บทที่ 615 สถิติพันปีที่ยากจะทำลาย
“คิดไม่ถึงเลยว่าคู่ต่อสู้สามคนสุดท้ายจะเป็นถึงยอดผู้สูงศักดิ์ในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูง”
“น่าเสียดาย ถ้าหากว่าจ้าวเฟิงไม่หยิ่งผยองลำพองตน สุดท้ายแล้วการจะเอาชนะร้อยครั้งติดต่อกันน่าจะยังพอมีความหวังอยู่บ้าง”
ฝูงชนที่นั่งดูถอนหายใจพลางแสดงสีหน้าเสียดาย
ในเวลาดังกล่าว บนหน้าผากของจ้าวเฟิงมีรอยเหงื่อเย็นๆ ไหลออกมาบางส่วน ลมหายใจกระชั้นขึ้น
ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า ต่อให้จ้าวเฟิงต้องเผชิญหน้าขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูง ความน่าจะเป็นที่จะชนะก็ยังมีอยู่ค่อนข้างมาก ด้วยคู่ต่อสู้บางส่วนในคราวก่อนก็มีไม่น้อยที่พลังรบไปถึงขั้นยอดผู้สูงศักดิ์ในระยะเวลาอันสั้น
“พลังสายเลือดและปราณที่แท้จริงของข้าสลายไปเกินกว่าเจ็ดส่วนแล้ว…”
จ้าวเฟิงลอบสังเกตคู่ต่อสู้ที่อยู่ตรงหน้า
ผู้เฒ่าผมสีดอกเลาผู้นั้นฝึกตนอยู่ในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูงช่วงกลาง นี่ถือว่าเป็นระดับพลังฝึกตนที่จำกัดให้สูงสุดตามกติกาแล้ว
“คู่ต่อสู้ยังเหลืออีกสามคน คงต้องรีบสู้ให้จบไป” สายตาจ้าวเฟิงเป็นประกาย
“เริ่มได้” กรรมการโบกมือ
ปราการภูผาเหล็ก!
ผู้เฒ่าผมดอกเลาโบกมือ เงาลำแสงปราการภูผาปรากฏขึ้น เกิดเป็นภาพมายาของกลุ่มภูเขาแม่น้ำดุจกำแพงสำริดตระการตา สภาพแวดล้อมในฟ้าดินพลันถูกแทนที่ด้วยแสงวิจิตรสวยงาม
โครม โครม ตูม!
ผู้เฒ่าผมสีดอกเลาไม่ชะล่าใจ คืบคลานเข้าหาชัยชนะอย่างมั่นคง การจู่โจมของ ‘ปราการภูผาเหล็ก’ อยู่ในรูปแบบโจมตีก่อนแล้วค่อยๆ คุกคามกดดันจ้าวเฟิงทีหลัง
“เหอะ! ยอดผู้สูงศักดิ์ผู้ภาคภูมิ กลับหน้าไม่อายทำการประลองตัดทอนพลังของหัวหน้าเรือกับเขาด้วย” หลี่อวิ๋นหยามีสีหน้าเหยียดหยามเยาะเย้ย
ดูออกได้ไม่ยากว่าผู้เฒ่าคนนั้นอยากจะยื้อจ้าวเฟิงไว้ ความต้องการจะเอาชนะจึงไม่ได้แรงกล้ามากนัก
“จิตวิญญาณเทพวารี!” ทั่วร่างของจ้าวเฟิงเกิดเป็นลำแสงวารีสีฟ้า คล้ายภาพมายาบิดเบี้ยวทับซ้อนกันไปมา ร่างกายเป็นประหนึ่งของเหลวที่พลิ้วไหว มีระลอกคลื่นน้ำกระเพื่อมเป็นวงๆ
ผัวะ วิ้ง!
ในวินาทีนั้น ร่างกายของจ้าวเฟิงกลายเป็นระลอกของเหลวระยิบระยับ แล้วเปลี่ยนสภาพเป็น ‘ร่างจิตวิญญาณวารี’
โครม โครม ฟุ่บ! ผัวะ ผัวะ!
