Skip to content

King of Gods 629

King Of Gods

บทที่ 629 เงาขององค์จักรพรรดิ

ในขณะที่ห้วงความคิดเซียนของราชันกำลังสื่อสารกันอยู่นั้น

สวบ!สวบ!

ภายนอกของยอดเขาจิตวิญญาณรองอันเป็นที่ตั้งของสำนักบรรพตทอง มีเสียงแหวกอากาศอย่างรุนแรงคล้ายเสียงโจมตีดังแว่วมา

“ใครกัน!”

“ผู้ใดอาจหาญบุกเข้ามาภายในพื้นที่สำคัญของสำนักบรรพตทอง จะต้องโดนสังหารจนสิ้น!” บนยอดเขาจิตวิญญาณรอง มียอดฝีมือที่ตรวจลาดตระเวนตะโกนเสียงดังลั่น

แต่ทว่า เสียงที่แหวกอากาศมานั้นกลับไม่สนใจใครทั้งสิ้น

“เหอะ! เป็นก็แค่สำนักสองดาว อย่าพูดจาโอ้อวดให้มากนักเลย”

หนึ่งในนั้นคือชายหนุ่มผู้อยู่ในกลุ่มลูกไฟสีดำ ซึ่งสาดซัดพลังที่ยิ่งใหญ่น่าหวั่นเกรงของราชันลัทธิมารออกมา

“ราชันลัทธิมาร!”

พลังมารที่ปกคลุมในพื้นที่เป็นบริเวณกว้าง ทำให้เหล่าผู้คุมกฎของสำนักบรรพตทองเหมือนโดนกักขังไว้ สูดหายใจติดขัดยากลำบาก

วิ้ง!

ในกลุ่มลูกไฟสีดำกลางอากาศ ค่อยๆ ปรากฏร่างเงารางๆ ของ ‘ชายหนุ่มเกล็ดนิล’ ผู้มีใบหน้าสีดำคล้ำ หน้าตาอัปลักษณ์ ทั่วร่างมีเกล็ดคล้ายเกล็ดปลาสีดำอยู่ด้านบน

“ผู้อาวุโสของสำนักศักดิ์สิทธิ์หนึ่งพันเดียวดาย ‘ถูวั่นหลี่’!”

เมื่อสายตาของผู้เฒ่าหลี่เคราขาวหยุดลงบนร่างของราชันลัทธิมาร สีหน้าก็เปลี่ยนไปอย่างมาก

ราชันที่มาเยือนผู้นี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่ฆาตกรอำมหิต แต่ยังมาจากสำนักสามดาวของดินแดนศักดิ์สิทธิ์…สำนักศักดิ์สิทธิ์หนึ่งพันเดียวดาย

“ถอยออกไปให้หมด”

บนเส้นขอบฟ้าเกิดประกายแสงสีฟ้าขึ้นวาบหนึ่ง แล้วปรากฏเงาร่างของราชันชุดคลุมสีฟ้า

ผู้คุมกฎของสำนักบรรพตทองโล่งใจราวยกภูเขาออกจากอก จากนั้นค่อยๆ ถอยออกมา

มีเพียงราชันที่สามารถรับมือกับราชันได้ ยิ่งไปกว่านั้นผู้มาเยือนคือผู้อาวุโสของสำนักศักดิ์

สิทธิ์หนึ่งพันเดียวดาย

“เหอะเหอะ ผู้อาวุโสถูมาเยือนถึงสำนักข้า มีสิ่งใดจะชี้แนะหรือ” ราชันชุดคลุมสีฟ้าไม่กล้าเสียมารยาท เอ่ยด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ สำนักสามดาวเป็นสำนักที่ยิ่งใหญ่อย่างมาก ถือว่าเป็นผู้มีอำนาจยิ่งใหญ่ไร้เทียมทาน

แต่ไหนแต่ไรมา สำนักสองสองดาวส่วนมากภายในดินแดนศักดิ์สิทธิ์สองดาวมักจะผนึกพลังอยู่ภายใต้สำนักสามดาว หรือไม่ก็ร่วมมือกับสำนักสองดาวด้วยกันนับสิบแห่ง จึงพอจะมีปากมีเสียงได้บ้าง

