บทที่ 628 ฝีมือสูงส่ง
สำหรับคำถามของจ้าวเฟิงผู้ซึ่งเป็นแขก อินหย่วนตอบหมดโดยไม่ได้ปกปิดอะไร
“อุทยานครึ่งเซียนเป็นสวนร้างลี้ลับ ผู้ถูกเลือกไร้เทียมทานคนหนึ่งในสำนักใหญ่ที่กำลังจะขึ้นเป็นสี่ดาวทิ้งเอาไว้เมื่อหลายหมื่นปีก่อน ว่ากันว่า ผู้ถูกเลือกคนนั้นขาดไปเพียงอีกก้าวเดียวเท่านั้นก็จะได้ตำแหน่งเซียน แต่ว่าสุดท้ายก็สูญสลายไปก่อนที่จะทะลวงผ่านไปเป็นเซียน…” อินหย่วนเอ่ยถึงด้วยท่าทีเคารพชื่นชม
สำนักใหญ่ระดับสี่ดาวกับขอบเขตเซียนสวรรค์ล้วนแต่ห่างชั้นกับพวกผู้ถูกเลือกและคนที่มีความสามารถจำนวนมากในโลกอย่างเกินจะเปรียบ
เรื่องเหล่านี้จะหาเจอก็แต่ในตำนานเรื่องเล่าเท่านั้น
ทั่วทะเลชางไห่ที่กว้างใหญ่ ดินแดนจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ทั้งสามไม่ได้มีวี่แววของสำนักสี่ดาวเสียด้วยซ้ำ แล้วนับประสาอะไรกับขอบเขตเซียนสวรรค์?
“สำนักใหญ่สี่ดาว หรือว่า…” จ้าวเฟิงทอดสายตาไปที่ใจกลางของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ยอดเขาจิตวิญญาณหลักที่เป็นเสมือนดินแดนรกร้างว่างเปล่า…ยอดเขาศักดิ์สิทธิ์ว่านกู่!
“ไม่เลว!” อินหย่วนเอ่ยด้วยน้ำเสียงชื่นชม “อุทยานครึ่งเซียนอยู่บนยอดเขาศักดิ์สิทธิ์ว่านกู่ ไม่เพียงเท่านั้น บนยอดเขาว่านกู่ยังมีมิติลึกลับและมรดกจำนวนมากหลงเหลืออยู่ บางส่วนอยู่รอดมาตั้งแต่สมัยยุคประวัติศาสตร์ หรือกระทั่งยุคโบราณ”
สายตาของคนทั้งหมดที่จับจ้อง ‘ยอดเขาศักดิ์สิทธิ์ว่านกู่’ ฉายแววเคารพนับถือและรอคอยออกมา
จ้าวเฟิงจึงเข้าใจความหมายของยอดเขาศักดิ์สิทธิ์ว่านกู่โดยคร่าวๆ จากคำตอบของอินหย่วน
ดินแดนศักดิ์สิทธิ์เจินอู่กำเนิดขึ้นตั้งแต่ในสมัยโบราณมาจนถึงปัจจุบัน เคยมีสำนักระดับสูงอย่างสำนักสองดาวและสามดาว จึงย่อมไม่ขาดจักรพรรดิในขอบเขตปราณเทวะ หรือกระทั่งเซียนในขอบเขตเทวาเร้นลับที่สูงกว่านั้น
แต่ว่า
ไม่ใช่ว่ายอดฝีมือทุกคนจะพบผู้สืบทอดที่เหมาะสมก่อนละสังขารไป
กาลเวลาหมุนเวียนมาเนิ่นนาน ยอดฝีมือส่วนหนึ่งทิ้งมรดกไว้บนยอดเขาศักดิ์สิทธิ์ว่านกู่ หรืออาจจะสะสมของล้ำค่าไว้ทั้งชีวิต เพื่อรอพบผู้ที่มีชะตาต้องกัน
“บนยอดเขาว่านกู่มีมรดกหลากหลายประเภท อยู่ในขั้นราชันขอบเขตปราณ
เทวะเป็นอย่างน้อย ขนาด ‘มรดกความลับสวรรค์’ ที่เก่าแก่ลี้ลับที่สุดก็อยู่ในที่แห่งนี้ หนำซ้ำมรดกระดับสูงก็มีอยู่ด้วยเช่นกัน…”
เมื่อเอ่ยถึงยอดเขาศักดิ์สิทธิ์ว่านกู่ ในใจของคนทั้งหมดเกิดความเคารพศรัทธา
จ้าวเฟิงรู้สึกเลื่อมใสอย่างยิ่งยวด ที่แท้แล้วยอดเขาศักดิ์สิทธิ์ว่านกู่มีความหมายที่ไม่ธรรมดาเช่นนี้เอง