การโจมตีจากแม่น้ำภูผาที่สั่นไหวของผู้เฒ่าผมสีดอกเลา ไม่ต่างกับโยนก้อนหินลงในมหาสมุทร โดนจ้าวเฟิงมองข้าม พุ่งทะลวงผ่านไปทั้งอย่างนั้น
เมื่ออยู่ในสภาวะ ‘จิตวิญญาณวารี’ การป้องกันของจ้าวเฟิงอยู่ในสถานะที่ไม่มีทางพ่ายแพ้ อีกทั้งการโจมตีของร่างกายยังแฝงไปด้วยพลังที่ยิ่งใหญ่ไร้ขอบเขต
“ทำลาย!”
ร่างจิตวิญญาณวารีที่จ้าวเฟิงสร้างขึ้นโบกมือไปข้างหน้า ในทุกครั้งที่โจมตี ลำแสงวารีสีฟ้าเข้มจะกระเพื่อมรุนแรง เหมือนเป็นการโจมตีทรงอานุภาพด้วยสายน้ำหลากจากบรรพกาล
ภายในลำแสงวารีสีฟ้าเข้มมีเงาสัญลักษณ์ลี้ลับบางอย่างปรากฏขึ้นรางๆ พร้อมกลิ่นอายบรรพกาลมหาศาล
การดูดซึมกลิ่นอายห้วงฝันบรรพกาลไม่หยุด ทำให้พื้นฐานสายเลือดของจ้าวเฟิงเกิดการเปลี่ยนแปลงที่คนยากจะเข้าใจ
ขวับ โครม! โครม ฉัวะ!
เมื่อเผชิญหน้ากันจังๆ ผู้เฒ่าผมสีดอกเลาคนนั้นถอยร่นไปติดๆ
โจมตีกันอยู่สองสามกระบวนท่า กลับกลายเป็นผู้เฒ่าผมสีดอกเลาที่กระอักออกเลือดออกมาแล้วฝืนร่างอย่างสุดความสามารถ
“กลิ่นอายบรรพกาล? หรือว่ามรดกสายเลือดของจ้าวเฟิงผู้นี้มาจาก ‘รายชื่อหมื่นเผ่าพันธุ์โบราณ’ มิฉะนั้นจะมีพลังที่แข็งแกร่งเช่นนี้ได้อย่างไร”
เจ้าตำหนักหย่งเฟิงตกอยู่ในห้วงความคิด
และในเวลานี้เอง
ครืน โครม!
ค่ายกลบนเวทีประลองสั่นสะเทือนอย่างบ้าคลั่ง ผู้เฒ่าผมสีดอกเลาร่างกายลอยกระเด็นออกไป
“ต้องเป็นรายชื่อหมื่นเผ่าพันธุ์โบราณแน่ๆ…” ผู้เฒ่าผมสีดอกเลาสีหน้าซีดขาว มีสีหน้าตื่นตระหนก
เมื่อโดนผู้สูงศักดิ์ในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับต้นต่อสู้เอาชนะอย่างดุดัน ในสถานการณ์ปกติเขาไม่มีทางยอมรับได้แน่
แต่ถ้าหากฝ่ายตรงข้ามมีสายเลือดในตำนานอย่าง ‘รายชื่อหมื่นเผ่าพันธุ์โบราณ’ เช่นนั้นแล้วต่อให้ต้องพ่ายแพ้ก็ไม่มีอะไรขายหน้าแต่อย่างใด
ผัวะ วิ้ง!