ในเวลาดังกล่าว

ภาพบนอากาศเขย่าขวัญจ้าวเฟิงและคนอื่นๆ เช่นกัน

 

พลังยิ่งใหญ่ของราชันลัทธิมารรุนแรงน่าเกรงขามอย่างยิ่ง ทั้งสำนักบรรพตทองตกอยู่ในบรรยากาศที่ตึงเครียดและกดดัน

จ้าวเฟิงอดจะทอดสายตามองไปยังที่ไกลๆ ไม่ได้

ข้างกายของ ‘ถูวั่นหลี่’ ผู้เป็นราชันลัทธิมารยังมีร่างเงาส่วนหนึ่งที่ดูแล้วคุ้นตายิ่ง

“องครักษ์แห่งความตาย!” จ้าวเฟิงใจเต้นระรัวเสียงดัง หวาดกลัวจนหน้าถอดสี

มีองครักษ์แห่งความตายมาพร้อมกันทั้งหมดสี่คน แล้วยังมีบุรุษหนุ่มหยางกวงและเด็กหญิงนัยน์ตาขาวโพลนด้วย

“พวกเจ้าสำนักบรรพตทองซ่อนคนชั่วที่ชื่อ ‘จ้าวเฟิง’ เอาไว้ใช่หรือไม่!” ถูวั่นหลี่เอ่ยตะคอก เขาเผยรอยยิ้มอำมหิต และกวาดห้วงคิดเซียนไปทั่วยอดเขาจิตวิญญาณรองแห่งนี้อย่างน่าพรั่นพรึง

“จ้าวเฟิง?”

ราชันชุดคลุมสีฟ้าชะงักไปชั่วขณะ สีหน้าค่อนข้างลำบากใจ

ผู้อาวุโสจากสำนักศักดิ์สิทธิ์หนึ่งพันเดียวดายผู้นี้ มาหาเรื่องถึงสำนักบรรพตทองอย่างไม่กังวลแม้แต่น้อย นับว่ามากเกินไปยิ่ง

“เหอะเหอะ ตามที่ได้ข่าวคราวมา คนสารเลวชื่อ ‘จ้าวเฟิง’ เข้ามาภายในถิ่นของสำนักพวกเจ้า” ถูวั่นหลี่มองดูสีหน้าของราชันชุดคลุมสีฟ้า

ในเวลาเดียวกันนี้เอง

บุรุษหนุ่มหยางกวงและองครักษ์แห่งความตายทั้งสี่บินขึ้นไปกลางอากาศ ปลดปล่อยประสาทสัมผัสไม่ก็ห้วงคิดเซียนออกมาเพื่อสำรวจตรวจตรา

“อยู่ที่นั่น…หาเจอแล้ว”

องครักษ์แห่งความตายเอ่ยเสียงต่ำ แววตาจับจ้องไปยังกลุ่มอัจฉริยะที่อยู่ในละแวกของลานฝึกวิชา

“เจ้าคือจ้าวเฟิงงั้นรึ!”

บุรุษหนุ่มหยางกวงยิ้มแย้มอบอุ่น ประหนึ่งเจอเพื่อนที่ไม่ได้พบกันมานาน

องครักษ์แห่งความตายทั้งสี่มีสีหน้าสะใจ จ้องเขม็งไปที่จ้าวเฟิงผู้ซึ่งอยู่ท่ามกลางฝูงชน

“จัดการมันซะ!” ถูวั่นหลี่หัวเราะเสียงดัง เอ่ยสั่งในทันใด

บุรุษหนุ่มหยางกวงและองครักษ์แห่งความตายทั้งสี่พุ่งตรงมาหาจ้าวเฟิงอย่างไม่ลังเล

“ยั้งมือก่อน!”