มันถือได้ว่าเป็นหลักฐานที่แสดงถึงความรุ่งโรจน์ของผู้ถูกเลือกในแต่ละช่วงเวลา แถมยังสืบทอดพลังและตำนานของพวกเขาต่อมาเรื่อยๆ
“อุทยานครึ่งเซียนถือได้ว่าเป็นหนึ่งในโบราณสถานลึกลับชั้นยอดที่อยู่บนยอดเขาว่านกู่ ซ้ำยังมีมรดกครึ่งเซียนและทรัพย์สมบัติด้วย”
อินหย่วนเอ่ยอย่างทอดถอนใจ
อุทยานครึ่งเซียนห้าร้อยปีจะเปิดออกครั้งหนึ่ง ทั้งสำนักบรรพตทองมีกันทั้งหมดห้าร้อย อินหย่วนก็เป็นหนึ่งในแกนนำหลักเช่นกัน
แล้วหัวข้อที่เกี่ยวกับ ‘อุทยานครึ่งเซียน’ ก็จบลงเช่นนี้เอง
ถัดจากนั้น
ลูกศิษย์คนสำคัญของสำนักบรรพตทองเหล่านี้ได้เริ่มประลองพลังกันภายในพื้นที่ว่างของลานฝึกวิชา
ไม่นาน ลูกศิษย์สองคนของสำนักบรรพตทองก็ประลองกัน จ้าวเฟิงเองมองอย่างสนอกสนใจ
ลานฝึกวิชาแห่งนี้มีรัศมีร้อยจั้ง แล้วยังมีค่ายกลพิเศษ จึงทำให้อาณาเขตภายในกลับมีรัศมีแค่สิบลี้
อีกทั้งในดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้มีระดับมิติในขั้นสูง จึงส่งผลให้แรงกดดันในอากาศสูงตามไปด้วย
โดยปกติเมื่ออยู่ในที่แห่งนี้ พื้นที่ในการโจมตีของขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงจะส่งผลกระทบได้อย่างมากก็หลายสิบจั้งเท่านั้น
พูดให้เข้าใจง่ายขึ้นอีกหน่อยก็คือ พลังเสวียนอ้าวหลากหลายประเภทล้วนแต่ถูกกดเอาไว้
ลูกศิษย์ของสำนักบรรพตทองที่กำลังประมือกันอยู่ คนหนึ่งอยู่ในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับต่ำช่วงกลาง อีกคนอยู่ในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับต่ำช่วงปลาย อัจฉริยะที่อยู่ในระดับต่ำช่วงปลายผู้นั้นก็คือ ชายหนุ่มเรือนผมสีน้ำตาลคนก่อน
“ฝ่ามือรวมศูนย์เบิกฟ้า!”
ฝ่ามือของชายหนุ่มเรือนผมสีน้ำตาลผายออกช้าๆ ประหนึ่งว่าหนักราวกับหินผา นัยน์ตามองเห็นเพียงแค่ลำแสงฝ่ามือสีสดหลากหลายที่หมุนวนเป็นเกลียวกระหวัดกัน พลังของกระบวนท่าทั้งหมดรุนแรงจนแทบแยกฟ้าดินออกจากกันได้
พลังที่อยู่ภายในฝ่ามือนั้น ขนาดจ้าวเฟิงยังประทับใจอย่างยิ่ง
“ไม่เสียทีที่เป็นสำนักใหญ่ซึ่งอยู่ภายในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ เคล็ดวิชาสายเลือดของอัจฉริยะที่นี่สูงส่งอย่างยิ่ง สามารถจัดการคนในระดับเดียวกันที่อยู่ในโลกภายนอกได้สบายๆ” จ้าวเฟิงลอบผงกศีรษะ
หากเป็นในช่วงก่อนที่จะทะลวงผ่านขั้นขอบเขตแก่นก่อกำเนิด เขาคิดจะเอาชนะบุรุษหนุ่มผมสีน้ำตาลก็เกรงว่าจะไม่ง่ายนัก
อย่างน้อยที่สุด เมื่อพลังของเจ้าหอโครงกระดูกประมือกับบุรุษหนุ่มผมสีน้ำตาล โอกาสที่จะชนะก็ค่อนข้างน้อย
โครม ครืน!
