Skip to content

King of Gods 635

King Of Gods

บทที่ 635 ขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูงช่วงปลาย

ตัวจ้าวเฟิงไม่ได้ใช้ตราผนึกดวงใจทมิฬกับเจ้าหอโครงกระดูก

ตราผนึกดวงใจทมิฬสามารถทำให้คนที่โดนตีตรากลายเป็นทาสบริวารโดยสมบูรณ์ มีทั้งข้อดีและข้อเสียอยู่ด้วยกัน

ข้อดีคือ เป้าหมายจะปฏิบัติตามคำสั่งทุกอย่างประหนึ่งคนไร้ความคิดและวิญญาณ ไม่ต้องกลัวว่าจะทรยศในภายหลัง

แต่ข้อเสียคือ คนที่โดนจะเป็นเหมือนท่อนไม้ จิตสำนึกกับความคิดถูกปิดกั้น ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพในการพัฒนา

เปรียบได้กับความคิดของอารยธรรมเผ่าพันธุ์หนึ่งหยุดชะงัก ความคิดความสร้างสรรค์ก็จะถูกจำกัดไว้

ดังนั้นจ้าวเฟิงจึงยังไม่ใช้ ‘ตราผนึกดวงใจทมิฬ’ นี้กับเจ้าหอโครงกระดูก

เจ้าหอโครงกระดูกผู้นี้เจ้าเล่ห์เพทุบาย หากเก็บไว้ใช้สอยข้างกายย่อมเกิดประโยชน์ยิ่งยวด เห็นได้ชัดว่าไม่ควรปล่อยให้กลายเป็นแค่ท่อนไม้คอยทำตามคำสั่งไปวันๆ

อีกทั้งตอนนี้เจ้าหอโครงกระดูกยากที่จะเป็นพิษเป็นภัยต่อจ้าวเฟิงเสียด้วยซ้ำไป

การฝังเมล็ดดวงใจทมิฬเข้าไปในดวงวิญญาณย่อมสามารถตัดสินความเป็นความตายของอีกฝ่ายได้ในชั่วความคิดเดียว

หลังจากที่เขาปรุโปร่งในวิชาดวงตาสิบกว่าวิชา เขายังคงปิดด่านฝึกตนไม่หยุด

“ยังมีเวลาอีกสองเดือนกว่าๆ ข้าต้องทำให้พลังฝึกตนแกร่งกล้ามากยิ่งขึ้นอีก” จ้าวเฟิงหลับตาลง ฝึกตนต่อไป

ส่วนเรื่องของ ‘หมิงถงมรณะ’ เขาจึงต้องพับเก็บเอาไว้ก่อน

ต่อมา เขาฝึก ‘วิชาหมื่นห้วงคิดเซียน’ อีกครั้งหนึ่ง และลองฝึกฌานเพื่อศึกษา ‘วายุอัสนีสีชาด’ ที่อยู่ในระดับสูงกว่า

ในขณะเดียวกัน เขาก็เข้าไปภายในห้วงฝันบรรพกาลวันเว้นวัน ทุกครั้งที่จ้าวเฟิงเข้าไปภายในนั้น เขาจะอยู่ได้ยาวนานยิ่งขึ้น

กลิ่นอายของห้วงฝันบรรพกาลที่เขาดูดซึมเข้าไปมีจำนวนมหาศาล โดนพื้นฐานสายเลือด พลังวิญญาณ และพลังดวงตากลืนดูดกลืนไปไม่มีหยุด

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อใช้กลิ่นอายห้วงฝันบรรพกาลร่วมกับ ‘วิชาหมื่นห้วงคิดเซียน’ จะส่งผลให้ดวงวิญญาณแข็งแกร่งขึ้นเป็นหลายเท่าตัว!

ดูๆ แล้ว ดวงวิญญาณของจ้าวเฟิงพัฒนาแข็งกล้าขึ้นไปอีกขั้นอย่างรวดเร็วราวติดปีกเลยทีเดียว

เวลาครึ่งเดือนผ่านไป

‘วิชาหมื่นห้วงคิดเซียน’ ของจ้าวเฟิงสามารถแบ่งห้วงความคิดออกได้ถึงยี่สิบกลุ่ม ผลการฝึกฝนประสาทสัมผัสวิญญาณแข็งแกร่งขึ้นทุกวัน

วิญญาณของจ้าวเฟิงบรรลุถึงขอบเขตก่อกำเนิดระดับสูงช่วงสุดยอดโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว เป็นรองก็เพียงแต่ขั้นครึ่งก้าวสู่ราชาเท่านั้น