จ้าวเฟิงฟื้นฟูร่างกายและเลือดเนื้อ เอ่ยเสียงเรียบว่า “เรียนท่านทั้งหลาย มรดกสายเลือดของข้าจ้าวเฟิงกับสายเลือดหมื่นเผ่าพันธุ์โบราณยังมีความแตกต่างอยู่หลายส่วน”
พลังสายเลือดของหมื่นเผ่าพันธุ์โบราณ จ้าวเฟิงเองก็เคยเห็นมาก่อนแล้ว
หากจะเอ่ยกันตรงๆ กลิ่นอายสายเลือดของจ้าวเฟิงที่ข่มสายเลือดธรรมดาได้ไม่ได้ด้อยไปกว่ารายชื่อหมื่นเผ่าพันธุ์โบราณเลย แต่จ้าวเฟิงคิดไปว่าเมื่อเทียบกับพลังสายเลือดของเจียงฟานแล้วยังแตกต่างอยู่ส่วนหนึ่ง
“หากพลังสายเลือดของข้าไม่หยุดดูดซึมกลิ่นอายห้วงฝันบรรพกาล ไม่ช้าก็เร็วจะเทียบเคียงได้กับสายเลือดในตำนานอย่างรายชื่อหมื่นเผ่าพันธุ์โบราณได้”
ใจจ้าวเฟิงเต้นรัวเร็ว
เขายังคงจำได้อย่างชัดเจนว่า ในครั้งแรกที่เผชิญหน้ากับกลิ่นอายสายเลือดของเจียงฟาน พลังสายเลือดของตนเองโดนกดข่มไว้
แต่ว่าในวันนี้กลิ่นอายสายเลือดภายในร่างของจ้าวเฟิงพอๆ กับเจียงฟานเมื่อหนึ่งปีก่อนแล้ว
“รอบที่เก้าสิบเก้า” แววตาที่กรรมการจ้องมองจ้าวเฟิงไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
บรรยากาศภายในสนามประลองร้อนแรงและครึกครื้นขึ้นอีก บรรดาผู้ชมส่วนหนึ่งแทบจะกลั้นลมหายใจ
“คิดไม่ถึงเลยว่าขนาดยอดผู้สูงศักดิ์ในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูงยังโดนจ้าวเฟิงเอาชนะไปแล้ว” คนทั้งหมดประเมินความสามารถของจ้าวเฟิงต่ำเกินไป ขนาดยอดฝีมือฝ่ายทางการของสนามประลอง รวมไปถึงเจ้าตำหนักหย่งเฟิงเองก็ไม่อยู่นอกเหนือจากนั้น
เวทีประลองรอบที่เก้าสิบเก้า
“จ้าวเฟิง เจ้าช่างแข็งแกร่งยิ่งนัก ทำให้ข้าน้อยเลื่อมใสจริงๆ” สตรีในชุดแดงงดงามสะกดใจ กริยาท่าทางชดช้อยสง่างาม
“เสียดายก็เพียงปราณที่แท้จริงของสายเลือดเจ้าไม่เพียงพอ ต่อให้เอาชนะข้าได้ ก็ไม่อาจจะชนะในสนามที่หนึ่งร้อยได้” สตรีชุดแดงเอ่ยด้วยท่าทีเสียดายอย่างเห็นได้ชัด
นางวิเคราะห์ได้ว่า ปราณที่แท้จริงของสายเลือดบนร่างของจ้าวเฟิงเหลือเพียงแค่หนึ่งส่วนกว่าๆ เท่านั้น
จ้าวเฟิงยืนอยู่จุดเดิมด้วยทีท่าปกติ
สภาวะวิญญาณของเขาแข็งแกร่งอย่างมาก พลังในการฟื้นฟูเทียบเท่าได้กับสายเลือดในตำนานบางส่วนของรายชื่อหมื่นเผ่าพันธุ์โบราณ
“หงส์เพลิงพิฆาต!”
สตรีชุดแดงมองจุดนี้ออกจึงเร่งรีบโจมตี ทั่วเรือนร่างของนางตกอยู่ท่ามกลางแสงเจิดจ้า เป็นประหนึ่งหงส์เพลิงที่ส่งเสียงร้องสะเทือนเลือนลั่นตรงดิ่งมาทางจ้าวเฟิง
หากจะเอ่ยถึงพลังโจมตี สตรีชุดแดงแข็งแกร่งกว่าผู้เฒ่าผมสีดอกเลาคนก่อนหลายส่วนนัก
“จิตวิญญาณเทพวารี!”
จ้าวเฟิงไม่ลังเลแม้แต่น้อย กระตุ้นพลังสายเลือดกลายร่างเป็นจิตวิญญาณวารี
ในครั้งนี้ หลังจากที่ทั่วร่างเป็นของเหลวแล้ว จ้าวเฟิงสัมผัสได้ถึงความรู้สึกว่างเปล่าเวิ้งว้าง
วูบ โครม! ตูม บึ้ม!
