Skip to content

King of Gods 637

King Of Gods

บทที่ 637 เวินลั่วอัน

ยอดเขาศักดิ์สิทธิ์ว่านกู่

เบื้องหน้ามีเศษซากปรักหักพังของหออาคาร ซึ่งเป็นแหล่งรวมตัวของลูกศิษย์คนสำคัญจำนวนสองสามร้อยคนจากแต่ละสำนักของดินแดนศักดิ์สิทธิ์เจินอู่

บนท้องฟ้าเต็มไปด้วยพลังฟ้าดิน ขอบห้วงมิติสั่นไหว เส้นโครงร่างหลากสีของทิวทัศน์อุทยานปรากฏขึ้นเหนือศีรษะของทุกคน

ในตอนแรก เค้าโครงอุทยานยังคลุมเครือ มองเห็นคล้ายเป็นเงาที่เลือนราง

แต่เมื่อเวลาผ่านไปเรื่อยๆ เค้าโครงเหนือศีรษะนั่นก็ค่อยๆ ชัดเจนเป็นรูปเป็นร่างมากยิ่งขึ้น

ดูจากสถานการณ์แล้ว เหมือนจะเปลี่ยนไปเป็นรูปธรรมที่จับต้องได้!

หน้าหลังของเส้นเค้าโครงอุทยานมีประตูเรียบง่ายด้านละบาน เป็นประตูทองสัมฤทธิ์ขึ้นสนิมขนาดใหญ่ ทั้งสองฝั่งมีกิเลนซึ่งเป็นสัตว์เทพในตำนานโบราณตั้งตะหง่านขนาบข้าง ถึงแม้ว่าจะแกะสลักจากหิน แต่กลับให้ความรู้สึกเหมือนโลหะ ดูมีชีวิตชีวาคล้ายของจริง

“อุทยานครึ่งเซียนอาจต้องใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วยามถึงจะเปิดออกทั้งหมด” เสียงของต่งเหวินเจี้ยนดังอยู่ข้างหู

จ้าวเฟิงและต่งเหวินเจี้ยนยืนอยู่ท่ามกลางกลุ่มลูกศิษย์ของ ‘สำนักศักดิ์สิทธิ์เสวียนเจิน’

ด้านล่างประตูทางเข้าของอุทยานครึ่งเซียน เหล่าอัจฉริยะจำนวนสองสามร้อยคนมาจากสองสำนักใหญ่และสำนักระดับสองดาวอันแข็งแกร่งสามสิบสามแห่ง

ในฐานะที่ ‘สำนักศักดิ์สิทธิ์เสวียนเจิน’ เป็นสำนักใหญ่ระดับสามดาว จึงมีลำดับรายชื่อห้าสิบคน

โดยปกติสำนักระดับสองดาวจะได้ที่นั่งในลำดับรายชื่อห้าคน มีสำนักสองดาวที่แข็งแกร่งมากๆ บางแห่งที่จะได้ลำดับรายชื่อเพิ่มขึ้นเป็นแปดคนหรือสิบคน

ยกตัวอย่างเช่น ‘สำนักหมื่นอัสนี’ มีลำดับรายชื่อมากเป็นจำนวนเกือบสิบคน สำนักบรรพตทองรับได้ห้าคน

ก่อนหน้าที่อุทยานจะเปิด ต่งเหวินเจี้ยนแนะนำเหล่าอัจฉริยะทั้งสิบแห่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์และคนที่มีฝีมือล้ำเลิศให้จ้าวเฟิงฟังทีละคน

อันดับแรก

สำนักศักดิ์สิทธิ์เสวียนเจิน ได้หนานกงเซิ่งเป็นแกนนำหลัก ต่อมามีเฉินอี้หลินและศิษย์พี่หนาน ทั้งหมดฝึกตนอยู่ในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูงช่วงปลาย

อัจฉริยะทั้งสามคนนี้ล้วนแต่อยู่ในสิบลำดับอัจฉริยะของดินแดนศักดิ์สิทธิ์

แน่นอนว่านอกจากคนทั้งสามนี้แล้ว สำนักศักดิ์สิทธิ์เสวียนเจินยังมีอีกหลายคนที่อยู่ในระดับ ‘อัจฉริยะที่ผ่านเกณฑ์ทั้งสิบ’ ซึ่งมีพลังเป็นรองสิบอัจฉริยะของดินแดนศักดิ์สิทธิ์