พลังในขอบเขตราชันที่ยิ่งใหญ่ร่วงหล่นลงมาจากบนท้องฟ้า ส่งผลให้บุรุษหนุ่มหยางกวงและองครักษ์ทั้งสี่ร่างกายแข็งทื่อ

ผู้ที่ลงมือก็คือราชันชุดคลุมสีฟ้า

“ทำไมรึ? สำนักบรรพตทองของเจ้าจะขัดขวางการจับคนของสำนักหนึ่งพันเดียวดายของข้า?” ถูว่านหลี่สีหน้าดำคล้ำขึ้น

“จ้าวเฟิงผู้นั้นเป็นแขกของสำนักบรรพตทอง ต่อให้เป็นสำนักศักดิ์สิทธิ์หนึ่งพันเดียวดายมาด้วยตนเองเพื่อจับเขาโดยเฉพาะ ก็ต้องมีคำอธิบายที่สมเหตุสมผลหน่อย”

ถึงแม้ว่าราชันชุดคลุมสีฟ้าจะมีสีหน้าฉุนเฉียว แต่ในใจกลับโอดครวญ

เบื้องหลังของสำนักบรรพตทองมีราชันหลายคนคอยสนับสนุน จึงไม่ได้หวาดกลัวถูวั่นหลี่แต่อย่างใด

แต่การกระทำของถูวั่นหลี่เป็นตัวแทนของสำนักศักดิ์สิทธิ์หนึ่งพันเดียวดายได้

อนึ่ง สถานะของถูวั่นหลี่ไม่ได้ธรรมดา อีกทั้งท่านอาจารย์ของเขาเป็นจักรพรรดิเก่าแก่ จึงนับว่ามีตำแหน่งสูงส่งเอาการในสำนักหนึ่งพันเดียวดาย

“อธิบายรึ? ข้าเป็นตัวแทนของท่านอาจารย์ ‘ราชันมารทมิฬ’ ล่วงหน้ามาเพื่อจัดการจ้าวเฟิง” ถูว่านหลี่ส่งเสียงหัวเราะเย็นชา แล้วในมือก็ปรากฏตราคำสั่งสีดำมืดแผ่นหนึ่ง

วิ้ง!

ตราคำสั่งสีดำมืดแผ่นนั้นปลดปล่อยพลังราชามารลึกล้ำไร้ขอบเขต ส่งผลให้ชั้นดวงวิญญาณสั่นสะท้าน

แล้วในวินาทีนั้น

วิญญาณของเหล่าราชันส่วนหนึ่งในสำนักบรรพตทองสั่นน้อยๆ

ขอบเขตปราณเทวะจะถูกแบ่งเป็นช่วงต้น กลาง ปลาย และช่วงบริบูรณ์

มีเพียงแต่ขอบเขตปราณเทวะช่วงบริบูรณ์ที่มีการเปลี่ยนแปลงของวิญญาณอย่างสมบูรณ์แบบ แล้วจึงจะเป็นจักรพรรดิได้

จักรพรรดิในขอบเขตปราณเทวะถือได้ว่าอยู่ในจุดสูงสุด ดวงวิญญาณเข้าใกล้การเป็นอมตะ ยากที่จะทำลายให้สูญสลายลงได้

ด้วยเหตุนี้ อายุขัยของจักรรพรรดิจึงยาวนานเป็นที่สุด สามารถเกินหมื่นปีขึ้นไป

“เป็นพลังของ ‘ราชันมารทมิฬ’! มิน่า ‘ถูวั่นหลี่’ จึงมั่นใจมากเช่นนี้!” ราชันชุดคลุมฟ้าสูดหายใจเย็นชืดเข้าปอด

ราชันมารทมิฬเป็นหนึ่งในจักพรรดิแห่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่มีชื่อเสียง

ถึงจะเป็นจักรพรรดิผู้ที่เก็บตัวฝึกตนเป็นเวลาหลายปีของสำนักบรรพตทองก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา

ราชันและจักรพรรดิล้วนแต่เป็นพลังต้องห้ามในสำนักหนึ่งสองสามดาว

โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระดับจักรพรรดิ จักรพรรดิขอบเขตปราณเทวะที่เก่งกล้าสามารถทำลายสำนักสองดาวให้ราบคาบลงได้ อย่างเช่นจักรพรรดิแห่งความตายผู้นั้น

“เฮ้อ”

ขณะที่ถูว่านหลี่แสดงหลักฐานจากราชันมารทมิฬ เหล่าราชันของสำนักบรรพตทองอดถอนหายใจอย่างหดหู่ไม่ได้

ในสถานการณ์เช่นนี้ สำนักบรรพตทองยากที่จะยื่นมือเข้ามาคุ้มครองจ้าวเฟิง

“จ้าวเฟิง! ข้าจะรอดูว่าครั้งนี้เจ้าจะหนีอย่างไร!”

