Skip to content

King of Gods 648

King Of Gods

บทที่ 648 ห้องบ่มสุราครึ่งเซียน

พลังของราชันในขอบเขตปราณเทวะทำให้ไอสวรรค์บริเวณน้ำอีกฟากแข็งตัว

ศิษย์ผู้สืบทอดหลายคนของสำนักเสวียนเจิน ทั้งสติและความคิดเหมือนโดนแช่งแข็งไปด้วย คิดจะต่อต้านยังทำไม่ได้เลยแม้แต่น้อย

ถึงแม้จะเป็นเฉินอี้หลินหรือเจียงฟานผู้มีสายเลือดรายชื่อหมื่นเผ่าพันธุ์โบราณก็ยังกระวนกระวายใจ

ยากจะคิดภาพออกว่า จ้าวเฟิงที่กำลังเผชิญหน้าและแบกรับพลังของราชัน จะยังสามารถนิ่งสงบ ไร้ซึ่งความตื่นตระหนกได้เช่นนี้

“เผ่ามนุษย์ เจ้ารนหาที่ตายเอง!”

ในระดับชั้นวิญญาณเกิดแรงกระเพื่อมขึ้น พลังที่ยิ่งใหญ่ไร้รูปร่างทำให้เกิดความรู้สึกประหลาด ละม้ายคล้ายว่ากำลังกดดันบริเวณที่จ้าวเฟิงอยู่

ใบหน้าของจ้าวเฟิงแดงก่ำ หายใจอย่างติดขัด

กระดูกทั่วร่างเขาเกิดเสียงดังกรอบแกรบ หัวเข่าทั้งสองโค้งงอลง เหมือนจะคุกเข่าต่อราชัน

แต่ทว่า ร่างของจ้าวเฟิงกลับฝืนต้านเอาไว้

หากจะเอ่ยถึงระดับชีวิต เขาเองก็มีความใกล้เคียงกับราชัน ส่วนพลังของร่างกายก็แข็งแกร่งกว่าปกติจากการดูดซึมกลิ่นอายห้วงฝันบรรพกาล เลือดหัวใจวาฬ รวมไปถึงหญ้าเกล็ดม่วง

อีกทั้งจ้าวเฟิงเคยรับแรงกดดันมหาศาลของห้วงฝันบรรพกาลมาเป็นแรมปี ร่างกายแฝงไปด้วยกลิ่นอายจากในนั้น แม้แต่กลิ่นอายสายเลือดของเจียงฟานในวันนี้ยังไม่อาจอยู่เหนือจ้าวเฟิงไปได้

ภายในตำหนักแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ไกลออกไป

“วิญญาณของเจ้าเด็กนั่นคงสภาพ ล้ำหน้าเกินครึ่งก้าวสู่ราชันแล้ว…” สีหน้าของราชาเผ่าเงือกเคร่งขรึมลงเรื่อยๆ

เพียงแค่มดปลวกตัวหนึ่งในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับต่ำ กลับสามารถต้านทานพลังกดดันที่รุนแรงของราชันอย่างเขาได้

วิชาศาสตร์วิญญาณของจ้าวเฟิงล้ำเลิศเกินกว่าหลักการทั่วไป

เขาฝึกวิชา ‘วิชาหมื่นห้วงคิดเซียน’ เพื่อสร้างพื้นฐานของดวงวิญญาณเอาไว้ สำหรับการทะลวงผ่านขอบเขตปราณเทวะในภายหลัง

“ท่านพ่อ ขอท่านอย่าได้ขวางทางนายท่าน”

องค์หญิงเผ่าเงือกเอ่ยเสียงเศร้าสลดอย่างเว้าวอน

เมื่อถูกตีตราด้วยตราผนึกดวงใจทมิฬ นางจึงศิโรราบต่อจ้าวเฟิงทั้งตัวและหัวใจ

ถึงแม้นางยังมีเยื่อใยอยู่บ้าง ทว่านายท่านอยู่เหนือสิ่งอื่นใด

นี่คือจุดที่น่ากลัวที่สุดของวิชาต้องห้ามศาสตร์วิญญาณอย่างตราผนึกดวงใจทมิฬ มันส่งผลให้สิ่งมีชีวิตยอมตกเป็นทาสอย่างแท้จริงทั้งสติและความคิด

“พวกมนุษย์ที่น่ารังเกียจ…”

ราชาเผ่าเงือกำมือแน่น เสียงคำรามกึกก้องประดุจอัสนีบาต

ผู้ที่เป็นราชันปราณเทวะอย่างเขา เคยมีครั้งใดที่จะพ่ายแพ้ต่อเผ่าพันธุ์มนุษย์ตัวเล็กจ้อยราวมดปลวกเช่นนี้?