การพัฒนาครั้งนี้สามารถบรรยายได้ด้วยคำกล่าวว่า ‘ม้าดีหนึ่งวันวิ่งพันลี้’ (พัฒนาอย่างรวดเร็ว)

ดวงตาเทพเจ้าคือคลังสมบัติในชั้นดวงวิญญาณของจ้าวเฟิง หาก ‘วิชาหมื่นห้วงคิดเซียน’ คือกุญแจ กลิ่นอายห้วงฝันบรรพกาลก็เป็นเครื่องมือเพิ่มความเร็ว

“หากเป็นเช่นนนี้ต่อไปเรื่อยๆ แล้วล่ะก็ อีกสองเดือนข้างหน้า วิญญาณของข้าจะแข็งแกร่งขึ้นเทียบเท่าได้กับครึ่งก้าวสู่ราชัน” จ้าวเฟิงคาดหวังรอคอยในใจ

 

ไม่เสียทีที่ ‘หมื่นห้วงคิดเซียน’ เป็นถึง ‘วิชาขั้นฟ้า’ สามารถช่วยทำให้ทะลวงขึ้นเป็นราชันในขอบเขตปราณเทวะ สร้างรากฐานให้มั่นคง และมีส่วนช่วยเพิ่มโอกาสที่จะประสบความสำเร็จด้วย

มีจักรพรรดิบางส่วนต้องการจะซื้อขายแลกเปลี่ยนวิชาดังกล่าว แต่ตวนมู่ชิงไม่เคยยินยอม

ณ ตอนนี้ ดวงวิญญาณของจ้าวเฟิงแข็งแกร่งคงทน ถึงจะเป็นรองครึ่งก้าวสู่ราชัน แต่ในด้านการใช้ประโยชน์และการควบคุมพลังวิญญาณ เขายังเหนือกว่าขั้นครึ่งก้าวสู่ราชันมาก ถ้าเป็นเช่นนี้ต่อไป พลังของบรรดาขั้นครึ่งก้าวสู่ราชันคงสร้างความกดดันต่อจ้าวเฟิงได้ยากแล้ว

ในวันนี้เอง

จ้าวเฟิงเข้าไปภายในห้วงฝันบรรพกาลอีกครั้ง เมื่ออยู่บนผืนแผ่นดินเก่าแก่เวิ้งว้าง ทุกย่างก้าวของจ้าวเฟิงเป็นไปอย่างยากลำบากจนต้องก้าวเดินอย่างช้าๆ

ตอนนี้ เขาเข้าไปภายในห้วงฝันบรรพกาลไม่ใช่แค่เพียงดูดซึมกลิ่นอายของห้วงฝันบรรพกาลอย่างเดียวอีกแล้ว แต่ยังมีภารกิจที่ต้อง ‘สำรวจ’ มิติแห่งนี้ด้วย

“ครั้งก่อนเดินไปได้สี่ห้าก้าว พอครั้งนี้เข้ามาภายในมิติก็อยู่ที่เดิมจากครั้งที่แล้ว” จ้าวเฟิงจับตาดูทุกรายละเอียด

ทุกครั้งที่จ้าวเฟิงเข้ามาในห้วงฝันบรรพกาล เขาค้นพบว่าตนจะปรากฏอยู่ในตำแหน่งเดิมยามจากไปคราวก่อน

ด้านหน้าคือทุ่งหญ้าแห่งหนึ่ง

“ยังคงต้องเดินอีกหลายพันก้าวจึงจะไปถึงทุ่งหญ้าผืนนั้น” จ้าวเฟิงเดินไปได้เจ็ดแปดก้าว แล้วจึงหยุดอยู่ที่เดิมสักพัก เพื่อดูดซึมกลิ่นอายของห้วงฝันบรรพกาลเข้าไปจำนวนมาก

ก่อนจะจากไป จ้าวเฟิงทอดสายตาออกไปไกล ทุ่งหญ้าที่อยู่ไกลๆ เป็นเป้าหมายแรกของเขา และต่อมาจะเป็นแม่น้ำที่ไกลออกไปกว่านั้น

แล้วในเวลานี้เอง

ดวงตาเทพเจ้าของจ้าวเฟิงมองที่ท้องฟ้าเบื้องบน เห็นวิหคเก่าแก่ขนาดประมาณสี่ห้าฉื่อกางปีกบินสูงอยู่บนนั้น

“กลิ่นอายช่างน่ากลัวนัก!” ร่างกายและวิญญาณของจ้าวเฟิงสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายมหาศาลของสัตว์ปีศาจบรรพกาล

กลิ่นอายปีศาจจากวิหคตัวใหญ่แข็งแกร่งกว่าเหล่าวิหคในยุคหลังเป็นร้อยพันเท่า

วิหคปีศาจบรรพกาลตัวนั้นคล้ายรับรู้ได้ถึงการดำรงอยู่ของจ้าวเฟิง ดวงตาสีแดงก่ำสองข้างของมันเปล่งแสงสว่าง

วูบ!

