Skip to content

King of Gods 65

King Of Gods

บทที่ 65 : ศรดวงตาซ้ายแห่งเทพเจ้า

วิชานภาลอยล่องของจ้าวเฟิงนั้นไม่เพียงเข้าขั้นสูง ทว่าย่างก้าวเสี้ยวพริบตาของเขานั้นก็ยังเข้าไปสู่ขั้นหลอมรวมเมื่อเขารวมมันเข้ากับกระบวนท่าลมเคลื่อน ไม่มีผู้ใดในเมืองประกายอรุณที่ฝึกฝนวิชาระดับสูงจนเข้าขั้นหลอมรวม รวมทั้งพวกรุ่นก่อน

“”หากพวกเจ้าจะเนรคุณเช่นนี้ ก็อย่าได้กล่าวโทษข้าที่ไร้เมตตา” จิตสังหารแผ่พุ่งออกจากร่างของเด็กหนุ่ม

เพียงแค่ก่อนหน้าที่ทั้งสามจะพยายามฆ่าเขา หากมิใช่เพราะเขานั้นแข็งแกร่ง เขาอาจตายตกไปแล้ว

เช่นที่หลินกุยโยงเอ่ย จ้าวเฟิงใจอ่อนเกินไป การเมตตาต่อศัตรูคือการทำลายตนเอง

“ฝ่ามือทลายวายุ ตาย” หลินกุยโยงแสร้งทำเป็นใช้ท่าไม้ตาย ทว่าในความจริงนั้นร่างเขาถอยไปในทิศทางตรงข้าม

หนี!

ผู้อาวุโสทั้งสองเองก็แสดงปฏิกิริยาเช่นเดียวกัน บัดนี้พวกเขาเข้าใจถึงความแตกต่างของพวกเขาและเด็กหนุ่มเบื้องหน้าแล้ว

“หยุด!” จ้าวเฟิงสั่งขณะที่ร่างของเขาทะยานขึ้นไปบนอากาศและแทงนิ้วของเขาออกหลายครั้ง

ฟุ่บ ฟุ่บ ฟุ่บ

เสียงแหวกอากาศดังขึ้น แสงสีครามทะลวงผ่านอากาศและโจมตีไปยังเป้าหมาย

“อึก…”

ร่างของหลินกุยโยงแข็งค้างเมื่อรูขนาดเท่านิ้วมือปรากฏขึ้นบนศีรษะของเขา ความรู้สึกหวาดกลัวและตื่นตะลึงยังคงวาดทั่วใบหน้า

จ้าวเฟิงไม่แม้แต่จะเข้าใกล้เขา แล้วเหตุใดจึงปรากฏรูขึ้นที่ศีรษะของเขากัน? ผู้อาวุโสทั้งสองนั้นได้เห็นการเคลื่อนไหวของเด็กหนุ่ม ทว่ารอยเลือดก็ปรากฏขึ้นบนอกของเขาเช่นกัน

ตุบ! ตุบ!

ผู้อาวุโสขั้นห้าทั้งสองล้มลงบนพื้น ตาย

จ้าวเฟิงใช้ดรรชนีเหนือดาราในการฆ่าทั้งสาม

ปึก!

ในตอนนั้น ร่างของจ้าวเฟิงก็ร่วงลงบนพื้นอีกครั้ง เขาฆ่าทั้งสามในชั่วระยะเวลาหนึ่งลมหายใจเท่านั้น กระทั่งจอมยุทธ์อาจมีความลำบากในการทำเช่นนี้ ทว่าจ้าวเฟิงนั้นมีปฏิกิริยาตอบรับที่รวดเร็ว และตาซ้ายของเขาได้เป็นฝ่ายเล็งเป้า

“ปล่อยเราไป!” วิธีเลือดเย็นของเด็กหนุ่มทำให้ผู้ฝึกตนที่บาดเจ็บอีกหกคนนิ่งงันไป

ในสายตาของพวกเขานั้น วิธีของเด็กหนุ่มนั้นเทียบเท่าได้กับเหล่าจอมยุทธ์ จ้าวเฟิงไม่สนใจพวกเขาและเดินออกจากห้องนั่งเล่นไป

ในเวลานั้นที่คนของตระกูลสาขาได้มาถึงในที่สุด

เมื่อเข้าไปถึงห้องนั่งเล่นของตระกูลหลิว หัวหน้าพรรค จ้าวคาหยวนได้มองไปยังจ้าวเฟิงอย่างล้ำลึก

“นี่เป็นคำเตือนและตัวอย่างสำหรับทุกกองกำลังในหมู่บ้านใบไม้เขียว” จ้าวเฟิงยืนอยู่บนหลังคาที่สูงที่สุด เสียงของเขาดังก้องไปทั่วหมู่บ้าน

ตัวอย่าง!

