Skip to content

King of Gods 655

King Of Gods

บทที่ 655 ให้เจ้าเป็นผู้นำ

ห้องบ่มสุราครึ่งเซียน

เฉินอี้หลิน เจียงฟาน และคนที่เหลือมองจ้าวเฟิงด้วยอารมณ์ที่หลากหลาย

เวลาผ่านไปเพียงชั่วครู่

พวกเขาได้เห็นการเปลี่ยนแปลงแบบก้าวกระโดดของจ้าวเฟิง ด้วยการฝึกตนที่ยังไม่ถึงขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูง มีพลังครึ่งก้าวสู่ราชัน อีกทั้งยังมีสัญญานของพลังราชันที่ยิ่งใหญ่

วิธีการน่าอัศจรรย์เมื่อหลายพันปีก่อนของอัจฉริยะแห่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์ผู้นั้น ถูกจ้าวเฟิงลอกเลียนแบบจนสำเร็จ

ตั้งแต่หญ้าเกล็ดม่วง ไปจนถึงผลึกน้ำตาเงือก แล้วมาถึงน้ำอมฤตกับสุราเซียนมายา จ้าวเฟิงเก็บเกี่ยวโอกาสอันดีในทะเลสาบจื่อเยียนทีละขั้นๆ และนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด

ที่สำคัญก็คือ ทั้งหมดนี้ไม่ได้พึ่งพาเพียงแต่โชคชะตาเท่านั้น ในอดีตอัจฉริยะผู้นั้นได้รับน้ำอมฤตและสุราเซียนมายามาเพราะโชคชะตาที่เหมาะเจาะด้วย

ทว่ากับจ้าวเฟิง เขาวางแผนทั้งหมดไว้อย่างรอบคอบก่อนที่จะลงมือ ค่อยๆ ทำทีละขั้นตอน แล้วควบคุมทุกอย่างไว้ในกำมือ

“ทะเลสาบจื่อเยียน จัดการทั้งหมดจนเสร็จสิ้นแล้ว” จ้าวเฟิงพึงใจเป็นอย่างยิ่ง

ก่อนที่อุทยานครึ่งเซียนจะเปิดออก เขาตั้งใจทุ่มเทศึกษาข้อมูลต่างๆ ของอุทยาน จึงมั่นใจว่าทะเลสาบจื่อเยียนเหมาะสมกับตนเองเป็นที่สุด

สามารถพูดได้ว่า โอกาสดีต่างๆ ในทะเลสาบจื่อเยียนกว่าเก้าสิบส่วนตกอยู่ในมือของจ้าวเฟิงเรียบร้อยแล้ว

 

“ถ้าหากไม่มี ‘ผลึกน้ำตาเงือก’ ที่แทรกซึมผ่านขอบเขตวิญญาณ ชะล้างดวงวิญญาณให้พิสุทธิ์ ข้าก็คงไม่สามารถลึกซึ้งในพลังของราชันได้อย่างราบรื่นเช่นนี้”

จ้าวเฟิงสะท้อนในอก ที่เขาเข้าใจในพลังราชัน ปัจจัยที่ส่งผลกระทบถึงนั้นมีมากมายนัก

ในนั้นรวมมีผลึกน้ำตาเงือก สุราเซียนมายา หรือกระทั่งความช่วยเหลือจากดวงตาเทพเจ้าและวิชาหมื่นห้วงคิดเซียน

จากจุดนี้สามารถเห็นได้เลยว่า ในฟ้าดินแห่งนี้ การที่จะเกิดราชันขึ้นสักคนล้วนแต่มีโอกาสที่พิเศษและยิ่งใหญ่แฝงอยู่

ในมิติดวงตาซ้าย ทะเลสาบพลังดวงตาขยายออกถึงราวเก้าสิบเจ็ดจั้ง เข้าใกล้ร้อยจั้งไปเรื่อยๆ

“หืม?”