จ้าวเฟิงสั่นสะท้านไปทั้งร่างกายและจิตใจ ประหนึ่งเผชิญหน้ากับแรงกดดันทรงพลังของราชันในขอบเขตปราณเทวะ

“ถอย!” จ้าวเฟิงที่รับรู้ได้ถึงอันตรายใหญ่หลวงออกจากห้วงฝันบรรพกาล

ที่ห้องพัก แผ่นหลังของจ้าวเฟิงเต็มไปด้วยเหงื่อไหลเปียกชุ่ม

ภายในห้วงฝันบรรพกาลนั้น กลิ่นอายพลังของวิหคปีศาจตัวหนึ่งน่ากลัวได้ถึงขนาดนี้

ในบริเวณนั้น เขาทำได้แต่ฝืนเดิน เมื่อต้องเผชิญหน้ากับสิ่งมีชีวิตแบบนั้น เขาจึงแทบไม่มีแรงจะต่อต้านได้เลย

การ ‘สำรวจ’ ในครั้งนี้เป็นสัญญาณบอกให้จ้าวเฟิงต้องระมัดระวังตัวอยู่เสมอ

 

ในห้วงฝันบรรพกาลมีทั้งโอกาสและอันตราย คาดการณ์ได้เลยว่าพื้นที่เก่าแก่ยิ่งใหญ่แห่งนั้น จะต้องมีเผ่าพันธุ์สิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งอยู่เป็นจำนวนมากแน่นอน

หลังจากนั้น เวลาเกือบสองเดือน

จ้าวเฟิงหยุดฝึกวิชาแล้วใจจดใจจ่ออยู่กับการหลอมใจกลางแก่นก่อกำเนิด

ใจกลางแก่นก่อกำเนิดภายในร่างกายของเขา ร่องรอยการตกผลึกนับวันยิ่งชัดเจนขึ้น

เวลานี้ ในที่สุดจ้าวเฟิงก็เอาบางอย่างออกมาจากกล่องไม้ เป็นของอย่างที่สาม นั่นก็คือ… ‘โอสถผลึกสวรรค์’

ก่อนที่จะจากไป ตวนมู่ชิงในฐานะที่เป็นอาจารย์ได้มอบของทั้งสามอย่างให้แก่จ้าวเฟิง

‘วิชาหมื่นห้วงคิดเซียน’ และ ‘ตำราหมิงถง’ ในกลุ่มนั้นช่วยส่งเสริมและเป็นประโยชน์แก่จ้าวเฟิงอย่างมาก

“นี่คือ ‘โอสถผลึกสวรรค์’ จะช่วยให้ขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับต่ำช่วงสุดยอดทะลวงไปยังยอดผู้สูงศักดิ์ในขอบเขตแก่นกำเนิดระดับสูง พลังฝึกตนเดิมของเจ้าไม่สูงส่งพอที่จะใช้โอสถนี้ แต่อาจารย์พบว่าใจกลางแก่นก่อกำเนิดในร่างของเจ้าอยู่ในลักษณะผลึกแล้ว การให้เจ้าใช้ยาเม็ดนี้ก่อน บางทีอาจจะได้ผลลัพธ์ที่ไม่เลวก็เป็นได้“

ในหัวของจ้าวเฟิงปรากฏสิ่งที่อาจารย์ตวนมู่ชิงเคยกล่าวไว้

โดยปกติแล้ว มีเพียงขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับต่ำช่วงสุดยอดที่จะทะลวงไปถึงยอดผู้สูงศักดิ์ในขอบเขตแก่นกำเนิดระดับสูง ถึงเหมาะที่จะใช้ ‘โอสถผลึกสวรรค์’