“ต่อให้เจ้าหลบภัยมาถึงในดินแดนศักดิ์สิทธิ์นี่ พวกเราก็จะใช้สำนักสามดาวกดดันสำนักสองดาว ไม่มีใครปกป้องเจ้าได้ทั้งนั้น”

บุรุษหนุ่มหยางกวงและองครักษ์แห่งความตายทั้งสี่เผยรอยยิ้มของผู้ชนะออกมา

วินาทีนี้

พลังยิ่งใหญ่ของราชันปราณเทวะสาดซัดออกมา

จ้าวเฟิงยืนอยู่เพียงลำพังตรงจุดเดิม ไม่มีสิ่งใดคุ้มกันเขา

“จักรพรรดิแห่งความตายนับว่ามีความสามารถอยู่บ้างจริงๆ ถึงขนาดมีอิทธิพลต่อสำนักสามดาวของดินแดนศักดิ์สิทธิ์เลยทีเดียว”

จ้าวเฟิงหัวเราะเสียงเย้ยเยาะ

เขายืนอยู่กับที่ มุมปากยกขึ้นน้อยๆ ในรอยยิ้มนั้นมีร่องรอยของความขบขันเล็ดลอดออกมา

หืม!

บุรุษหนุ่มหยางกวงและองครักษ์แห่งความตายทั้งสี่รู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง

ในแวลานี้จ้าวเฟิงไม่มีโล่กำบัง ตกอยู่ในสถานการณ์ยากลำบาก ไม่มีทางให้ถอยหนี แล้วไยจึงยังใจเย็นอยู่เช่นนี้ได้

วิ้ง~

ใจกลางฝ่ามือของจ้าวเฟิงปรากฏตราคำสั่งสีม่วงที่เหมือนระลอกสายน้ำ ก่อนที่มันจะสั่นน้อยๆ

หึ!

รอยยิ้มบนใบหน้าของจ้าวเฟิงเปล่งประกายสดใส

ด้วยก่อนนี้ไม่นานนัก อยู่ๆ ตราคำสั่งสือเฉิงที่นิ่งสงบมายาวนานก็เกิดปฏิกิริยาตอบกลับมา

อีกทั้งทิศทางของกลิ่นอายการตอบสนองนั้นไม่ได้มาจากซากปรักหักพังสือเฉิง แต่มาจากใจกลางของดินแดนศักดิ์สิทธิ์

บุรุษหนุ่มหยางกวงและองครักษ์แห่งความตายเริ่มรู้สึกไม่ค่อยชอบมาพากล

แต่ว่าพวกเขาก็ยังพุ่งตรงมาหาจ้าวเฟิงอย่างบ้าคลั่ง

“พวกเจ้าเป็นบริวารของจักรพรรดิแห่งความตายงั้นหรือ?”

น้ำเสียงอบอุ่นราวสายลมวสันต์แว่วมา คล้ายว่าอยู่ใกล้เพียงตรงหน้า แต่ก็คล้ายว่าไกลสุดปลายฟ้า ทำให้คนเกิดความรู้สึกสับสน

ในวินาทีต่อมา

ห้วงคิดเซียนที่เก่าแก่ที่ยิ่งใหญ่เหนือฟ้าดินก็แหวกอากาศมา พลังขอบเขตปราณเทวะของระดับจักรพรรดิ ทำให้รู้สึกไปว่าอากาศในท้องฟ้าอีกฟากหนึ่งสั่นไหว

อึก!

องครักษ์แห่งความตายทั้งสี่กระอักเลือดออกมาพร้อมกัน

“จักรพรรดิ!”

บุรุษหนุ่มหยางกวงร่างกายสั่นสะท้าน พยายามฝืนเลือดลมในกายที่ปั่นป่วนอย่างรุนแรง แล้วควบคุมดวงวิญญาณให้สงบนิ่ง

“ห้วงความคิดเซียนกลุ่มก้อนนั้น หรือว่าจะเป็น…” ถูวั่นหลี่ใจสั่น ตกใจเสียจนพูดไม่ออก

วิ้ง!