หัวใจของทุกคนสั่นสะท้านเมื่อพวกเขาเข้าใจถึงความนัยของประโยคนั้น นับแต่บัดนี้ หากกองกำลังใดในหมู่บ้านใบไม้เขียวกล้าที่จะก่อกวนตระกูลจ้าว จุดจบของพวกเขาจะเป็นเช่นนี้

ตระกูลเช่นตระกูลหลินยังพบจุดจบเช่นนั้น แล้วสิ่งใดจะเกิดขึ้นหากเป็นพวกเขา? อัจฉริยะจากตระกูลจ้าวบัดนี้สามารถคุกคามทุกกองกำลังในหมู่บ้านได้แล้ว

เมื่อแก้ปัญหาเสร็จ จ้าวเฟิงก็ปล่อยปัญหาเล็กๆ น้อยๆ ที่เหลือให้จ้าวคาหยวนเป็นผู้จัดการ หมู่บ้านใบไม้เขียวนั้นเป็นสถานที่ที่เขาเติบโตและมีความรู้สึกล้ำลึกกับมัน

บัดนี้เขามีความแข็งแกร่งมากเพียงพอ เขาย่อมปกป้องมัน จ้าวเฟิงอยู่ที่หมู่บ้านเพียงวันเดียวก่อนจะจากไป

ความต้องการของเขาอยู่ที่โลกภายนอกนั่น หมู่บ้านใบไม้เขียวหรือเมืองประกายอรุณไม่อาจหยุดเขาได้

ไม่กี่ชั่วโมงต่อมา จ้าวเฟิงก็ไปถึงยังตระกูลหลักจ้าว วันพรุ่งนี้เขาจะจากที่แห่งนี้ไปและเข้าสู่เวทีใหม่ แต่ก่อนหน้าที่เขาจะไป จ้าวเฟิงยังคงเตรียมการครั้งสุดท้ายเช่นการเก็บของซึ่งประกอบไปด้วย พฤกษาโลหิตพันปี หญ้าวิญญาณโลหิตพันปี และหินไผ่โลหิตพันปี

นอกจากนั้นยังมีธนูเงินที่เด็กหนุ่มตัดสินใจเอาไปด้วย ทว่าคาดไม่ถึงว่าพวกระดับสูงจะให้อันที่ดีกว่าแก่เขา

“เรารู้ว่าเจ้ามีพรสวรรค์ในด้านธนูอย่างมาก ดังนั้นแล้วพวกเราจะให้ ‘ธนูบันไดสุวรรณ’ แก่เจ้า ธนูนี้เป็นหนึ่งในอาวุธของบรรพบุรุษของเรา และมีเพียงจอมยุทธ์เท่านั้นที่จะสามารถใช้พลังของมันได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ” ผู้อาวุโสจ้าวส่งกล่องไม้ให้เด็กหนุ่ม

เมื่อเปิดกล่องออกก็ปรากฏภาพของธนูสีทองที่นอนอย่างเงียบงัน มันดูธรรมดา ทว่าสายของมันนั้นส่องประกายสีทองจางๆ เด็กหนุ่มดึงสายธนูสีทองนั้นเบาๆ ก่อนจะพบว่ามันนั้นค่อนข้างแข็ง ควรจะรู้ว่าวิชากำแพงเหล็กของจ้าวเฟิงนั้นได้เข้าสู่ระดับห้า ดังนั้นแล้วเพียงแค่แรงของเขาก็อาจเรียกได้ว่าเหนือกว่าเหล่าจอมยุทธ์

ผึง!

สายธนูสั่นสะท้านเมื่อเขาปล่อยมันออก เขามั่นใจว่าธนูบันไดสุวรรณนี้เหนือกว่าธนูเงินหลายขั้น

“เมื่อใดกันที่ตระกูลดีกับข้าถึงขั้นมอบเงินและอาวุธให้แก่ข้า?” แม้จะกล่าวเช่นนั้น แต่เด็กหนุ่มก็ยังคงพึงพอใจกับธนูมาก