ผู้ที่อยู่ต่ำกว่าราชันก็เท่ากับมดปลวกทั้งสิ้น

ประโยคดังกล่าวถูกจดบันทึกไว้ในตำราเก่าแก่มาตั้งแต่สมัยโบราณกาล

ขอบเขตแก่นก่อกำเนิดทั่วไป เพียงแค่พลังห้วงคิดเดียวของราชันปราณเทวะยังไม่อาจต้านทานได้

“ต่ำกว่าราชันก็คือมดปลวก…ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า!”

จ้าวเฟิงหัวเราะเย้ยเยาะ แล้วสั่งให้องค์หญิงเผ่าเงือกนำทางด้านหน้า

เฉินอี้หลินและคนอื่นๆ จิตใจเลื่อนลอย ภายใต้แรงกดดันที่ทำให้แทบหายใจไม่ออก พวกเขาเดินแข็งทื่อเหมือนเป็นร่างศพเดินได้

“จ้าวเฟิงคนนี้มิใช่สายเลือดรายชื่อหมื่นเผ่าพันธุ์โบราณ แต่กลับมีพลังเช่นนี้ นี่มันเป็นไปได้อย่างไร”

จิตใจของเจียงฟานหดหู่ว้าวุ่น ความรู้สึกพ่ายแพ้ถาโถมเข้ามา

โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหัวเขา เนตรสวรรค์ที่ปรากฏขึ้นนั้นเป็นประหนึ่งเทพโบราณที่สอดส่องอยู่เหนือทุกสรรพสิ่ง

กลิ่นอายกลุ่มก้อนนั้นถึงขั้นสามารถทำให้สายเลือดรายชื่อหมื่นเผ่าพันธุ์โบราณอย่างเขาต้องรู้สึกหวาดหวั่นใจ

“เจ้ามนุษย์! หากว่ามีเหตุร้ายเกิดขึ้นกับบุตรีข้าล่ะก็ ข้าจะไม่มีวันปล่อยเจ้าไป”

น้ำเสียงเกรี้ยวกราดของราชาเงือกกระเทือนไปถึงวิญญาณ

“ราชาเงือก!” จ้าวเฟิงเปิดปากเอ่ยอย่างเยือกเย็น

“ขอเพียงแค่บรรลุจุดมุ่งหมาย แล้วเดินทางจากไปโดยสวัสดิภาพ ข้าย่อมคลายวิชาต้องห้ามในวิญญาณของบุตรีเจ้า แต่หากเจ้าทำอะไรแปลกไป ข้าก็รับรองไม่ได้แล้ว”

ห้วงคิดเซียนของราชาเงือกที่วนเวียนอยู่บริเวณทางเข้าตำหนักใต้ทะเลสาบมาเป็นเวลานาน ในที่สุดก็หยุดการเคลื่อนไหวลง

“สายเลือดดวงตาของเจ้าเด็กนั่นไม่ธรรมดาเสียจริง ขนาดผู้มีสายเลือดรายชื่อหมื่นเผ่าพันธุ์โบราณยังต้องเชื่อฟังคำสั่งของเขา”

ราชาเงือกค่อยๆ สงบสติอารมณ์ลง

จ้าวเฟิงไม่มีทีท่าร้อนรนเลยแม้แต่น้อยในระหว่างที่ต้องเผชิญหน้ากับราชา เห็นได้ชัดเลยว่าเจ้าเด็กผู้นี้เตรียมตัวมาเป็นอย่างดี