บนท้องฟ้า พลังมหาศาลของจักรพรรดิรวมตัวกัน ไอสวรรค์ในฟ้าดินจึงส่งเสียงสะเทือนเลือนลั่น

เงาแสงของชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่เกือบร้อยจั้งปรากฏขึ้น เรือนผมสีขาว ล้อมรอบไปด้วยลำแสงสีเขียวสว่างเหมือนดอกบัว ดูราวกับเทพเซียนอย่างไรอย่างนั้น

“เงาปราณเทวะ!”

“เพียงแค่ ‘เงาปราณเทวะ’ เงาหนึ่งเท่านั้น แต่กลับแฝงไปด้วยพลังที่เก่งกล้าอะไรเช่นนี้” เหล่าราชันของสำนักบรรพตทองใจเต้นถี่ระรัว

“คา…คารวะองค์จักรพรรดิ”

‘ถูวั่นหลี่’ ผู้เป็นราชันลัทธิมารค้อมศีรษะลงเบื้องหน้าเงาของบุรุษผมขาวรูปร่างสูงใหญ่

หน้าของเขาแดงก่ำ สูดหายใจเข้าลึก

ตุบ! ตุบ!

องครักษ์แห่งความตายทั้งสี่แบกรับความกดดันไม่ไหว คุกเข่าลงกับพื้น

มีเพียงบุรุษหนุ่มหยางกวงที่พอจะทนรับไหว เขากัดฟันแล้วแหงนหน้ามอง ‘เงาจักรพรรดิ’ เหนือศีรษะ แล้วเอ่ยด้วยเสียงสั่นเครือว่า “เจ้ารู้จักท่านอาจารย์ของข้างั้นรึ!”

“จักรพรรดิแห่งความตาย? มีวาสนาได้พานพบกันหลายครั้ง คิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะมีลูกศิษย์ที่โดดเด่นเช่นเจ้า ช่างน่าอิจฉาเสียจริง” เงาปราณเทวะขนาดใหญ่กว่าร้อยจั้งเอ่ยเสียงเรียบ

ในวินาทีนี้

ภายในดินแดนศักดิ์สิทธิ์เจินอู่ก็เกิดปั่นป่วนขึ้น

ห้วงคิดเซียนมากมายมุ่งตรงผ่านมาที่ยอดเขาจิตวิญญาณรองของสำนักบรรพตทอง

“เป็น ‘เงาปราณเทวะ’ ของตวนมู่ชิง!”

“ในระยะพันปีที่ผ่านมาไม่เห็นจักรพรรดิตวนมู่ออกหน้า คิดไม่ถึงเลยว่าพลังของเขาจะถึงระดับขั้นนี้แล้ว”

เหล่าราชันและจักรพรรดิส่วนหนึ่งในดินแดนศักดิ์สิทธิ์เจินอู่ล้วนแต่ตกใจ

หนึ่งในนี้ก็รวมถึง ‘ราชันมารทมิฬ’ ผู้เป็นอาจารย์ของถูวั่นหลี่ด้วย

“เมื่อเห็นพลังยิ่งใหญ่ที่แฝงอยู่ใน ‘เงาปราณเทวะ’ ร่างนี้แล้ว ในบรรดาจักรพรรดิทั้งหมด พลังของตวนมู่ชิง ถือได้ว่าไร้เทียมทานแล้วล่ะ”

สีหน้าของราชันมารทมิฬขรึมลง เขาลอบมองอยู่อย่างลับๆ แต่ไม่ได้ลงมือทำอะไร

ในเวลาเดียวกันนั้น ราชันมารทมิฬก็เกิดสงสัยในใจ ว่าเหตุใดตวนมู่ชิงจึงได้ยื่นมือเข้ามาสอดเรื่องนี้?

ตอนนี้เอง

ณ ยอดเขาจิตวิญญาณรอง จ้าวเฟิงผู้เป็นคนต้นเรื่องก็เอ่ยปากออกมาในที่สุด

“คารวะผู้อาวุโสตวนมู่ ข้าได้รับคำไหว้วานจากเศษเสี้ยววิญญาณของผู้อาวุโส ‘สือเฉิง’ ให้มาที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์นี้”

จ้าวเฟิงประคองตราคำสั่งสือเฉิงส่งขึ้นไปบนฟ้ายังทิศทางของเงา แล้วค้อมคำนับ

ผู้อาวุโสสือเฉิง…เป็นยอดฝีมือคนใดกัน?