มิฉะนั้นแล้ว เกรงว่าขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับต่ำช่วงกลางและช่วงปลายทั่วไปจะไม่สามารถรับฤทธิ์ของโอสถนี้ได้ หรือไม่ก็อาจดูดซึมผลของยาได้ไม่ดีนัก จะกลายเป็นเสียโอสถนี้ไปโดยเปล่าประโยชน์

ทว่าตวนมู่ชิงผู้ซึ่งเป็นจักรพรรดิในขอบเขตปราณเทวะมีสายตาเฉียบแหลมอย่างยิ่ง

 

เขาไม่เพียงแต่มองออกอย่างทะลุปรุโปร่งว่าแก่นแท้ชีวิตของจ้าวเฟิงบรรลุไปถึงขีดจำกัดของขอบเขตแก่นกำเนิดระดับสูง หนำซ้ำยังรู้ว่าใจกลางแก่นก่อกำเนิดของจ้าวเฟิงมีร่องรอยการตกผลึกแล้ว

ฉะนั้น จ้าวเฟิงจึงสามารถรับและใช้โอสถตัวนี้ได้

“ไม่รู้ว่าผลของ ‘โอสถผลึกสวรรค์’ จะเป็นอย่างไรบ้าง…”

จ้าวเฟิงนำยาลักษณะกลมรีที่โปร่งแสงคล้ายผลึกแก้วในมือใส่เข้าไปในปาก

หลังจากที่ ‘ผลึกโอสถ’ เข้าสู่ร่างกาย กลับไม่มีการละลายใดๆ เหมือนโอสถชนิดอื่น

จ้าวเฟิงจึงกระตุ้นปราณที่แท้จริงให้หลอมรวมเข้ากับ ‘ผลึกโอสถ’ และดูดซึมฤทธิ์โอสถที่บริสุทธิ์เข้มข้นเข้าไป

พลังของผลึกโอสถนั้นแข็งแกร่งและบริสุทธิ์เท่ากับพลังใน ‘แก่นผลึก’ ของขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูง

วิ้ง วิ้ง ~

พลังของผลึกโอสถเม็ดนั้นส่องสว่างเป็นประกายระยิบระยับ แล้วกระจายตัวออกเป็นระลอกคลื่น ออกฤทธิ์อย่างรุนแรง จากนั้นจึงตรงดิ่งไปยัง ‘ใจกลางแก่นก่อกำเนิด’ ผ่านทางเส้นลมปราณภายในร่างของจ้าวเฟิง

หากเปลี่ยนขอบเขตแก่นก่อกำเนิดธรรมดา เส้นลมปราณในร่างกายทั้งหมดหรือแม้แต่ใจกลางแก่นก่อกำเนิดคงไม่อาจรับฤทธิ์โอสถนี้ไหว

แต่จ้าวเฟิงกลับรู้สึกสบายอย่างยิ่ง ด้วยเพราะสภาวะวิญญาณของเขาบรรลุถึงขีดสุดของขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูง กระทั่งเข้าใกล้ขั้นราชาไปทุกทีแล้ว

ต่อให้เป็นขั้นครึ่งก้าวสู่ราชา สภาวะวิญญาณก็ไม่อาจเทียบกับจ้าวเฟิงได้

อนึ่ง ‘ใจกลางแก่นก่อกำเนิด’ ของเขาได้กลายเป็นผลึกส่วนหนึ่งแล้ว เพียงแค่อย่ารีบร้อนเกินไป ก็จะสามารถรับฤทธิ์ของยานี้ได้

เวลาผ่านไป ‘ใจกลางแก่นก่อกำเนิด’ ในร่างของจ้าวเฟิงค่อย ๆ แข็งแกร่งขึ้นและกลายเป็นผลึกอย่างเห็นได้ชัด

เวลาเกือบสองเดือนผ่านไปอย่างรวดเร็ว

จ้าวเฟิงดูดซึมฤทธิ์ ‘ผลึกโอสถสวรรค์’ จนหมดสิ้นแล้ว

ในช่วงเวลาดังกล่าว เพราะกังวลในเรื่องของวิหคปีศาจบรรพกาลที่ดุร้ายตัวนั้น จ้าวเฟิงถึงขั้นไม่เข้าไปในห้วงฝันบรรพกาล

ยังดีที่ในขณะกำลังตั้งใจฝึกฝน ได้ผลึกโอสถสวรรค์ช่วยให้ใจกลางแก่นก่อกำเนิดในร่างจ้าวเฟิงตกผลึกในขั้นแรก

ขนาดของใจกลางแก่นก่อกำเนิดไปถึงขั้นขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับต้นช่วงปลายแล้ว