เขาจ้องมองจ้าวเฟิงแและคนอื่นๆ เข้าไปภายในตำหนักเทพของเผ่าเงือก ไม่กล้าขัดขวางอีก

ตำหนักเทพนับได้ว่าเป็นสถานที่ต้องห้ามของเผ่าเงือก

แต่ไหนแต่ไรมา มีเพียงแต่องค์หญิงเผ่าเงือกที่ได้รับมรดกตำหนักเทพเท่านั้นถึงจะเข้าไปภายในได้

ถ้าหากไม่เป็นเช่นนั้น เงือกธรรมดาที่เข้าไปภายในก็จะโดนพลังลี้ลับในอุทยานครึ่งเซียนสังหารจนสิ้น

ต่อให้เป็นองค์ราชาก็ไม่มีข้อยกเว้น ด้วยเพราะว่าพลังกลุ่มก้อนนั้นคือ ‘เทพเจ้า’ ของมิติลี้ลับแห่งนี้ ที่เป็นดังนายเหนือหัวของทุกสรรพสิ่ง

“องค์ราชา! ในละแวกใกล้ๆ เหมือนยังมีเผ่าพันธุ์มนุษย์คนอื่นเข้ามาใกล้อีก?” ยอดฝีมือของเผ่าเงือกเดินทางล่วงหน้ามารายงาน

หืม?

สีหน้าของราชาเงือกขรึมลงไป ห้วงคิดเซียนพลันปกคลุมไปทั่วอาณาจักรเงือก

และก็เป็นไปอย่างที่คิด เขาเห็นกลุ่มคนที่มีกลิ่นอายมารแผ่กระจายออกมา

“หยุดก่อน”

ถูจิ่วเซินที่เดินนำอยู่หน้าสุดโบกมือขึ้นในทันที

กลุ่มกำลังของถูจิ่วเซิน หลังจากที่ประมือพ่ายแพ้ก็ไม่ได้ล้มเลิกแผนการเกี่ยวกับทะเลสาบจื่อเยียน

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ตามที่คนทั้งหลายวิเคราะห์แจกแจง จ้าวเฟิงยึดครองทะเลสาบจื่อเยียนแล้วย่อมต้องดำดิ่งลึกลงไปเรื่อยๆ อาจจะพยายามเก็บเกี่ยวเอาผลประโยชน์ใดๆ ในอาณาจักรเงือก

ดังนั้น

ถูจิ่วเซินจึงเรียกอัจฉริยะหลายคนของสำนักมาใหม่อีกครั้ง ในนั้นมีนักฝึกสัตว์และอัจฉริยะในศาสตร์วิญญาณด้วย

อัจฉริยะแขนงวิญญาณในระดับยอดผู้สูงศักดิ์หนึ่งในนั้นควบคุมเงือกไปแล้วหลายตน จึงพอจะได้ร่องรอยของจ้าวเฟิงและพวก รวมไปถึงการเคลื่อนไหวภายในอาณาจักรเงือกด้วย

“ศิษย์น้องถู เป็นอะไรไป?”

“จ้าวเฟิงผู้นั้นกรุยทางให้ พวกเราซุ่มรออย่างใจเย็นแล้วเก็บกวาดทีหลัง จะไม่ดีได้อย่างไร”

คนทั้งหมดอยากจะลงมือเต็มแก่

ในเมื่อมีจ้าวเฟิงอยู่ด้านหน้าบุกทะลวงให้ พวกเขาที่รออยู่ด้านหลังก็ได้เปรียบมากกว่า มีความเสี่ยงต่ำกว่า

แต่แน่นอน

พวกเขาไม่ได้ล่วงรู้เลยว่าราชาเงือกออกจากการปิดด่านฝึกตนแล้ว

ด้วยเพราะราชาเงือกใช้เพียงห้วงคิดเซียนปะทะกับพวกจ้าวเฟิง ไม่ได้ปรากฏตัวออกมา

“น่าจะคิดไปเอง เข้าไปภายในต่อเรื่อยๆ เถอะ” ถูจิ่วเซินผงกศีรษะน้อยๆ

เมื่อครู่สายเลือดดวงวิญญาณของเขามีความรู้สึกอันตรายกดดันมา รู้สึกละม้ายว่าโดนจับจ้องอยู่