ภายในลานฝึกวิชาเกิดเสียงดังสะเทือนเลือนลั่น ลำแสงฝ่ามือสีตระการตาเป็นเสมือนห้ายอดทิวเขาโบราณ โจมตีลูกศิษย์ผู้สืบทอดคนหนึ่งกระเด็นลอยละลิ่วออกไปไกล
“ศิษย์พี่วั่น ฝ่ามือรวมศูนย์เบิกฟ้าของท่านระดับของพลังเกือบถึงขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูงแล้ว ศิษย์น้องละอายใจอย่างยิ่ง” ศิษย์ผู้สืบทอดที่พ่ายแพ้มีใบหน้าขมขื่น
บุรุษหนุ่มเรือนผมสีน้ำตาล ไม่ว่าพลังฝึกตนสายเลือดหรือจะเคล็ดวิชากลยุทธ์ล้วนแต่อยู่เหนือกว่าระดับขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับต่ำได้
หลังจากได้ชัยแล้ว ชายหนุ่มผมน้ำตาลเผยยิ้มที่เหมือนไม่ใช่ยิ้ม แล้วทอดสายตามองมายังจ้าวเฟิง “ตัวข้าด้อยความสามารถ ในสำนักจัดอยู่ในลำดับยี่สิบคนแรก อยากจะบังอาจขอคำชี้แนะจากพี่จ้าวสักหน่อย” น้ำเสียงของเขาเกรงใจและนอบน้อมถ่อมตน
เป็นยี่สิบอันดับแรก?
บรรดาลูกศิษย์ผู้สืบทอดที่อยู่ในบริเวณดังกล่าวมีสีหน้าพิลึกพิกล
“เหอะเหอะ ศิษย์พี่วั่นช่าง ‘ถ่อมตน’ เสียจริง”
“เมื่อครู่มีคนคุยโวโอ้อวดเรื่องเจ้าเด็กคนนั้นไว้ตั้งมากมาย คงจะไม่พ่ายแพ้กระทั่งลูกศิษย์ที่จัดอยู่ในยี่สิบอันดับแรกของสำนักหรอกกระมัง”
เหล่าลูกศิษย์ของสำนักรอดูเรื่องสนุกที่จะเกิดขึ้น
โฉมงามในชุดขาวและชายหนุ่มร่างผอมกลับมีสีหน้าตึงเครียดอยู่บ้าง รู้สึกกระวนกระวายใจ ด้วยก่อนหน้านี้คนทั้งสองได้ชื่นชมพลังของจ้าวเฟิงไว้มาก
“จ้าวเฟิง เจ้าต้องชนะเขาแน่” สตรีชุดขาวตบบ่าเขาเบาๆ สีหน้าเต็มไปด้วยความคาดหวัง
ในใจของนางออกจะชื่นชมจ้าวเฟิงอยู่
จ้าวเฟิงสั่นศีรษะแล้วส่งยิ้ม เมื่อเดินเข้าไปภายในลานฝึกวิชาก็ส่งสายตาไปยังสตรีในชุดขาวและเพื่อน
“ศิษย์พี่วั่นถ่อมตนเกินไปแล้ว ด้วยพลังของท่าน ท่านจะอยู่ในห้าอันดับแรกของสำนักบรรพตทองก็ย่อมไม่มีปัญหา”
จ้าวเฟิงยืนสงบนิ่งแล้วยิ้มน้อยๆ
ทันทีที่เอ่ยจบ ใจของบุรุษหนุ่มผมสีน้ำตาลแซ่วั่นก็เต้นกระตุก
เห็นได้ชัดว่าแววตาของจ้าวเฟิงเที่ยงตรงแม่นยำยิ่ง สามารถแยกแยะอันดับของบุรุษหนุ่มผมสีน้ำตาลออกได้ผ่านการวิเคราะห์ระหว่างนั่งชม
“รับฝ่ามือข้าก่อนแล้วกัน!”