“ตอนนี้ใจกลางแก่นก่อกำเนิดภายในร่างข้า ระดับความแข็งแกร่งแทบจะเทียบได้กับขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูง เพียงแต่ขนาดแตกต่างกันค่อนข้างมากก็เท่านั้น” จ้าวเฟิงเรียนรู้อย่างเงียบๆ

พลังฝึกตนของเขาในตอนนี้ อย่างน้อยต้องอยู่ในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับต่ำช่วงปลาย

ส่วนขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูง สำหรับเขาไม่มีอุปสรรคใดขวางกั้นเลยสักนิด เพราะใจกลางแก่นก่อกำเนิดในร่างของเขาตกผลึกจนกลายเป็น ‘แก่นผลึก’ ไปแล้ว

เขาเพียงแค่ต้องเพิ่มขนาดของ ‘แก่นผลึก’ ก็จะก้าวไปถึงขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูงได้อย่างสบายๆ

“อีกเพียงแค่ไม่กี่วัน อุทยานครึ่งเซียนก็จะเปิดออก” จ้าวเฟิงถอนหายใจออกมายาวๆ

 

ก่อนหน้างานอีกไม่กี่วัน เขาวางแผนเข้าไปในห้วงฝันบรรพกาลอีกครั้งเพื่อฝึกความแข็งแกร่งของกลิ่นอาย ‘แก่นผลึก’

ถึงอย่างไรเสีย การที่เขาทะลวงถึงขอบเขตก่อกำเนิดระดับต่ำช่วงปลายได้ นั่นเป็นเพราะมีพลังจากภายนอกมาช่วยเสริมนี่เอง

ในครั้งนี้ จ้าวเฟิงเข้าสู่ห้วงฝันบรรพกาลด้วยความระมัดระวังอย่างเห็นได้ชัด

สวบ!

จ้าวเฟิงยืนอยู่ที่เดิมบนผืนหญ้าเก่าแก่รกร้าง วิหคปีศาจที่เจอในครั้งที่แล้วกลับไม่ปรากฏกายขึ้นในครั้งนี้

จ้าวเฟิงดูดซึมกลิ่นอายห้วงฝันบรรพกาลเพื่อหลอมรวม ‘แก่นผลึก’ ภายในร่างให้แข็งแกร่งมั่นคงยิ่งขึ้น

ในเวลาเดียวกัน

ด้วยพราะเวลาในการเปิดอุทยานครึ่งเซียนกระชั้นเข้ามา อัจฉริยะยอดฝีมือของแต่ละสำนักในดินแดนศักดิ์สิทธิ์เจินอู่ที่พร้อมจะประมือได้เตรียมตัวพร้อมสรรพแล้ว

ณ สำนักสถานเสวียนเจิน ภายในจวนของจักรพรรดิกู่หลัว

“ขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับต่ำช่วงปลาย สำเร็จแล้ว!”

หน้าเจียงฟานแดงระเรื่อ อารมณ์ฮึกเหิมคึกคะนอง

“ไม่เลว พลังปราณเทวะที่ยิ่งใหญ่ของข้าได้ปกป้องและช่วยเหลือมาโดยตลอด จึงทำให้เจ้าดูดซึมฤทธิ์ของ ‘ผลึกโอสถสวรรค์’ ได้สำเร็จ” จักรพรรดิกู่หลัวเอ่ยอย่างชื่นชมเล็กน้อย

หลายหลายเดือนที่ผ่านมา เจียงฟานอยู่ภายใต้การควบคุมดูแลของเขา ตั้งใจฝึกฝนจนพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว

“ในตอนนี้สายเลือดรายชื่อหมื่นเผ่าพันธุ์โบราณของข้าและพลังฝึกตนล้วนแต่ก้าวหน้าไปมาก น่าจะประลองกับอัจฉริยะทั้งสิบของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ได้แล้ว”

เจียงฟานมั่นใจมากขึ้นเป็นเท่าทวี สายเลือดในตำนานอย่างรายชื่อหมื่นเผ่าพันธุ์โบราณ เดิมมีความสามารถไร้ขีดจำกัดในการทลายขอบเขตพลังใดๆ อยู่แล้ว

ยกตัวอย่างเช่น เขาอยู่ในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับต่ำช่วงปลาย พลังของเขาจะสามารถท้าทายคนในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูงช่วงปลายได้

“เหอะ…จ้าวเฟิงผู้นั้น”