แต่ว่าความรู้สึกนั้นก็จางหายไปอย่างรวดเร็ว

“อัจฉริยะพวกนี้ไม่ธรรมดาเสียจริง” แววตาของราชาเผ่าเงือกป็นประกาย

จากคำพูดคำจาของคนกลุ่มนี้ จึงทำให้แยกแยะได้ไม่ยากว่าพวกเขาไม่ใช่พวกเดียวกับจ้าวเฟิง แล้วยังเป็นศัตรูกันอีกด้วย

ไม่นาน เขาจึงคิดแผนการหนึ่งขึ้นในใจ

ไม่สู้ปล่อยให้คนสองกลุ่มนี้รบราฆ่าฟันกันเองภายในตำหนักเทพเสียดีกว่า

ส่วนในเรื่องความปลอดภัยขององค์หญิงเงือก เขาไม่ค่อยกังวลเท่าไหร่นัก

จ้าวเฟิงไม่เพียงแต่ไม่อาจทำร้ายองค์หญิง เกรงว่ายังต้องคอยพะวงความปลอดภัยของนางด้วย เพราะนี่เป็นหมากเพียงตัวเดียวของเขา

อนึ่ง ด้วยความเคยชินกับทะเลสาบจื่อเยียนขององค์หญิงเผ่าเงือก นางจึงยังมีพลังมรดกสายเลือดไว้ป้องกันตัวเองอยู่เหลือเฟือ

“คนทั้งหมดกระจายตัวออกจากตำหนักเทพสิบสองลี้” ราชาเงือกถ่ายทอดคำสั่งลงไปอย่างรวดเร็ว

ถึงแม้เขาจะเห็นพวกถูจิ่วเซิน แต่กลับเปิดตาข้างหนึ่งและปิดตาอีกข้าง

ระหว่างทาง

กลุ่มเล็กๆ ของถูจิ่วเซินอ้อมบริเวณที่มีทหารยามของเผ่าเงือกเฝ้าอารักขาอย่างหนาแน่น และลอบเข้าใกล้ตำหนักใต้ทะเลสาบด้วยความพยายามของผู้ฝึกสัตว์และอัจฉริยะแขนงวิญญาณ

“อุปสรรคน้อยว่าที่คิดไว้”

“ดูแล้วจ้าวเฟิงคนนั้นน่าจะควบคุมกำลังส่วนมากของเผ่าเงือกเอาไว้แล้ว”

กลุ่มของถูจิ่วเซินรู้สึกแปลกอยู่บ้าง

แต่ที่คิดไม่ถึงไปกว่านั้นก็คือ ประตูของตำหนักใต้ทะเลสาบเปิดไว้อยู่แล้ว

อาณาจักรเผ่าเงือกเกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรขึ้นกันแน่?

ถูจิ่วเซินและคนอื่นคิดไม่ตก แต่เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้วจะให้ถอยก็คงไม่ได้

“จ้าวเฟิงผู้นั้นไม่ได้เอากองทัพเผ่าวารีเข้าไปด้วย ต่อให้ต้องปะทะกัน พวกเราก็ยังพอจะมีแรงปะทะได้”

กลุ่มคนประมาณสิบกว่าคนเดินเข้าไปภายในตำหนักใต้ทะเลสาบ

ราชาเผ่าเงือกลอบหัวเราะเยาะ แล้วมองส่งพวกของถูจิ่วเซินเข้าไปภายในตำหนัก

ถ้าหากไม่ได้รับอนุญาตจากเขา พวกของถูจิ่วเซินจะมาถึงตำหนักใต้ทะเลสาบอย่างสบายๆ เช่นนี้ได้อย่างไร

“เอ๊ะ! มีมาอีกคนแล้ว พลังเหมือนว่าจะไม่เลวเลยทีเดียว”

ห้วงคิดเซียนของราชาเผ่าเงือกแยกออกจากด้านข้างของร่างเขา ปรากฏเป็นเงาร่างหนึ่ง

ผู้มาเยือนคนใหม่คือบุรุษหนุ่มหยางกวง พลังฝึกตนของคนผู้นี้อยู่ในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูงช่วงปลาย