ชายหนุ่มเรือนผมน้ำตาลไม่คิดอะไรมาก ยกมือขึ้นแล้วสาดลำแสงฝ่ามือที่เจิดจ้าตระการตาออกมา เป็นประหนึ่งทิวเขาห้ายอดลอยละลิ่วตรงออกไป
เมื่อโดนกดจากพลังฝ่ามือนั้น ร่างกายและจิตใจของจ้าวเฟิงก็พลันหนักอึ้ง ในโลกภายนอกมีน้อยครั้งนักที่ผู้อยู่ต่ำกว่าขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูงจะทำให้เขาเกิดความรู้สึกเช่นนี้
วายุอัสนีพิฆาต!
จ้าวเฟิงยืนนิ่งอยู่กับพื้นไม่ไหวติง กวาดมือออกมา ลำแสงสายฟ้าสีม่วงก็ทำให้เกิดเสียงดังโครมครามดัง ‘เปรี้ยง’ ยามปะทะกับพลังลำแสงฝ่ามือหลากสีของบุรุษหนุ่มผมน้ำตาล
โครม ผัวะ!
ลำแสงฝ่ามือรวมศูนย์ที่หนักแน่นราวขุนเขาแตกกระสานซ่านเซ็นเมื่อโดนโจมตีจากวายุอัสนีพิฆาต
จากนั้น ลำแสงพิฆาตสีม่วงที่ไหลระริกถือโอกาสนี้พุ่งทะลวงเข้าไป แล้วหอบเอาร่างของบุรุษหนุ่มผมน้ำตาลกระเด็นถอยร่นไปติดๆ กัน
“ลำแสงฝ่ามือรวมศูนย์ของข้า ไยจึง…”
บุรุษหนุ่มเรือนผมน้ำตาลใบหน้าฉายแววหวาดกลัวเมื่อร่างกายโดนโจมตีจนกระเด็นออกมา
นี่ขนาดว่าจ้าวเฟิงยังไม่ได้ใช้กลยุทธ์กระบวนท่าหรือปราณที่แท้จริงในการโจมตี วายุอัสนีที่น่ากลัวนั้นมีความแข็งแกร่งของพลังที่ทำลายล้างสรรพสิ่งอยู่
“ฝ่ามือรวมศูนย์เบิกภูผา สรวงสวรรค์เก้าชั้น!”
บุรุษหนุ่มเรือนผมน้ำตาลตะโกนเสียงกร้าว ปราณที่แท้จริงโคจรไปถึงระดับสุดยอด แล้วลำแสงฝ่ามือรวมศูนย์ที่แข็งแกร่งก็สาดซัดออกมาพร้อมแสงตระการตา ดูราวกับเก้าภูผาใหญ่ที่เต็มไปด้วยไอสวรรค์เก่าแก่เข้มข้นไร้ขอบเขต
อีกทั้งการโจมตีก็รุนแรงหนักหน่วง มากพอที่จะโจมตีต่อคนในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูงได้
“ทำลาย!”
จ้าวเฟิงหัวเราะเบาๆ ก่อนจะปล่อยหมัดออกไปเสียงดังลั่น บนอากาศปรากฏเงาหมัดที่มีรูปร่างคล้ายกับมังกรวายุอัสนีสีม่วง แล้วพุ่งผ่านลำแสงฝ่ามือเก้าชั้นของบุรุษหนุ่มผมสีน้ำตาลไปด้วยวิธีทรงพลังที่ธรรมดาที่สุด
ตูม! วูบ!
ในลำแสงฝ่ามือทำลายล้างมีอัสนีสีม่วงหมุนคว้างอย่างบ้าคลั่ง มีเสียงกรีดร้องของชายหนุ่มผมสีน้ำตาลดังตามมาเป็นระยะๆ
“ช่างแข็งแกร่งยิ่งนัก!” บรรดาอัจฉริยะของสำนักบรรพตทองในที่ดังกล่าวตกใจจนหน้าถอดสี
ตุ้บ!