ทันใดนั้นเอง จ้าวเฟิงค้นพบว่าในใจกลางของทะเลสาบพลังดวงตาผุดระลอกคลื่นสีม่วงจางๆ

ใจของเขาจึงพลันกระตุกขึ้น

ตามความรู้สึกของเขา ขอแค่ทะเลสาบพลังดวงตาสามารถผ่านร้อยจั้งขึ้นไปได้ ดวงตาเทพเจ้าก็จะเข้าสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหม่

“ทันทีที่ดวงตาเทพเจ้าเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหม่ มีความเป็นไปได้อย่างมากที่ข้าจะหลับลึกเหมือนในอดีต” แววตาของจ้าวเฟิงเป็นประกาย

หรือจะพูดได้ว่า ขั้นตอนในขณะนี้ ชั้นวิญญาณของเขาไม่เหมาะจะเพิ่มระดับขึ้นอีก

ภายในอุทยานครึ่งเซียนมีภยันอันตรายมากมาย แล้วยังเปิดเพียงแค่ครึ่งเดือนเท่านั้น

 

เมื่อลึกซึ้งในสำนึกรู้ราชา แล้วอยู่ในสภาวะของเนตรสวรรค์เพื่อประคับประคองพลังในขั้นราชันที่สมบูรณ์ จะผลักดันการเพิ่มขึ้นของดวงวิญญาณจ้าวเฟิงอย่างมาก

เมื่อคิดตรงจุดนี้ จ้าวเฟิงจึงลองใช้วิชา ‘หมื่นห้วงคิดเซียน’

วูบ!

ห้วงความคิดของจ้าวเฟิงกระจายออกเป็นแปดเก้าสิบกลุ่มอย่างรวดเร็ว เข้าใกล้ระดับ ‘หนึ่งห้วงคิดร้อยแปรผัน’ ไปทุกที ความลึกซึ้งในพลังของราชันส่งผลเกื้อหนุนชั้นดวงวิญญาณของจ้าวเฟิงไม่น้อย

ในขณะที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้นนั้น

จ้าวเฟิงฉุกคิดอะไรขึ้นมาได้ ‘ธนูโบราณ’ จึงปรากฏขึ้นในมือ

ธนูโบราณนั้นมีสีเงินทั้งคัน เก่าแก่โบราณ พื้นผิวภายนอกสลักอักขระลึกลับ สายธนูแผ่ลำแสงเย็นยะเยือกสีทอง

ในวินาทีที่คันธนูปรากฏขึ้น ก็เกิดแรงกดดันของอาวุธที่สั่นสะเทือนทั่วฟ้า บนสายธนูมีกลิ่นอายหนาวเหน็บลอยกรุ่นออกมา ให้ความรู้สึกเหมือนกับว่าจะทะลวงผ่านในอากาศ

ลูกศิษย์ในที่ดังกล่าวล้วนแต่หนาวเหน็บทั้งกายและใจ อาวุธวิเศษของคนทั้งหมดสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัวอย่างไร้สาเหตุ

“ธนูคันนี้…”

เฉินอี้หลินและคนอื่นๆ ไม่อาจจ้องมองไปที่ธนูโบราณได้อย่างเต็มตา ด้วยใจและกายสัมผัสได้ถึงแรงกดดันแทบทำให้หยุดหายใจ

ต่อให้เป็นจ้าวเฟิงที่มือกำลังจับธนูคันดังกล่าว ก็ยังเกิดความรู้สึกหนักหน่วง ขนาดพลังครึ่งก้าวสู่ราชันของตนเองยังสั่นสะท้านอยู่บ้าง

 

“ธนูเหนือนภา!” เฉินอี้หลินเอ่ยปาก “นี่ไม่ใช่มรดกอาวุธศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ภายในหอหมื่นทรัพย์หรือไร?”

พวกเจียงฟานตกใจจนพูดไม่ออก

ธนูเหนือนภาเป็นมรดกอาวุธศักดิ์สิทธิ์ที่มีชื่อเสียงกว้างไกลไปทั่วบริเวณชางไห่

ในโลกแห่งนี้ มรดกอาวุธศักดิ์สิทธิ์แทบทุกชิ้นล้วนเคยโอบอุ้มพลังของเซียนในขอบเขตเทวาเร้นลับสักคนหนึ่ง

“มรดกอาวุธศักดิ์สิทธิ์ทั่วไปอย่างน้อยๆ ก็คืออาวุธชั้นพิภพ หรือกระทั่งอาจเป็นอาวุธศักดิ์สิทธิ์ในขั้นสูงสุดอย่าง ‘ชั้นนภา’ ”

ในใจของเฉินอี้หลินและคนที่เหลือปั่นป่วนขึ้นมา

จ้าวเฟิงที่อยู่แต่ในห้องบ่มสุราครึ่งเซียน เหตุใดจึงมีธนูเหนือนภาได้?

วูบ!