“ดูแล้วจ้าวเฟิงผู้นี้น่าจะเข้าไปภายในอาณาจักรเงือก”

บุรุษหนุ่มหยางกวงอาศัยการตอบสนองจากพลังมรณะระบุทิศทางที่แน่ชัดของจ้าวเฟิง

ทันใดนั้นเอง บุรุษหนุ่มหยางกวงก็หน้าเปลี่ยนสี

“พลังของขั้นราชัน? ”

ประสาทสัมผัสทั้งหมดของเขาว่องไวกว่าถูจิ่วเซิน

 

การดำรงอยู่ของขั้นราชาภายในอาณาจักรเงือก ทำให้บุรุษหนุ่มหยางกวงเกิดความวิตกกังวล

“น่าจะเป็นราชาเผ่าเงือก” บุรุษหนุ่มหยางกวงยืนอยู่กับที่ ไม่ขยับตัวแต่อย่างใด

จากที่รู้สึกได้ พลังของราชาเงือกไม่ได้มีเจตนาเป็นศัตรูกับเขาอย่างชัดเจน เพียงแค่สอดแนมก็เท่านั้น

“จ้าวเฟิง เช่นนั้นให้เจ้าได้ต่อชีวิตตัวเองไปอีกสักครึ่งชั่วยามแล้วกัน”

บุรุษหนุ่มหยางกวงยืนรอคอยอยู่ที่เดิม

ตำหนักใต้ทะเลสาบ ณ อาณาจักรเงือก

ภายใต้การนำทางขององค์หญิงเผ่าเงือก จ้าวเฟิงเดินเข้ามาภายในตำหนักเทพที่มีความแปลกประหลาดยิ่งหลังนี้

ภายในตำหนักเทพของเผ่าเงือกกว้างขวางกว่าที่คิดไว้มาก

ภายในนี้ นอกจากรูปปั้นแกะสลักและรูปเคารพก็ไม่ได้มีสิ่งของอะไรมากมายนัก

แต่ทว่ายิ่งลึกเข้าไป คนทั้งหมดก็ได้กลิ่นของสุราล่องลอยออกมา

เมี้ยว เมี้ยว!

เจ้าแมวขโมยตัวน้อยปรากฏกายขึ้นบนบ่าของจ้าวเฟิง ดวงตาคู่นั้นของมันกลอกกลิ้งไปมาเพื่อประเมินสถานการณ์เบื้องหน้า

นี่ทำให้จ้าวเฟิงเงียบเสียงลงเพื่อรอคอย

เจ้าแมวขโมยมีประสาทสัมผัสว่องไวต่อของล้ำค่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งสุราวิญญาณส่วนหนึ่งที่มีกลิ่นรุนแรง

เมี้ยว~

 

ร่างแสนปราดเปรียวของเจ้าแมวขโมยตัวน้อย กระโดดขึ้นไปบนบ่าขององค์หญิงเผ่าเงือกอย่างรวดเร็ว กรงเล็บสองข้างยกขึ้นกอดอกด้วยท่าทีเจนสนาม เหมือนว่านอกจากมันแล้วจะมีใครเก่งกว่านี้

“แมวตัวนี้…” องค์หญิงเผ่าเงือกมองเจ้าแมวขโมยตัวน้อยด้วยทีท่าแปลกใจ

เมี้ยว เมี้ยว!

เจ้าแมวขโมยตัวน้อยยกอุ้งเท้าของมันขึ้นชี้ไปเบื้องหน้า ก่อนจะส่งเสียงร้องออกมา

“เจ้าเองก็รู้ว่าสุราถูกหมักไว้เบื้องล่างนี่?” องค์หญิงเผ่าเงือกประหลาดใจอย่างยิ่ง

เฉินอี้หลินและคนอื่นๆ ล้วนแต่ร้องอย่างแปลกใจ จ้องไปที่เจ้าแมวขโมยตัวน้อยกันเขม็ง

เป็นไปอย่างที่คาด องค์หญิงเผ่าเงือกนำคนทั้งหมดเข้ามาด้านล่างของตำหนักเทพ หรือก็คือ ‘ห้องบ่มสุราใต้ดิน’