ร่างของชายหนุ่มผมสีน้ำตาลไหม้เกรียม โดนโจมตีออกนอกลานฝึกวิชาไปแล้ว
“ขอบคุณที่กรุณา”
จ้าวเฟิงไม่ยินดียินร้าย เขาลงมืออย่างระแวดระวังมาก ถ้าหากว่าลงมือจนสุดพลังทั้งหมด เกรงว่าบุรุษหนุ่มผมน้ำตาลคงจะสูญสลายไปแล้ว
“ช่างเป็นเสวียนอ้าววายุอัสนีที่น่าตกใจยิ่ง อานุภาพปราณที่แท้จริงของเขาเกือบเท่าขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูงแล้ว…”
แม้กระทั่งศิษย์พี่อินสีหน้ายังเคร่งขรึมลง
การที่จ้าวเฟิงได้ชัยชนะมาอย่างง่ายดาย ทำให้อัจฉริยะของสำนักบรรพตทองเก็บความรู้สึกนึกสนุกดูแคลนกลับไป แล้วเกิดความรู้สึกหวั่นเกรงแทน
“เหอะ! ข้าเคยบอกไว้นานแล้วไง พลังของจ้าวเฟิงเทียบเท่าได้กับอัจฉริยะระดับสุดยอดในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ส่วนหนึ่งเลย”
โฉมสะคราญชุดขาวกู้หน้าคืนมาได้จึงเอ่ยอย่างลิงโลด
“ข้าเอง”
บุรุษหนุ่มคิ้วเข้มโผล่ออกมาจากฝูงชน พลังฝึกตนเข้าใกล้ขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับต่ำช่วงสุดยอด
ลำดับของศิษย์ผู้สืบทอดคนนี้ในสำนักบรรพตทองอยู่เหนือกว่าบุรุษหนุ่มผมสีน้ำตาล
แต่ทว่า
เขาที่เผชิญหน้ากับจ้าวเฟิงก็ยังรับมือได้แค่อีกหนึ่งกระบวนท่า
“โครม ฟุ่บ!”
เงาหมัดในรูปร่างมังกรวายุอัสนีสีม่วงที่มีพลังทำลายล้าง ตรงดิ่งจู่โจมเคล็ดวิชาดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของบุรุษหนุ่มคิ้วเข้มจนแตกกระจาย
ตุ้บ!
ร่างกายของบุรุษหนุ่มคิ้วเข้มโดนกระแทกจนกระเด็นออกไปด้วยระดับความเร็วที่เพิ่มขึ้น
ในเวลานั้น
อัจฉริยะทั้งหลายในที่นั้นสูดหายใจเย็นยะเยือก ศิษย์พี่อินหน้าถอดสีเพราะเรื่องดังกล่าว
ถัดจากนั้นก็มีขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับต่ำช่วงสุดยอดคนหนึ่งเข้าประลอง เป็นอัจฉริยะที่อยู่ในอันดับสองของสำนักบรรพตทอง
“ทำลาย!”
จ้าวเฟิงยังคงใช้กระบวนท่าโจมตีแบบเดิมซัดคู่ต่อสู้กระเด็นออกไป
ท่าโจมตีเงาหมัดของเขา พลังแตะถึงขั้นขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูง ความเร็วรุนแรงรวดเร็ว ผู้อยู่ต่ำกว่าขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูงย่อมไม่อาจต้านทานพลังได้
ยามที่จ้าวเฟิงลงมือเอาชัยเหนือลูกศิษย์อันดับสองของสำนักได้
ในระดับชั้นวิญญาณที่จับต้องไม่ได้ มีห้วงคิดเซียนทรงพลังวนเวียนเลือนรางอยู่บนอากาศ
“จ้าวเฟิงผู้นี้ไม่ธรรมดาซะจริง” หนึ่งในราชันขอบเขตปราณเทวะเอ่ยขึ้นมา
“ดูจากลักษณะท่าทาง เขาต้องประลองกับ ‘อินหย่วน’ ผู้เป็นลูกศิษย์อันดับหนึ่งได้อย่างแน่นอน”
ในเวลาดังกล่าว
ราชันหลายคนในสำนักบรรพตทองกำลังจดจ่อกับสถานการณ์การต่อสู้เบื้องล่าง ผู้เฒ่าหลี่เคราขาวก็ซ่อนตัวอยู่ในละแวกใกล้ๆ ด้วยเช่นกัน
“จะมีใครรู้ถึงพลังที่แท้จริงของจ้าวเฟิงบ้าง…” ผู้เฒ่าหลี่นึกถึงเหตุการณ์บนเรือมังกรทอง
ยามนั้นที่สามารถเอาชนะองครักษ์ทั้งสามคนได้ จ้าวเฟิงมีบทบาทสำคัญเป็นอย่างยิ่ง
และในเวลานี้เอง
ภายในลานฝึกวิชา ศิษย์พี่อินลูกศิษย์อันดับหนึ่งและจ้าวเฟิงกำลังประลองด้วยกัน
โครม เปรี้ยง เปรี้ยง!