จ้าวเฟิงเก็บ ‘ธนูเหนือนภา’ อย่างรวดเร็ว พลังที่เขามีในตอนนี้ คาดว่าน่าจะควบคุม ‘ธนูเหนือนภา’ ได้ยาก

อนึ่งคือเขายังไม่ได้รับการยอมรับจาก ‘ธนูเหนือนภา’ ทั้งยังต้องขัดเกลาในขั้นต้นอีก

“ศิษย์พี่เฉิน เหมือนว่าท่านจะมีความเห็นอะไรเกี่ยวกับธนูคันนี้นะ?” จ้าวเฟิงเหลือบตามอง

เฉินอี้หลินสูดหายใจน้อยๆ ฝืนทำเป็นสงบขณะเอ่ยยิ้มๆ

“ว่ากันว่า ‘ธนูเหนือนภา’ คันนี้เป็นอาวุธศักดิ์สิทธิ์ชั้นยอดในกลุ่มอาวุธวิเศษประเภทธนู การโจมตีของมันสามารถทำลายการปิดผนึกของมิติ หรือผนึกพลังของดวงวิญญาณกลางอากาศ ลือกันว่าเป้าหมายที่ถูกเล็งด้วย ‘ธนูเหนือนภา’ ไม่มีทางที่จะหนีพ้น ต่อให้หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับฟ้าดิน ทำลายความว่างเปล่า ก็ยังสามารถทำได้ ”

จ้าวเฟิงได้ยินเช่นนั้นก็อดถอนหายใจไม่ได้

“เป้าหมายที่โดนเล็งด้วย ‘ธนูเหนือนภา’ ไม่อาจจะหลบหนีได้งั้นรึ?” นี่ฟังดูแล้วชวนให้สะพรึงกลัวเอาการ

“แต่ว่ากันว่าเงื่อนไขที่จะใช้ ‘ธนูเหนือนภา’ ได้นั้นสูงส่งยิ่ง หนึ่งในนั้นคือจะต้องมีพรสวรรค์ดวงวิญญาณที่แข็งกล้า จะให้ดีที่สุดต้องมีพรสวรรค์ด้านมิติ หรือไม่ก็มีสายเลือดดวงตาพิเศษที่เข้ากัน” เฉินอี้หลินเอ่ยต่อ

เมื่อได้ยินมาถึงตรงนี้ จ้าวเฟิงอดคิดไม่ได้ ที่ธนูเหนือนภาเลือกตนเองก็มีเหตุผลแน่ชัดอยู่

สายเลือดดวงตาของจ้าวเฟิงค่อนไปทางแขนงดวงวิญญาณ แล้วยังมีวิชาเช่น ‘เคลื่อนย้ายมิติ’ หรือ ‘ดวงตาข้ามระยะทาง’ จึงย่อมเหมาะกับคุณสมบัติของ

‘ธนูเหนือนภา’ อย่างมาก

แน่นอนว่าภายในระยะเวลาอันสั้นนี้ จ้าวเฟิงยากที่จะควบคุมและใช้มรดกอาวุธศักดิ์สิทธิ์ชิ้นนี้ได้ ทำได้เพียงรอหลังออกจากอุทยานครึ่งเซียนแล้วค่อยคิดค้นหาวิธีการอีกครั้งหนึ่ง

ครึ่งชั่วเวลาเวลาจิบชาผ่านไป

พลังดวงตาและดวงวิญญาณของจ้าวเฟิงก็ค่อยๆ ฟื้นฟูขึ้น

หลังจากลึกซึ้งในสำนึกรู้ราชาแล้ว การฟื้นฟูพลังวิญญาณของเขาก็แข็งแกร่งขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย

“ทุกท่าน ข้ากำลังจะออกจากทะเลสาบจื่อเยียน” จ้าวเฟิงชันกายขึ้นแล้วเอ่ยเสนอ

จากการสำรวจของเนตรสวรรค์ก่อนหน้านี้ จ้าวเฟิงจึงเข้าใจอุทยานครึ่งเซียนอย่างคร่าวๆ แล้ว

“จุดหมายต่อไปคือ ‘ตำหนักหย่างซิน’ ” จ้าวเฟิงคิดในใจ

ภายในตำหนักหย่างซินเหมือนว่าจะปรากฏ ‘เลือดของครึ่งเซียน’ ขึ้น

จะต้องรู้ว่า เจ้าของอุทยานครึ่งเซียนในยามก่อนได้ก้าวเข้าไปในขอบเขตของ ‘เซียน’ ครึ่งหนึ่งแล้ว

เลือดของครึ่งเซียนหยดหนึ่งมีพลังเซียนที่ไม่อาจจะคะเนได้ จึงเป็นสมบัติที่ล้ำค่ายิ่งกว่าสิ่งใดสำหรับผู้ฝึกตนรุ่นหลัง