อย่างเช่นลูกศิษย์สืบทอดในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูงช่วงต้นและช่วงกลาง

นอกจากนี้ยังมี ‘เจียงฟาน’ ผู้ซึ่งมีรายชื่อหมื่นเผ่าพันธุ์โบราณ พลังน่าจะสามารถประมือกับสิบอัจฉริยะแห่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์ได้

พอดีกันกับที่แววตาของเจียงฟานหยุดลงบนร่างของจ้าวเฟิง สีหน้าเขาเจือความโกรธเกลียด

“จ้าวเฟิงผู้นี้ พลังฝึกตนทะลวงไปถึงขอบเขตก่อกำเนิดระดับต่ำช่วงปลายแล้ว” เจียงฟานกำสองมือแน่น ความรู้สึกล้มเหลวพ่ายแพ้ทิ่มแทงใจ

นึกถึงในคราวก่อนที่ตำหนักวิญญาณทะเลความว่างเปล่า ในสายตาของเขา

จ้าวเฟิงเป็นเพียง ‘คนไม่สำคัญ’ ที่ไม่จำเป็นต้องผูกมิตรด้วย

เฉินอี้หลินที่อยู่ข้างๆ เจียงฟานก็นึกถึงเรื่องนี้เช่นกัน

พัฒนาการของจ้าวเฟิงไม่ใช่ความรวดเร็วระดับธรรมดา ถึงกระทั่งว่าสร้างความกดดันน้อยๆ ต่อ ‘เจียงฟาน’ ผู้มีพลังสายเลือดรายชื่อหมื่นเผ่าพันธุ์โบราณเสียด้วยซ้ำไป

“ศิษย์น้องเจียง เจ้าจงอย่าเอาเรื่องนี้มาใส่ใจ แม้จะมีพลังฝึกตนในระดับขั้นเดียวกัน แต่เจ้ายังมีสายเลือดในตำนานอย่างรายชื่อหมื่นเผ่าพันธุ์โบราณ สามารถกำราบฝ่ายตรงข้ามได้ ศัตรูของเจ้าคือพวกอัจฉริยะทั้งสิบของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ต่างหาก” เฉินอี้หลินยิ้มพร้อมปลอบใจ

เมื่อเจียงฟานได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกอุ่นใจขึ้นเล็กน้อย เขาตัดสินใจว่าหลังจากที่เข้ามาในอุทยานครึ่งเซียนจะต้องเก็บเกี่ยวให้ได้มากกว่าจ้าวเฟิง

“ศิษย์ของสำนักศักดิ์สิทธิ์เสวียนเจินที่เข้ามาในอุทยานแห่งนี้ พวกเจ้าต้องคอยดูแลกัน ห้ามฆ่ากันเองหรือแข่งขันเอาชนะกันเอง” เสียงของจักรพรรดิที่น่าเกรงขามดังขึ้นในหัวของเหล่าลูกศิษย์

ผู้อาวุโสคุมกฎ!

เหล่าศิษย์ผู้สืบทอดของสำนักศักดิ์สิทธิ์ใจเย็นวาบแล้วละล่ำละลั่กตอบรับ

ถัดจากนั้น จ้าวเฟิงจึงได้รู้จักพวกอัจฉริยะส่วนหนึ่งของสำนักอื่นๆ จากการแนะนำของต่งเหวินเจี้ยน

“นางคือเมิ่งซี หนึ่งในสิบอัจฉริยะแห่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์ เป็นอัจฉริยะเพียงคนเดียวที่มีพลังเทียบเท่าหนานกงเซิ่ง แล้วยังมีสายเลือดในตำนานอย่างรายชื่อหมื่นเผ่าพันธุ์โบราณด้วย…” สายตาของทั้งสองจ้องมองไปทางดรุณีชุดกระโปรงฟ้าจีบขาว

ใบหน้าของดรุณีผู้นั้นงามไร้ที่ติคล้ายกับหยก ดวงตาวาววับคล้ายดวงดารา ดูคลุมเครือราวภาพฝัน ผมยาวสลวยดั่งเส้นไหมระพื้น พลิ้วไหวตามลม สูงส่งสมบูรณ์แบบประหนึ่งอยู่ในภาพมายา