เจียงฟานใจเต้นระรัว ตนเองสามารถพัฒนาไปได้อย่างรวดเร็วเช่นนี้ ย่อมทิ้งห่างจ้าวเฟิงผู้นั้นจนมองไม่เห็นฝุ่นแน่

ยอดเขาจิตวิญญาณหลัก สำนักศักดิ์สิทธิ์หนึ่งพันเดียวดาย

ภายห้องโถงใต้ดินลี้ลับ บรรยากาศอึมครึม

“ตามสัญญาที่ตกลงกันไว้ อาจารย์ของข้า ‘ราชันมารทมิฬ’ ช่วยให้เจ้าอยู่ในลำดับรายชื่อได้สำเร็จ และเพื่อการนี้ก็สูญเสียไปไม่น้อย…”

ในกลุ่มลูกไฟสีดำสนิท ปรากฏร่างเงาเลือนรางของชายผู้หนึ่งที่มีลักษณะผิวเป็นเกล็ดสีนิล

หากว่าจ้าวเฟิงอยู่ที่แห่งนี้ด้วย ย่อมต้องดูออกแน่ว่าราชาลัทธิมารผู้นี้ก็คือ ‘ถูวั่นหลี่’ ที่วันนั้นตามมาฆ่าที่สำนักบรรพตทอง

บุรุษหนุ่มหยางกวงยืนอยู่หน้าถูวั่นลี่

“รบกวนราชันมารทมิฬแล้ว อาจารย์ของข้า ‘จักรพรรดิแห่งความตาย’ อีกไม่นานจากนี้จะออกจากการปิดด่าน ถึงตอนนั้นจะขอบคุณด้วยเงินทองมหาศาล”

บุรุษหนุ่มหยางกวงใบหน้าเต็มไปด้วยความอบอุ่น

ถูว่านลี่ได้ยินคำดังกล่าว ในใจก็เกิดความหวั่นเกรง

จักรพรรดิแห่งความตายเป็นจักรพรรดิเก่าแก่ในตำนาน ชื่อเสียงสะเทือนไปทั่วดินแดนจิตวิญญาณทั้งสามในชางไห่

ในแผ่นดินนี้นอกจากเซียนขอบเขตเทวาเร้นลับ เกรงว่าคงไม่มีใครกล้าพูดกดดันจักรพรรดิแห่งความตาย

“พวกเราทางนี้รับผิดชอบเพียงเอาเจ้าใส่เข้าไปในลำดับรายชื่อเท่านั้น ส่วนเรื่องที่เจ้าจะสังหารจ้าวเฟิงได้หรือไม่ ก็ไม่เกี่ยวอะไรกับพวกข้าเลยแม้แต่นิดเดียว เหอะเหอะ พวกเจ้าไม่กลัวจักรพรรดิตวนมู่ชิงแก้แค้นเอาเสียเลย” ถูวั่นลี่หัวเราะออกมาเยือกเย็นพิลึก

ถึงแม้จักรพรรดิแห่งความตายจะแข็งแกร่ง แต่จักรพรรดิตวนมู่ชิงก็ไม่ควรไปล่วงเกิน ยิ่งไปกว่านั้นที่นี่เป็นพื้นที่ของดินแดนศักดิ์สิทธิ์เจินอู่ด้วย

“เพียงเข้าไปในอุทยานครึ่งเซียนได้ ก็ไม่มีใครช่วยจ้าวเฟิงได้แล้ว ประจวบเหมาะกับที่จักรพรรดิตวนมู่ออกไปภายนอก เป็นโอกาสที่พันปีถึงจะมีสักครั้ง”

หนุ่มหยางกวงแย้มยิ้มออกมา เจิดจ้าอบอุ่น แต่กลับมีความเย็นยะเยือกแทรกซึมถึงวิญญาณ

“จุจุ! อย่าเพิ่งมั่นใจในตัวเองมากเกินไป อัจฉริยะที่เข้าไปภายในอุทยานครึ่งเซียนได้ มีลูกศิษย์สืบทอดของพวกจักพรรดิก็ไม่น้อย โดยเฉพาะ ‘หนานกงเซิ่ง’ ผู้นั้น อีกทั้งคนในสำนักของข้า ‘เมิ่งซี’ มีพลังล้ำหน้าเกินเหล่าครึ่งก้าวสู่ราชาไปมาก พลังขององครักษ์แแห่งความตายที่อยู่ข้างกายของเจ้า เกรงว่าจะไม่ครณามือพวกเขาเสียด้วยซ้ำ”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!