ต่อให้เป็นราชันหรือจักรพรรดิก็ต้องแก่งแย่งชิงชัยให้ได้มา

“ศิษย์น้องจ้าว เหตุใดเจ้าจึงรีบร้อนจะจากไปเช่นนี้?” เฉินอี้หลินหน้าเปลี่ยนสี รวมไปถึงเจียงฟานที่หัวใจบีบรัด

พูดกันตามจริง พวกเขาไม่อยากจากห้องบ่มสุราครึ่งเซียนไปอย่างง่ายดายเช่นนี้

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ‘สุราเซียนมายา’ ที่แสนเย้ายวนใจ

แต่ว่าพวกเขาพวกเขาก็แยกจากจ้าวเฟิงไม่ได้อีก

“จ้าวเฟิงควบคุม ‘องค์หญิงเผ่าเงือก’ ไว้ ทันทีที่เขาจากไป พวกเราก็ไม่อาจจะรั้งอยู่ต่อได้” ทุกคนล้วนแต่รู้อยู่แก่ใจ

“ศิษย์น้องจ้าว เจ้าลึกซึ้งในสำนึกรู้ราชา แล้วยังมีพลังครึ่งก้าวสู่ราชัน เจ้าจะช่วยพวกข้าเอา ‘สุราเซียนมายา’ มาได้หรือไม่?” เฉินอี้หลินเอ่ยขอร้อง

จ้าวเฟิงขมวดคิ้วแล้วตกอยู่ในภวังค์ความคิดอย่างรวดเร็ว

ภายในชั้นผลึกที่วางสุรา ตำแหน่งเดิมของ ‘สุราเซียนมายา’ ไม่มีแก้วสุราอีกแล้ว

แต่ว่าในตำแหน่งเดิมนั้นจะมีสุราเซียนมายาปรากฏขึ้นเป็นครั้งคราว

ในขณะที่สายตาของเฉินอี้หลินและคนอื่นๆ มองอย่างตึงเครียด สุดท้ายแล้วจ้าวเฟิงจึงเปิดปากเอ่ย “ข้าช่วยได้ แต่ว่าพวกเจ้าจะต้องรับปากเงื่อนไขของข้าข้อหนึ่งก่อน”

“เงื่อนไขอะไรกัน ศิษย์น้องจ้าวยื่นเสนอมาได้!” พวกเฉินอี้หลินกระตือรือร้น รู้สึกฮึกเหิมขึ้นมา

พวกเขาหวาดกลัวว่าจ้าวเฟิงจะไม่ยอมช่วย

“เมื่อออกจากตำหนักเทพ พวกเจ้าต้องช่วยข้ารับมือศัตรูตัวฉกาจผู้หนึ่ง”

จ้าวเฟิงเอ่ยเสียงเรียบ

ศัตรูตัวฉกาจ?

เฉินอี้หลินและเจียงฟานมองสบตากัน อดจะประหลาดใจไม่ได้

ศัตรูที่เก่งกล้าสามารถขนาดไหนกัน ที่ทำให้จ้าวเฟิงผู้ลึกซึ้งในสำนึกรู้ราชายากจะรับมือได้?

หรือว่าจะเป็นราชาเผ่าเงือก?

“ไม่ใช่ราชาเผ่าเงือก” จ้าวเฟิงรีบปฏิเสธเป้าหมายนี้

พรึ่บ!

ห้วงคิดของจ้าวเฟิงกระตุกน้อยๆ แล้วปรากฏร่างเงาของบุรุษหนุ่มหยางกวง

“ที่แท้ก็เป็นเขานี่เอง”

เฉินอี้หลินและพวกที่เหลือจดจำภาพประทับของบุรุษหนุมหยางกวงหรือ ‘เวินลั่วอัน’ ได้เป็นอย่างดี

ในเมื่อเวินลั่วอันฝึกตนถึงขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูง ก่อนที่จะเปิดอุทยานครึ่งเซียน มีคนคาดคะเนความสามารถของเขาว่าจัดอยู่ในระดับสิบอัจฉริยะแห่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์ได้

“เป็นศิษย์ร่วมสำนัก พวกเราช่วยเหลือศิษย์น้องจ้าวร่วมกันตั้งรับศัตรูที่แข็งแกร่ง นี่เป็นสิ่งที่สมควรทำ”