ร่างจิตวิญญาณวารีอยู่ในสภาพที่ไม่พ่ายแพ้ การโจมตีดุจสายน้ำหลากจากบรรพกาลชิงจัดการสตรีชุดแดงนั่นเสียก่อน
วูบ~
ภายในเงาลำแสงฝ่ามือสีฟ้าสุกใส ปรากฏเป็นเงาสัญลักษณ์ลึกลับบางส่วนซึ่งสาดกลิ่นอายจากบรรพกาลจำนวนมหาศาลออกมา
“ขนาดสายเลือดหงส์เพลิงของข้ายังโดนกดไว้…” สตรีชุดแดงประลองวนไปมาหลายรอบ เลือดลมจึงปั่นป่วน
หลังจากปะทะกันไปสิบครั้ง
“ตุ้บ!” สตรีชุดแดงโดนร่างจิตวิญญาณวารีผลักจนกระเด็นออกไปนอกเวทีประลอง
ด้านนอกสนามพลันเกิดเสียงเฮขึ้นกระหึ่ม
ชนะติดต่อกันครั้งที่เก้าสิบเก้า!
ใจของผู้เข้าชมจำนวนมากเต้นถี่ระรัว
วิ้ง ผัวะ!
วินาทีที่จ้าวเฟิงร่อนลงบนพื้น ร่างกายที่กำลังฟื้นฟูสั่นสะท้านซวนเซจนยืนไม่มั่นคง
“หัวหน้าเรือ!” หลี่อวิ๋นหยาหน้าเปลี่ยนสี
บนเวทีประลอง
สีหน้าของจ้าวเฟิงซีดเผือด ปราณที่แท้จริงในสายเลือดขาดหาย พยายามยืนหยัดร่างกายเอาไว้
“ใช้ปราณที่แท้จริงและพลังสายเลือดไปหมดแล้ว…”
จ้าวเฟิงใช้ขอบเขตพลังที่แข็งกล้าฝืนยืนหยัดร่างกายให้มั่นคง แล้วเร่งฟื้นฟูพลังภายในร่าง
ในวินาทีนี้ สนามประลองเงียบสนิท
ยอดฝีมือจำนวนมากจับจ้องไปที่จ้าวเฟิงผู้อยู่ในจุดสูงสุด ชนะติดต่อกันแล้วถึงเก้าสิบเก้าครั้ง
หรือว่าจะพ่ายแพ้ไปในเวลาสุดท้ายนี้?
“เหอะเหอะ เจ้าหนุ่ม ถ้าหากไม่ใช่เพราะจ้าหยิ่งผยองจะเอาชนะร้อยครั้งติดต่อกันในรวดเดียว เจ้าก็คงสมหวังไปแล้ว”
ผู้เฒ่าชุดแดงถอนหายใจด้วยความโล่งอก
มาจนถึงตอนนี้ จ้าวเฟิงไม่สามารถประลองต่อไปได้อีก
ยิ่งไปกว่านั้น คนสุดท้ายที่ขึ้นมาบนเวทีก็เป็นการดำรงอยู่ที่ประหลาดนัก
“ช่างน่าเสียดายซะจริง…” ชายชุดดำร่างกายเหยียดตรงเดินขึ้นมาบนเวทีประลอง
ชายหนุ่มชุดดำผู้นี้แววตาสุกสกาวเหมือนดวงดาว ใบหน้าหล่อเหลาสมบูรณ์แบบราวหินอ่อน
“ต้วนเทียนจวิน!”
“เป็นเขานี่เอง ผู้พิชิตการประลองชนะร้อยครั้งติดต่อกันเมื่อร้อยปีก่อน”
ในสนามประลอง มีคนจำนวนน้อยนักที่จะมองสถานะชายชุดดำผู้นี้ออก
ที่แท้ก็เป็นเขา!