มีอัจฉริยะมากมายในที่แห่งนั้นจับจ้องสายตาไปที่เมิ่งซี ในใจเคลิบเคลิ้มหลงใหล

ไม่ว่าจะเป็นใคร ไม่ว่าจะมองจากมุมไหนก็ตาม เมิ่งซีเป็นดั่งเทพธิดาที่งามพร้อม

“เป็นกลิ่นอายสายเลือดที่แปลกประหลาดเหลือเกิน”

จ้าวเฟิงเกิดความรู้สึกตื่นตะลึงในความงามของอิสตรีอย่างที่ไม่ได้เกิดขึ้นมานาน เทพธิดาในห้วงฝันที่มีผมดำสลวยยาวระพื้น ชวนให้เขารู้สึกอยากจะปกป้องคุ้มครองอย่างบอกไม่ถูก

ตุบ ตุบ! ตุบ ตุบ!

อยู่ๆ ดวงตาเทพเจ้าข้างซ้ายก็กระตุกขึ้นมา

จิตใจของจ้าวเฟิงกลับมาสงบอีกครั้ง สลัดความรู้สึกล่อลวงที่แทรกซึมเข้าไปภายในจิตใจทิ้งไป

“พลังสายเลือดของเมิ่งซีผู้นี้ค่อนไปทางแขนงดวงวิญญาณ” จ้าวเฟิงเอ่ยสรุป

หืม!

ดรุณีในชุดกระโปรงฟ้าจีบขาวที่มีเรือนผมสลวย เบือนนัยน์ตาเป็นประกายดุจดวงดารามาที่ร่างของจ้าวเฟิง

ทันใดนั้น

แรงกดดันที่แข็งแกร่งจากสายเลือดดวงวิญญาณทำให้จ้าวเฟิงใจเต้นกระตุก

อีกทั้งนัยน์ตาของเมิ่งซีที่ดูเหมือนจะสนใจแต่ก็ไม่ใส่ใจ ยังทอดมองจ้าวเฟิงอยู่หนึ่งสองช่วงลมหายใจ

ต่งเหวินเจี้ยนที่อยู่ข้างกายของจ้าวเฟิงแทบหยุดหายใจ ความคิดและจิตสำนึก หรือกระทั่งปราณที่แท้จริงของสายเลือดล้วนแต่หยุดชะงักไปชั่วขณะหนึ่ง

 

อากัปกิริยาของเมิ่งซีดึงดูดความสนใจของเหล่าอัจฉริยะส่วนหนึ่งของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ อัจฉริยะที่สามารถทำให้เมิ่งซีแปลกใจและสนใจได้ย่อมต้องไม่ธรรมดา

“เขาเป็นศิษย์ผู้สืบทอดที่มาใหม่งั้นรึ?” หนานกงเซิ่งมองจ้าวเฟิงปราดหนึ่ง ใบหน้าไม่มีทีท่าของความประหลาดใจ

“ถูกต้อง เขาคือจ้าวเฟิงคนนั้นที่จักรพรรดิตวนมู่รับเป็นศิษย์…” ศิษย์ผู้สืบทอดข้างกายเอ่ยตอบ

ในวินาทีเดียวกันนั้นเอง

จ้าวเฟิงสัมผัสได้ถึงแรงกดดันจากสายตาของเหล่าอัจฉริยะดินแดนศักดิ์สิทธิ์

ในกลุ่มเหล่านี้ จ้าวเฟิงยังรู้สึกได้ถึงสายตาที่ไม่เป็นมิตร กระทั่งมีจิตสังหารที่ออกมาจากดวงวิญญาณด้วย

“จ้าวเฟิง ชีวิตคนเราก็มักจะประหลาดแบบนี้สินะ พวกเราพบกันอีกครั้ง แล้วยังจะได้แสดงฝีมือร่วมกันบนเวทีเดียวกันอีก”

ที่สำนักศักดิ์สิทธิ์หนึ่งพันเดียวดาย ‘บุรุษหนุ่มราวแสงอาทิตย์’ ผู้มีรอยยิ้มอบอุ่นระบายบนใบหน้ามองจ้าวเฟิงอย่างประเมิน