บนยอดเขาจิตวิญญาณรองของสำนักบรรพตทอง ห้วงความคิดเซียนจำนวนมากวนเวียนไปมา

ทั้งเหล่าราชันของสำนักบรรพตทอง ราชันมารทมิฬ ถูว่านหลี่ จักรพรรดิและราชันคนอื่นๆ ล้วนแต่เฝ้าครุ่นคิดเกี่ยวกับชื่อนี้

“สือเฉิง? หรือว่าจะเป็นท่านผู้นั้น…”

ภายในสำนักบรรพตทอง ราชันผู้หนึ่งที่อยู่มานานใจเต้นกระตุก

“เซียนจื่อเย่!”

จักรพรรดิเก่าแก่หลายคนที่อยู่ภายในดินแดนศักดิ์เจินอู่หลุดคำออกมา

“จะต้องเป็นเซียนจื่อเย่แน่ๆ! หากจะนับลำดับอาวุโสล่ะก็ ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์เจินอู่นี้ไม่มีผู้ใดเทียบเท่านางได้…”

“ถ้าหากว่าจำไม่ผิด เซียนจื่อเย่เป็นท่านอาหญิงของตวนมู่ชิง มาจากราชวงศ์ของทวีปที่ห่างไหล เป็นบุคลลผู้สูงศักดิ์ในตำนาน”

เหล่าคนเก่าคนแก่ระลึกถึงเรื่องราวในอดีต

บนอากาศ

ลำแสงเงาของบุรุษเรือนผมสีขาว สีหน้าฉายแววสับสนงุนงงและคิดคำนึงอย่างอดไม่ได้

“เจ้าตามข้ามา!” ร่างเงาบุรุษสูงใหญ่โบกมือส่งๆ

วูบ!

ร่างของจ้าวเฟิงล่องลอยเหมือนเป็นเพียงแผ่นกระดาษ ตามลำแสงเงาของชายรูปร่างสูงใหญ่ไปติดๆ แล้วหายไปจากยอดเขาจิตวิญญาณรองอย่างรวดเร็ว

เพียงชั่วพริบตาเดียว

จ้าวเฟิงและเงาปราณเทวะของจักรพรรดิหายไปอย่างไร้ร่องรอย

พู่ว!

จากนั้นสักพัก ในละแวกของสำนักบรรพตทอง ยอดฝีมือจำนวนมากกับห้วงคิดเซียนของราชันส่วนหนึ่งถอนหายใจโล่งอก

ตรงที่เดิม

ถูว่านหลี่ยังคงรู้สึกอกสั่นขวัญผวา สีหน้าเดี๋ยวคล้ำเดี๋ยวซีด

ส่วนบุรุษหยางกวงกับองครักษ์แห่งความตายสีหน้าบูดเบี้ยวดูไม่ได้

ใครก็คิดไม่ถึงว่าจ้าวเฟิงจะมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับจักรพรรดิระดับสูงในดินแดนศักดิ์สิทธิ์

แล้วที่ยิ่งน่าตกใจไปกว่านั้นคือ เบื้องหลังของจ้าวเฟิงยังมีเซียนในขอบเขตเทวาเร้นลับที่ดับสูญไปแล้วด้วย

เซียนในขอบเขตเทวาเร้นลับ ต่อให้สูญสลายก็ยังคงส่งผลต่อโลกของคนรุ่นหลังอย่างไม่อาจจะคาดเดาได้

“จ้าวเฟิง ความเป็นมาของเจ้ายิ่งใหญ่กว่าที่เคยคิดไว้นัก นี่สิจึงจะคุ้มค่ากับที่ข้าและเจ้าตำหนักหย่งเฟิงเสี่ยงภัยนำเจ้าเข้ามาภายในดินแดนศักดิ์สิทธิ์นี่”

ผู้เฒ่าหลี่เคราขาวถอนหายใจยาว สีหน้าเต็มไปด้วยความโล่งใจ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!