ภายในลานฝึกวิชา การปะทะกันของกลุ่มพลังทั้งสองเป็นระดับขั้นขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูง
การลงมือของจ้าวเฟิงไม่ได้สบายเหมือนอย่างที่ผ่านมาอีก ร่างกายเคลื่อนที่ไปมาภายในลานฝึกวิชา
“สมกับที่เป็นลูกศิษย์อันดับหนึ่งของสำนักใหญ่แห่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์…”
จ้าวเฟิงกระตุ้นปราณที่แท้จริง ถึงกระทั่งใช้พลังสายเลือดส่วนหนึ่งประลองกับอินหย่วน
ถึงแม้ว่าอินหย่วนจะทะลวงถึงขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูงมาไม่นาน แต่พลังที่แท้จริงของเขาเทียบเท่าได้กับขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูงขึ้นไปของโลกภายนอก
“ศิษย์พี่อิน อย่าแพ้ให้เจ้าเด็กนี่เสียเล่า”
พวกลูกศิษย์ของสำนักบรรพตทองทั้งหลายซึ่งอยู่ภายนอกลานฝึกวิชาลอบปาดเหงื่อเย็นๆ
ทันทีที่ศิษย์พี่อินพ่ายแพ้ สำนักบรรพตทองก็คงขายขี้หน้าอย่างมาก
หลังจากประลองกันครู่หนึ่งแล้ว
ทันใดนั้นเอง จ้าวเฟิงก็ถอยออกมาจากวงการประลอง เอากำปั้นประสานฝ่ามือคารวะ ยิ้มพลางเอ่ยว่า “ดูท่าทางแล้วการประลองในครั้งนี้คงจบลงด้วยการเสมอกันเสียแล้ว”
ศิษย์พี่อินไม่ได้คัดค้านแต่อย่างใด ถอนหายใจอย่างโล่งอกแล้วจ้องมองไปที่จ้าวเฟิงอย่างลึกซึ้ง ความรู้สึกบอกเขาว่าการประลองนี้จ้าวเฟิงมีทีท่าสบายๆ เหมือนว่าจะยังเหลือพลังอีกมาก
กลางอากาศ
ห้วงความคิดเซียนของราชันปราณเทวะหลายกลุ่มก้อนเงียบสงัดลง
“จ้าวเฟิงผู้นี้ถ้าหากทุ่มเทพลังทั้งหมด เกรงว่าอินหย่วนน่าจะรับมือได้ไม่ถึงสิบกระบวนท่า”
“สิบกระบวนท่างั้นหรือ? บางทีน่าจะได้แค่สามกระบวนท่าเท่านั้น”
ราชันในขอบเขตปราณเทวะหลายคนอยู่บนระดับที่สูงส่งเกินคาดเดา
ถ้าหากบรรดาอัจฉริยะได้ยินคำพูดดังกล่าวของพวกราชัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งศิษย์พี่อิน ก็ไม่รู้เลยว่าพวกเขาจะรู้สึกอย่างไร
“หึ ข้าเคยบอกไว้นานแล้ว พลังของจ้าวเฟิงสู้กับศิษย์พี่อินได้” โฉมสะคราญชุดขาวเอ่ยด้วยน้ำเสียงภาคภูมิใจ
การประลองในครั้งนี้ จ้าวเฟิงผู้เป็นอัจฉริยะจากโลกภายนอกสั่นสะเทือนทั้งสำนักบรรพตทอง
บนอากาศสูงขึ้นไป ห้วงความคิดเซียนของราชันวนเวียนไปมา
“ถ้าผู้เยาว์คนนี้ได้เข้าร่วมสำนักบรรพตทองของเข้า เมื่อเข้าไปภายในอุทยานครึ่งเซียนมีแต่จะโดดเด่นกว่าใคร”
“นี่เกรงว่าคงจะเป็นจริงไม่ได้แล้ว…”
“ใช่สิ เหมือนว่าตวนมู่ชิงจะออกจากการฝึกตนแล้ว ฝั่งนั้นมีข่าวคราวอะไรบ้าง?”