ด้วยความช่วยเหลือของธนูบันไดสุวรรณ เขาอาจคุกคามได้กระทั่งชีวิตของผู้ฝึกตนขั้นเจ็ด วันนั้นจ้าวเฟิงขังตนเองอยู่ในห้องเพื่อทำความคุ้นเคยกับธนู ในสมองของเขานั้น วิชาศรฝนอุกกาบาตได้หลอมรวมเข้ากับจิตวิญญาณ ด้วยสายตาที่พัฒนาขึ้นของเขา วิชาธรรมดาๆ นั้นไม่อาจเข้ามาอยู่ในสายตาของเขาได้แม้แต่น้อย

“ข้าจำต้องหลอมรวมวิชาธนูทั้งหมดให้ได้เพื่อที่จะได้สามารถใช้ความสามารถของดวงตาซ้ายได้ถึงกึ่งหนึ่ง”

จ้าวเฟิงนั้นได้เกิดมาพร้อมกับพรสวรรค์ในด้านธนู วิชาธนูทั่วไปนั้นไม่ช่วยเหลือใดๆ เขาแม้แต่น้อย แน่นอนว่าเขายังต้องใช้เวลาอีกสองสามวันในการหลอมรวมวิชาธนูเหล่านี้เข้าด้วยกัน

เช้าวันที่สอง

ทั้งจ้าวเฟิงและจ้าวหยูเฟ่ยไปถึงตั้งแต่เช้า ทั้งสองมองหน้ากันพร้อมรอยยิ้ม หลังจากงานชุมนุม พวกเขาก็ได้ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของเมืองประกายอรุณแล้ว

ไม่ช้า หัวหน้าพรรคก็มาถึงเช่นกัน เมื่อเผชิญหน้ากับจ้าวเฟิงและจ้าวหยูเฟ่ย เหล่าผู้อาวุโสต่างก็มีความเคารพนบน้อมอย่างมาก เพราะพวกเขารู้ว่าอนาคตของเด็กทั้งสองนั้นไม่อาจจินตนาการ ด้วยความสามารถของพวกเขา พวกเขาอาจนำตระกูลจ้าวให้ขึ้นไปสู่จุดที่สูงกว่านี้ได้

ฟุ่บ!

เงาพร่าเลือนสีครามปรากฏขึ้นบนหลังคาห้องโถงพร้อมกับกลายเป็นบุรุษผู้หล่อเหลาผู้หนึ่ง เขาคือจอมยุทธ์เย่ ทว่าไม่มีผู้ใดเห็นได้ว่าเขามาเช่นไร

“จ้าวเฟิง จ้าวหยูเฟ่ย ผ่านพ้นมาสามวันแล้ว บัดนี้พวกเจ้าไปกับข้าสู่นครหลวงกว่านจวินได้แล้ว” เย่หลินเหลียนยิ้มบาง

“ขอรับ/เจ้าค่ะ” จ้าวหยูเฟ่ยและจ้าวเฟิงเอ่ยตอบพร้อมกัน

ชายที่ยืนอยู่เบื้องหน้าเขานั้นเป็นหนึ่งในผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในจักรวรรดิเมฆา ตระกูลจ้าวนั้นไม่มีสิทธิต่อต้านแม้แต่น้อย

เคร้ง! เคร้ง!

ทั้งสองตามเย่หลินเหลียนไปนั่งภายในรถม้าที่มุ่งสู่ทิศเหนือ

ภายใต้เงาของต้นไม้ด้านนอกตระกูลจ้าว

“เป็นเช่นนี้ดีกว่า… ด้วยความสามารถและความลับของหยูเฟ่ย…” ชายชราแขนเดียวส่งรถม้าจากไปด้วยสายตา

ในไม่กี่วันต่อไป จ้าวเฟิงและจ้าวหยูเฟ่ยได้มุ่งหน้าไปยังนครหลวงกว่านจวิน ระยะทางระหว่างนครหลวงกว่านจวินและเมืองประกายอรุณนั้นใช้เวลาราวๆ 4-5 วันด้วยรถม้า ในตอนนี้ จ้าวเฟิงได้หลอมรวมทักษะธนูทั้งหมดเข้าด้วยกันและสร้างวิชาของตนขึ้นมา

เป็นเพราะวิชานี้สร้างขึ้นด้วยทักษะจำนวนมากและดวงตาซ้ายของเขา เขาจึงตัดสินใจเรียกขานมันว่า ‘ศรดวงตาซ้ายแห่งเทพเจ้า’ ตาซ้ายนั้นมาจากดวงตาของเขาซึ่งได้รับมาจากเทพบรรพกาล เมื่อเวลาผ่านพ้นไป วิชาก็ค่อยๆ ถูกสร้างขึ้น