ยอดฝีมือมากประสบการณ์นึกถึงเรื่องเล่าในตำนานของต้วนเทียนจวิน
“ร้อยปีก่อน ต้วนเทียนจวินฝึกตนในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับต่ำช่วงปลาย แล้วได้ตำแหน่งการชนะร้อยครั้งติดต่อกันของสนามประลองหย่งเฟิง”
“ยี่สิบปีก่อน ต้วนเทียนจวินผู้นี้ทะลวงถึงขั้นยอดผู้สูงศักดิ์ เคยเอาชนะยอดผู้สูงศักดิ์ขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูงสามคนติดต่อกันในเวลาเดียวกัน”
บนสนามมีเสียงซุบซิบบางส่วน
ในเวลาวินาทีนี้เอง ต้วนเทียนจวินกลายเป็นจุดสนใจจากสายตานับไม่ถ้วน เหมือนว่ายามนั้นเขาได้แย่งเอาความสนใจไปจนกลายเป็นตัวเด่น
“จ้าวเฟิง ข้าเห็นการประลองของเจ้าก่อนหน้านี้แล้ว ถ้าหากเจ้าอยู่ในสภาวะสมบูรณ์คงยังพอจะประลองกับข้าได้สักรอบ เสียดายก็แต่ว่า…” ต้วนเทียนจวินส่ายศีรษะไปมา
เขาเองก็ชื่นชมพลังรบของจ้าวเฟิงอยู่เหมือนกัน ถ้าหากไม่ใช่เพราะจ้าวเฟิงทระนงตน อยากจะเอาชนะร้อยครั้งติดต่อกันในรวดเดียว ก็คงจะไม่ตกอยู่ในสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออกเช่นนี้
ต่อให้เป็นต้วนเทียนจวิน การชนะร้อยครั้งติดต่อกันเมื่อร้อยปีก่อนก็ยังใช้เวลาอยู่สี่ห้าวัน
อีกทั้งผู้เข้าขัดขวางการเอาชนะร้อยครั้งในยามก่อนก็ไม่ได้ดุดันเช่นนี้
“ต้วนเทียนจวิน จะแพ้หรือชนะก็ไม่สำคัญอีกต่อไปแล้ว” จ้าวเฟิงยิ้มเหมือนไม่อะไรเกิดขึ้น
ถึงแม้ว่าปราณที่แท้จริงของสายเลือดเขาถูกใช้ไปจนหมดแล้ว แต่ยังคงมีท่าทีตัดสินใจแน่วแน่อยู่เช่นเดิม
เมื่อเขาเอ่ยประโยคดังกล่าวอออกมา ในสนามประลองก็เกิดคลื่นความตื่นตะลึงขึ้นอีกครั้ง
“หรือว่าเขายังมีไม้ตายอะไรอีก? แต่เขาใช้ปราณที่แท้จริงในสายเลือดไปจนหมดแล้วนี่” ผู้เฒ่าชุดแดงสีหน้าแข็งทื่อ
ขนาดเจ้าตำหนักหย่งเฟิงยังอดประหลาดใจไม่ได้ ก่อนจะเผยสีหน้าครุ่นคิด
“ปราณที่แท้จริง พลังสายเลือด ล้วนแต่ใช้ไปจนหมดสิ้นแล้ว…”
ตามกติกาของสนามประลองจะมีกฎพิเศษบางส่วน เช่น ไม่สามารถใช้โล่พลังเซียนได้
“ไม่ใช่สิ! พลังดวงวิญญาณของจ้าวเฟิงคนนี้ยังถูกใช้ไปไม่เท่าไหร่เลย” ความคิดของเจ้าตำหนักหย่งเฟิงหมุนวน
คนทั่วไปอาจจะมองข้ามในระดับชั้นวิญญาณ แต่เจ้าตำหนักหย่งเฟิงอยู่ในขอบเขตครึ่งก้าวสู่ราชัน ซึ่งถือว่าอยู่ในลำดับขั้นที่ดวงวิญญาณกำลังเปลี่ยนแปลงไป
แล้วในเวลานี้เอง บนเวทีประลองก็เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น
“เนตรคุกลวงตา!” บุรุษหนุ่มที่อยู่ในครรลองสายตามีเรือนผมสีน้ำเงินสะบัดพลิ้ว ดวงตาซ้ายกลายเป็นหุบเหวเหมันต์เวิ้งว้าง สาดซัดพลังล่อลวงจิตใจที่รุนแรงจนอาจถึงแก่ชีวิต
ทำให้ใจของต้วนเทียนจวินสั่นสะท้าน
สวบ!