และเป็นเวลาเดียวกันกับที่ต่งเหวินเจี้ยนเอ่ยแนะนำ “ดูไปแล้วช่างเป็นบุรุษหนุ่มที่โชติช่วงเหมือนแสงอาทิตย์ เขาคือ ‘เวินลั่วอัน’ เป็นศิษย์ที่เพิ่งเข้ามาใหม่ในสำนักหนึ่งพันเดียวดาย พลังถือได้ว่าไม่ด้อยไปกว่าพวกอัจฉริยะทั้งสิบเลยแม้แต่น้อย เรียกได้ว่าเป็นม้ามืดของ ‘อุทยานครึ่งเซียน’ ในครั้งนี้เลยก็ได้”

บุรุษหนุ่มแสงอาทิตย์มีนามว่า ‘เวินลั่วอัน’ ฝึกตนถึงขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูงช่วงปลาย

“เวินลั่วอันรึ?” สายตาของจ้าวเฟิงเป็นประกาย เตรียมใจตั้งรับ ด้วยบุรุษหนุ่มผู้นี้สร้างความกดดันให้กับเขาไม่น้อย

“นอกจากสำนักศักดิ์สิทธิ์ทั้งสองแล้ว ยังมี ‘เหลยเจิ้น’ แห่ง ‘สำนักหมื่นอัสนี’ มีสายเลือดจิตวิญญาณอัสนีโบราณที่หาได้ยากยิ่ง เขาเชี่ยวชาญพลังอัสนี และพลังรบก็แข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง” ต่งเหวินเจี้ยนเอ่ยเตือน

เหลยเจิ้น?

จ้าวเฟิงมองตาม เห็นชายหนุ่มเท้าเปลือยเปล่ารูปร่างสูงใหญ่ หน้าผมมอมแมมยุ่งเหยิง สะพายกระบี่ไว้ด้านหลัง

พลังฝึกตนของเหลยเจิ้นไปถึงขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูงช่วงกลาง

กลิ่นอายพลังอัสนีที่สาดซัดออกมาจากภายในร่าง ทำให้ปราณที่แท้จริงวายุอัสนีของจ้าวเฟิงสั่นสะท้าน

“กลิ่นอายอัสนีแข็งแกร่งยิ่งนัก” จ้าวเฟิงอ้างอิงปฏิกิริยาที่ได้จากพลังอัสนี จึงรู้สึกได้ถึงความน่ากลัวของคนผู้นี้

“เหอะ! มรดกของจักรพรรดิวายุอัสนีงั้นรึ? ในยามก่อน ‘จักรพรรดิวายุอัสนี’ ผู้นั้นเคยศึกษาวิชามากมายของ ‘สำนักหมื่นอัสนี’ ของข้า มิฉะนั้นคงจะไม่มีชื่อเสียงโด่งดังเช่นวันนี้” เหลยเจิ้นพึมพำกับตัวเอง

สำนักหมื่นอัสนีเป็นสำนักฝึกวิชาอัสนีที่โดดเด่นยิ่งนักในบริเวณชางไห่

ภายในดินแดนศักดิ์สิทธิ์นี้ พลังของสำนักหมื่นอัสนีนับได้ว่าใกล้เคียงกับสำนักสามดาว และแข็งแกร่งห่างชั้นจากพวกสำนักบรรพตทองไปมาก

ขนาด ‘จักรพรรดิวายุอัสนี’ ยังเคยฝึกตนที่สำนักแห่งนี้มาก่อน ถ้าหากไม่มีสำนักหมื่นอัสนี ก็คงไม่มีความรุ่งโรจน์ของจักรพรรดิวายุอัสนีเป็นแน่

“สิบอัจฉริยะของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไม่มีทางธรรมดาแน่นอน”

จ้าวเฟิงเฝ้ามองเหล่าอัจฉริยะทั้งสิบคนอย่างระแวดระวัง ต่งเหวินเจี้ยนเองก็แนะนำทุกคนให้เขาฟังอย่างละเอียด

เวลาผ่านไปอย่างช้าๆ

เค้าโครงอุทยานเหนือศีรษะ จากแต่เดิมที่เป็นเงาเลือนรางพร่ามัว ค่อยๆ เริ่มชัดเจนขึ้นทีละน้อยๆ

อากาศเหนือยอดเขาศักดิ์สิทธิ์ว่านกู่สั่นสะท้านไปชั่วขณะหนึ่ง ความรู้สึกแบบนั้นเหมือนว่ามีมิติสองแห่งปะทะเข้าหากัน