“ศรดวงตาซ้ายแห่งเทพเจ้านั้นพึ่งพาความสามารถของดวงตาซ้ายของข้า แก่นแท้ของวิชานี้อาจเหนือกว่าวิชาระดับสุดยอด” จ้าวเฟิงประมาณ

วิชาธนูนั้นค่อนข้างหายาก มันไม่มีวิชาธนูระดับสุดยอดแม้แต่วิชาเดียวในหอตำราของตระกูลจ้าว

ในระหว่างการเดินทางนั้น เย่หลินเหลียนใช้เวลาส่วนมากไปกับการนั่งขัดสมาธิและฝึกตน…

จ้าวเฟิงถอนหายใจอยู่ภายในใจ เขาเข้าสู่ขั้นเก้าแล้ว และเขายังคงพยายามมากถึงเพียงนี้

หากไม่รับหนทางแห่งเซียนในตำนานแล้ว มิใช่ว่าขั้นเก้านับว่าแข็งแกร่งที่สุดหรือ?

ราวกับรับรู้ถึงสายตาของเด็กหนุ่ม เย่หลินเหลียนเปิดเปลือกตาออก

“ยังคงเหลือเวลาอีกครึ่งวันกระทั่งเราถึงนครหลวงกว่านจวิน พวกเจ้ามีคำถามใดที่อยากให้ข้าตอบหรือไม่?”

ถามคำถามจอมยุทธ์ขั้นเก้า?

เด็กทั้งสองเห็นความตื่นเต้นในแววตาของอีกฝ่าย

“หนทางแห่งเซียนนั้นเป็นเช่นไร?” จ้าวเฟิงเอ่ยถาม

“หนทางแห่งเซียนนั้นขอบเขตที่เหนือขึ้นไปกว่าขั้นเก้า แต่เป็นเพราะข้าเองก็ยังเข้าไม่ถึง ดังนั้นข้าจึงไม่อาจบอกเกี่ยวกับมันได้มากนัก แต่จากตำรานั้น เมื่อใดที่คนผู้หนึ่งเข้าถึงหนทางแห่งเซียน ร่างกายของพวกเขาจะเปลี่ยนแปลงไปในระดับหนึ่ง และช่วงชีวิตของพวกเขาจะยาวนานขึ้น เจ้าอาจจะเรียกมันได้ว่าเหนือกว่าขีดจำกัดของร่างมนุษย์” เย่หลินเหลียนเอ่ยตอบ

เหนือกว่าขีดจำกัดของร่างมนุษย์?

จ้าวเฟิงนึกถึงกระบวนท่าตัดวายุเพลิงขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ กระบวนท่านั้นราวกับจะทำลายล้างทุกสิ่งที่ขวางทาง และร่างของมนุษย์ก็ดูเหมือนจะไม่อาจปลดปล่อยวิชาเช่นนั้นออกได้

“เหล่าผู้ที่เข้าถึงหนทางแห่งเซียนนั้นล้วนแล้วแต่เป็นอัจฉริยะ พวกเจ้าอาจนับจำนวนพวกเขาได้ด้วยมือเพียงข้างเดียวในจักรวรรดิเมฆา” ประกายความชื่นชมปรากฏขึ้นในดวงตาของบุรุษวัยกลางคน

ไม่ช้า จ้าวเฟิงและจ้าวหยูเฟ่ยก็ต่างเอ่ยถามผู้ฝึกตนขั้นเก้าด้วยคำถามอีกมากมาย

“เก้าขั้นแห่งหนทางผู้ฝึกตนเป็นการฝึกฝนร่างกายโดยเริ่มจากผิวหนังและอวัยวะ ดังนั้นแล้วมันจึงเป็นเรื่องที่ดีที่สุดที่จะสร้างพื้นฐานที่มั่นคงเพื่อสร้างโอกาสที่มากขึ้นในการเข้าสู่หนทางแห่งเซียน” เย่หลินเหลียนสรุป

“เราเกือบถึงแล้ว” ความเร็วของรถม้าเริ่มลดลง

ในสายตาของจ้าวเฟิงนั้น จุดสีดำเริ่มขยายใหญ่ขึ้นเรื่อย และไม่ช้ามันก็กลายเป็นเมืองงดงามที่มีขนาดใหญ่กว่าเมืองประกายอรุณอย่างน้อย 4-5 เท่า มันราวกับเป็นอสูรขนาดใหญ่ที่อ้าปากกลืนกินรถม้า ม้า และผู้คนเข้าไปทางประตูอย่างไร้ที่สิ้นสุด…

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!