปถึงตำหนักวิญญาณที่ถัดไปก่อน ข้าจะลองดูสักหน่อย” แววตาของหลี่อวิ๋นหยาเป็นประกาย

เขารับคำเรื่องนี้ไว้ก่อน

จ้าวเฟิงพยักหน้าน้อยๆ หลี่อวิ๋นหยาเป็นคนมีความสามารถรอบด้าน บางทีอาจจะหาทางออกเรื่องนี้ได้

ครึ่งเดือนจากนั้น

เรือหลานเหลยเข้าสู่กลุ่มดินแดนใหม่ในละแวกใกล้เคียง คือบริเวณพื้นที่ใจกลางของ ‘กลุ่มดินแดนหย่งเฟิง’

“ท่านหัวหน้าเรือ อีกครู่ก็จะถึงตำหนักวิญญาณทะเลความว่างเปล่าในละแวกใกล้เคียงแล้ว” โหลวหลานจื๋อสุ่ยเอ่ย

หลายชั่วยามจากนั้น

กลุ่มลำแสงสีฟ้าสว่างใสราวกระจกแก้วปรากฏขึ้นในครรลองสายตา ทะเลหมอกแห่งความว่างเปล่าในละแวกใกล้เคียงสงบเงียบ กำแพงตำหนักปรากฏอยู่ภายในใจกลางกลุ่มลูกไฟสีฟ้านั้น

สวบ วูบ! เรือทะเลแล่นผ่านเขตแดนมาจนถึงยังด้านหน้าตำหนักวิญญาณทะเลความว่างเปล่า ตำหนักวิญญาณทะเลความว่างเปล่ากระจายตัวอยู่ทั่วทะเลความว่างเปล่า ในแทบจะทุกกลุ่มดินแดนจะมีตำหนักวิญญาณนี้

ตำหนักวิญญาณทะเลความว่างเปล่าในแต่ละพื้นที่มีขนาดเล็กใหญ่ไม่เท่ากัน

จ้าวเฟิงเก็บเรือ ทั้งรองหัวหน้าเรือและเหล่าลูกเรือ ในมือของแต่ละคนถือตราแห่งทะเลความว่างเปล่าไว้ จากนั้นเข้าไปภายในตำหนักวิญญาณ

ตราแห่งทะเลความว่างเปล่าใช้กับตำหนักวิญญาณที่อื่นได้ เมื่อเข้ามาภายในแล้ว จ้าวเฟิงและคนอื่นๆ ก็เข้าไปภายในโรงเตี๊ยมที่พักทันที

หลี่อวิ๋นหยา เจ้าหอโครงกระดูก โหลวหลานจื๋อสุ่ย และลูกเรือบางส่วนแยกย้ายกระจายตัวไปทำการซื้อขายทรัพยากรภายในจุดแลกเปลี่ยนระดับสูงแห่งนี้

แล้วหลี่อวิ๋นหยายังรับผิดชอบจัดการเรื่องของ ‘ค่ายกลข้ามเขต’ ด้วย

เจ้าหอโครงกระดูกยังต้องทุ่มเทแรงกายแรงใจกับ ‘ร้อยศพต้องสาป’ รวมไปถึงข้อติดขัดในการฝึกตนของตัวเอง

โหลวหลานจื๋อสุ่ยรับผิดชอบเรื่องหลังบ้านของเรือ เลือกซื้อเลือกหาทรัพยากรประเภทต่างๆ

ส่วนจ้าวเฟิงผู้เป็นหัวหน้าเรือเริ่มปิดด่านฝึกตนแล้วเตรียมพร้อมในขั้นสุดท้าย

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!