ดวงตาเทพเจ้าของจ้าวเฟิงมองสถานการณ์ออกส่วนหนึ่ง

ถ้าเปรียบมิติเป็นฟองอากาศ เช่นนั้นแล้วในตอนนี้ ฟองอากาศลูกเล็กก็กำลังหลอมรวมเข้าสู่ภายในฟองอากาศลูกใหญ่ของมิติดินแดนศักดิ์สิทธิ์

อุทยานครึ่งเซียนนี้เป็นมิติลี้ลับที่ ‘ครึ่งเซียน’ องค์หนึ่งในอดีตได้ฝืนลิขิตฟ้าสร้างขึ้น

“อุทยานครึ่งเซียนกำลังจะเปิดเดี๋ยวนี้แล้ว…”

บนยอดเขาศักดิ์สิทธิ์ว่านกู่ อัจฉริยะจำนวนนับสองสามร้อยแหงนศีรษะขึ้นมองด้านบน

ในวินาทีดังกล่าว

สิ่งที่ทุกคนมองเห็นมีเพียงมุมหนึ่งของเค้าโครง ‘อุทยานครึ่งเซียน’ ก่อนจะปรากฏประตูทองสัมฤทธิ์ขึ้นสองบาน

“ ‘อุทยานครึ่งเซียน’ มีทางเข้าสองทาง หน้าหนึ่งหลังหนึ่ง”

ในสมองของจ้าวเฟิงมีข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับสถานที่ดังกล่าว

ตอนนี้

ประตูทองสัมฤทธิ์เก่าคร่ำครึสองบานจะให้สิทธิ์นำโดยสำนักเสวียนเจินและสำนักหนึ่งพันเดียวดาย

ถัดมาจึงจะเป็นพวกสำนักระดับสองดาวทั้งหลาย

โครม!

ชายขอบของมิติสั่นสะเทือนซ้ำอีกครั้ง

ยังดีที่มิติของยอดเขาศักดิ์สิทธิ์ว่านกู่มั่นคงเป็นที่สุด อีกทั้งยังสร้างค่ายกลที่ทำให้มิติเสถียรยิ่งขึ้น

ในครรลองจักษุ ‘อุทยานครึ่งเซียน’ ที่ค่อยๆ เป็นรูปเป็นร่างลดระดับลงมาจากฟ้า แล้วหยุดนิ่งอยู่ด้านบนของ ‘ยอดเขาศักดิ์สิทธิ์ว่านกู่’

“มุมหนึ่งของมิติอุทยานเชื่อมเข้ากับยอดเขาศักดิ์สิทธิ์ว่านกู่แล้ว”

“อุทยานครึ่งเซียนเปิดเรียบร้อยแล้ว!”

กลางอากาศ มีห้วงคิดเซียนของสำนักที่แข็งแกร่งจำนวนมากบินวนไปมา

“เคลื่อนกำลังเข้าไปภายในอุทยานครึ่งเซียน”

หนานกงเซิ่งผู้องอาจกลายร่างเป็นเส้นสายสีเงิน ตรงดิ่งเข้าไปทางประตูทองสัมฤทธิ์โบราณเป็นคนแรก

ในขณะเดียวกัน

เมิ่งซีก็ลอยตัวขึ้น ตรงจุดเดิมทิ้งไว้ให้เห็นเพียงภาพมายาของเรือนผมดำขลับเหมือนม่านน้ำตก กายสั่นน้อยๆ แล้วหายไปในพริบตา

เซิ่งและเมิ่ง สองอัจฉริยะที่เก่งกาจยืนอยู่บนจุดสูงด้วยความเร็วที่คนข้างๆไม่อาจเทียบเคียงได้ จากนั้นจึงเข้าไปภายในอุทยานครึ่งเซียน

สวบ สวบ สวบ!

อัจฉริยะของสองสำนักศักดิ์สิทธิ์ยึดครองประตูคนละบาน แล้วจึงบินเข้าไปภายในอุทยานครึ่งเซียนอย่างรวดเร็ว

 

“ศิษย์น้องจ้าว หลังจากเข้าไปในอุทยานครึ่งเซียนแล้ว ทางที่ดีเจ้าควรจะอยู่กับศิษย์สำนักเดียวกัน ทำเช่นนี้จะได้ไม่พลาดพลั้งโดยง่าย…” ต่งเหวินเจี้ยนเอ่ยเตือนสติก่อนจะโบยบินเข้าไปภายในประตู

จ้าวเฟิงพยักหน้า ไม่ลังเลอีกต่อไป ที่เดิมเหลือเพียงร่องรอยของเศษเสี้ยววายุอัสนีสีม่วง แต่ไม่เหลือแม้แต่เงาของเขาอีกต่อไป

“เป็นวายุอัสนีพิฆาตสีม่วงจริงๆ ด้วย”

‘เหลยเจิ้น’ จากสำนักหมื่นอัสนีที่อยู่เบื้องหลังยกมุมปากขึ้นเป็นรอยยิ้มเย็น

โครม!