ในความเป็นจริงแล้ว ตอนอยู่ที่ชั้นหนึ่งของตำหนักเทพ

ดวงตาเทพเจ้าของจ้าวเฟิงสำรวจตรวจตราแล้วเรียบร้อย จนเห็นว่าไม่มีอะไรให้เก็บเกี่ยว นอกจากมรดกที่เกี่ยวข้องกับเผ่าเงือก แต่ไม่ส่งผลอะไรต่อเผ่าพันธุ์มนุษย์

เมื่อเข้ามาภายในห้องบ่มสุราใต้ดิน กลิ่นสุราที่อบอวลคละคลุ้งชวนให้เมามาย

ลูกศิษย์ผู้สืบทอดหลายคนในนั้นเวียนหัวเล็กน้อย

เมื่อจ้าวเฟิงเพ่งพินิจมอง จึงเห็นว่าห้องบ่มสุราใต้ดินเบื้องหน้าแห่งนี้มีพื้นที่โอ่อ่ากว้างขวาง ถึงกระทั่งใหญ่กว่าตำหนักเทพชั้นหนึ่งเสียอีก

ตรงกลางของห้องบ่มสุราใต้ดินมีปากน้ำพุขนาดใหญ่

บ่อน้ำพุกว้างราวยี่สิบจั้ง

ใจกลางมีผลึกสลักรูปนางเงือกที่งดงามปานเทพธิดา มีชีวิตชีวาเหมือนจริง

น้ำพุพวยพุ่งออกจากร่างของรูปสลักนางเงือก สาดกระเซ็นออกมาจากรูนับร้อย

“เอ๊ะ!”

คนทั้งหมดค้นพบว่า โฉมงามนางเงือกที่อยู่กลางสระน้ำพุมีใบหน้าละม้ายคล้ายองค์หญิงเงือกอยู่ถึงสามสี่ส่วน ทำให้จ้าวเฟิงอดครุ่นคิดไม่ได้

โครงสร้างของบ่อน้ำพุมีความพิเศษอย่างยิ่ง รอบนอกของบ่อน้ำแบ่งออกเป็นท่อผลึก แล้วตรงดิ่งไปที่มุมต่างๆ ของห้องบ่มสุราใต้ดิน

ในแต่ละมุมของห้องบ่มสุราเรียงรายไปด้วยขวดและกาสุราหลากหลายประเภท มีบางส่วนทำจากโลหะสำริด บางส่วนทำมาจากไม้ และยังมีที่ทำจากเครื่องเคลือบหรือผลึกแก้วต่างๆ เป็นต้น

ภายในขวดสุราเหล่านี้ มีสุราวิญญาณที่บ่มโดยเซียนอยู่ถึงเจ็ดส่วน อีกทั้งจะทำการบ่มสุราใหม่อย่างสม่ำเสมอ เพื่อคงความสดใหม่ หรือไม่ก็เพื่อคงความอุ่นและรสชาติของสุราบางส่วน

แน่นอนว่ากาและขวดสุราเหล่านี้ล้วนแต่ปิดผนึกอยู่ภายในชั้นวางผลึกแก้ว

“ทั้งห้องบ่มสุราใต้ดิน มีน้ำพุนางเงือกเป็นใจกลาง สามารถกลั่นสุราด้วยตัวเอง หนำซ้ำยังเปลี่ยนใหม่ได้ด้วยตัวของมันเองตลอดเวลา”

คนในสำนักศักดิ์สิทธิ์เสวียนเจินมองตาค้าง

ทั่วทั้งห้องบ่มสุราใต้ดินมีระบบของตัวเอง มีบ่อน้ำพุเงือกเป็นจุดศูนย์กลาง บ่มสุราวิเศษต่างๆ จำนวนกว่าร้อยชนิด

“นี่ก็คือที่บ่มสุราส่วนตัวของครึ่งเซียนงั้นหรือ?”

จ้าวเฟิงสูดหายใจเข้าลึกเพื่อสะกดความตื่นเต้นภายในใจ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!