ในวินาทีต่อมา สตินึกคิดของเขาก็ถูกชักนำไป
บนสนามประลอง
ดวงตาซ้ายของจ้าวเฟิงสบตากับต้วนเทียนจวินไปหนึ่งถึงสองช่วงลมหายใจ ก่อนที่ฝ่ายหลังจะดิ้นรนอย่างสุดแรงเกิด เหงื่อไหลโทรมร่าง
เวลาสองช่วงลมหายใจผ่านไป
โครม ตุ้บ!
ต้วนเทียนจวินทรุดลงบนพื้น รู้สึกหมดเรี่ยวแรงไปจนสิ้น บนใบหน้าฉายแววอับอายและอับจนหนทางอย่างมาก
ผัวะ!
ทั้งสนามประลองระเบิดเสียงราวน้ำหลากออกมา
“เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้…”
ผู้เฒ่าชุดแดงเพิ่งจะสัมผัสได้ว่า คลื่นพลังดวงวิญญาณที่จ้าวเฟิงปลดปล่อยออกมาแข็งแกร่งเป็นรูปร่างยิ่งกว่ายอดผู้สูงศักดิ์ในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูง
“ดวงวิญญาณของข้าดูดซึมกลิ่นอายของห้วงฝันบรรพกาล แข็งแกร่งยิ่งกว่า
ต้วนเทียนจวินมาก ถ้าหากว่าข้าใช้พลังดวงตาเทพเจ้าทั้งหมด ต่อให้เป็นคนระดับขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูง ก็มีน้อยคนนักจะรับมือไหว” จ้าวเฟิงยืนอยู่จุดเดิม เรือนผมสีน้ำเงินและดวงตาซ้ายค่อยๆ กลายเป็นสีดำ
“ดวงตาข้างนั้นของเขา!” ใจของเจ้าตำหนักหย่งเฟิงสั่นสะท้านเล็กน้อย สายเลือดดวงตาที่แข็งแกร่งเช่นนี้ เขาเคยเห็นเพียงแค่ในดินแดนจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น
“เจ้าเด็กนั่นซ่อนอะไรไว้ลึกล้ำเกินไปแล้ว!” ผู้เฒ่าชุดสีแดงอดไม่ได้สูดหายใจลึก
เป็นใครก็ไม่อาจคาดเดาได้ว่า จ้าวเฟิงจะซุกซ่อนสายเลือดดวงตาที่แข็งแกร่งที่สุดเอาไว้
ถ้าหากผู้เข้าขัดขวางในครั้งนี้ไม่ได้มีพลังแข็งแกร่ง คิดว่าขนาดพลังที่แท้จริงของจ้าวเฟิงก็อาจจะคาดเดาไม่ได้ด้วยซ้ำ
“ผู้สร้างสถิติชนะร้อยครั้งติดต่อกัน…จ้าวเฟิง” กรรมการราวกับเพิ่งตื่นจากความฝัน เพิ่งจะเอ่ยประกาศก้องท่ามกลางเสียงฝูงชนที่เหมือนน้ำหลาก
“นี่ไม่ใช่แค่เพียงการได้ชัยชนะร้อยครั้งติดต่อกัน แต่ยังเป็นการประลองของยอดฝีมือที่ได้ชัยชนะร้อยครั้งติดต่อกันถึงสองคนด้วย”
“เวลาสองวัน สามารถใช้เวลาเพียงครู่เดียวชนะติดต่อกันร้อยครั้งได้ นี่ย่อมเป็นการทำลายสถิติในรอบพันปีของกลุ่มดินแดนหย่งเฟิงโดยสิ้นเชิง”
ในสนามประลองมีเสียงอึกทึกครึกโครม เอ่ยความเห็นกันไม่จบสิ้น
“ตื่นตายิ่ง”
เจ้าตำหนักหย่งเฟิงชันกายลุกขึ้นโดยไม่รู้ตัว สายตาจับจ้องไปที่จ้าวเฟิง