หลังจากที่เหล่าอัจฉริยะของดินแดนศักดิ์สิทธิ์เข้าไปอุทยานครึ่งเซียนทีละคน ประตูทองสัมฤทธิ์ทั้งสองบานก็อับแสงลง มีแววเริ่มไม่มั่นคงขึ้นรางๆ

จนกระทั่งอัจฉริยะของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งสามร้อยคนเข้าไปอุทยานครึ่งเซียนจนหมด ประตูบานใหญ่นั่นก็สลัวลงจนถึงที่สุด

โครม!

ประตูทองสัมฤทธิ์ทั้งสองบานปิดลงในเวลาเดียวกัน

บนยอดเขาศักดิ์สิทธิ์ว่านกู่เหลือก็เพียงเค้าโครงของ ‘อุทยานครึ่งเซียน’ อยู่ด้านบน

แม้ว่าจะเป็นราชันในขอบเขตปราณเทวะหรือจักรพรรดิ ห้วงคิดเซียนของพวกเขาก็ยากจะทะลวงผ่านเข้าในอุทยานครึ่งเซียนแห่งนี้

สวบ!

ร่างของเจ้าเฟิงหนักขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะปรากฏกายอยู่ในอุทยานป่าไม้โบราณ

และทันใดนั้น

ในอุทยานครึ่งเซียนมีแรงกดดันจากฟ้าดินที่ยิ่งใหญ่มหาศาลกดลงมา

“เป็นดังคาด”

ร่างของจ้าวเฟิงหยุดชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วก้าวเท้าเดินต่อไป

ภายในอุทยานครึ่งเซียนเป็นมิติระดับสูงเกินกว่าดินแดนศักดิ์สิทธิ์ เมื่อเทียบกับดินแดนเกาะธรรมดาแล้วยิ่งสูงกว่าหลายระดับขั้น

ก่อนหน้านี้ไม่กี่วัน จ้าวเฟิงเคยทำความเข้าใจข้อมูลที่เกี่ยวข้องมาก่อน

ในเวลาเดียวกัน

เหล่าอัจฉริยะที่เข้ามาในอุทยานครึ่งเซียนก็เริ่มโซซัดโซเซขึ้น

“แรงกดดันแข็งแกร่งยิ่งนัก!”

อัจฉริยะเหล่านั้นผลีผลามเข้ามาภายในอุทยานครึ่งเซียน ใบหน้าแดงก่ำ สูดหายใจอย่างยากลำบาก

หากพลังฝึกตนอยู่ในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับต่ำจะไม่สามารถโบยบินภายในอุทยานครึ่งเซียนนี้

ถึงแม้อยู่ในขั้นขอบเขตแก่นกำเนิดระดับสูง การจะบินในที่แห่งนี้ก็ยังต้องใช้พลังฟุ่มเฟือย

นอกจากนั้น

พลังเสวียนอ้าวชนิดต่างๆ ก็โดนกดข่มไว้เป็นอย่างยิ่งในพื้นที่แห่งนี้

ยกตัวอย่างเช่น ขอบเขตแก่นกำเนิดระดับสูงในโลกภายนอก ถ้าปลดปล่อยการโจมตีในลักษณะอาณาเขตออกไป อาจจะทำลายได้เป็นหลายสิบลี้ หรือสามารถทำลายล้างเมืองเล็กๆ เมืองหนึ่งได้

แต่ภายในอุทยานครึ่งเซียนแห่งนี้ กระบวนท่าโจมตีในวงกว้างของขอบเขตแก่นก่อกำเนิด อย่างมากก็คงจะครอบคลุมได้สิบยี่สิบจั้งเท่านั้น นอกจากนี้ด้านความเร็วต่างๆ ก็ล้วนแต่ถูกกดข่มเอาไว้ด้วย

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!