“ใช่! พวกเราจะทุ่มเทพลังทั้งหมด” คนทั้งหมดผงกศีรษะ

“เช่นนั้นก็ดี” จ้าวเฟิงยิ้มน้อยๆ

หากว่าเฉินอี้หลินและพวกยอมช่วยเหลือตนรับมือกับศัตรูตัวฉกาจ เช่นนั้นเขาช่วยคนพวกนี้ให้ได้รับสุราเซียนมายามาเพิ่มพลังก็เป็นเรื่องสมควร

ต่อมา

ภายใต้ความช่วยเหลือของจ้าวเฟิง คนทั้งหมดร่วมแรงร่วมใจ จึงได้ ‘สุราเซียนมายา’ มาทั้งหมดสามแก้ว

ในจำนวนนี้ จ้าวเฟิงแบ่งไว้ให้ตนเองหนึ่งแก้ว ส่วนอีกสองแก้วมอบให้กับพวกเฉินอี้หลิน

ห้องบ่มสุราครึ่งเซียน ในทุกวันสามารถบ่มสุราออกมาได้เป็นจำนวนที่แน่นอน หากต้องการมากกว่านั้นจะต้องรอไปอีกหนึ่งวัน

“ต้องลำบากศิษย์น้องจ้าวแล้ว” เฉินอี้หลินและเจียงฟานแสดงความขอบคุณอย่างสุดซึ้ง ดีใจจนเนื้อเต้นเมื่อได้รับสุราเซียนมายา

คนทั้งสองรู้สึกซาบซึ้งใจเป็นล้นพ้น

คิดถึงตอนแรกสุด ยามที่คนทั้งสองเจอจ้าวเฟิงครั้งแรกก็คิดว่าไม่มีความเป็นไปได้ที่จะคบหาสมาคมกันภายหลัง

แต่คาดคิดไม่ถึงเลยว่าจ้าวเฟิงจะช่วยพวกเขาให้ได้สุราเซียนมายามา

สุราเซียนมายาสามารถช่วยเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตในรอบร้อยปีของพวกเขาได้

สุราเซียนมายาที่เหลือสองแก้ว เฉินอี้หลินและเจียงฟานดื่มร่วมกันแก้วหนึ่ง ส่วนอีกแก้วหนึ่งแบ่งให้คนอื่นๆ

สุราเซียนมายาทุกแก้วสามารถดื่มได้สามสี่อึก

ในยามที่คนทั้งหมดดื่ม ‘สุราเซียนมายา’ จ้าวเฟิงเองก็เฝ้าสังเกตอยู่

เขาอยากดูว่าคนเหล่านี้ดื่มสุราเซียนมายาแล้วจะส่งผลขนาดไหน

จ้าวเฟิงคาดคะเนว่า ดวงวิญญาณและสำนึกรู้ของเฉินอี้หลินมีโอกาสค่อนข้างมากที่จะเข้าถึงในสำนึกรู้ราชา

ในบรรดาคนทั้งหมดนี้เฉินอี้หลินฝึกตนสูงสุด

เป็นอย่างที่คาดไว้ ไม่นานบนร่างของเขาก็ทะลักสำนึกรู้ราชันกลุ่มหนึ่งออกมา แข็งแกร่งกว่าอัจริยะคนอื่นๆ หลายส่วนนัก

แน่นอนว่าผลลัพธ์ของเขาย่อมด้อยกว่าจ้าวเฟิงในตอนนั้นมาก

เฉินอี้หลินที่ดื่มสุราเซียนมายาลงไปสองอึก จึงมีความเข้าใจในสำนึกรู้ราชาส่วนหนึ่ง

เขาที่นั่งขัดสมาธิอยู่เป็นเวลานาน

บนร่างของเฉินอี้หลินค่อยๆ หลอมรวมพลังของครึ่งก้าวสู่ราชัน ถึงแม้ว่าจะแข็งแกร่งไม่ถึงครึ่งของจ้าวเฟิงก็ตาม

“ขอแสดงความยินดีกับศิษย์พี่เฉิน” จ้าวเฟิงไม่ได้รู้สึกแปลกใจ แต่เอ่ยอมยิ้ม

“ในระยะหนึ่งปีนี้ ข้าเคยลองรับรู้ถึงสำนึกรู้ราชาหลายครั้งหลายคราว แต่สัมผัสได้เพียงปลายขนเท่านั้น ไม่คิดเลยว่าวันนี้จะหลอมพลังครึ่งก้าวสู่ราชันสำเร็จได้”

บนใบหน้าของเฉินอี้หลินเต็มไปด้วยความปลื้มปีติ ซาบซึ้งใจ ถึงขั้นยินดี

ถ้าหากว่าไม่มีสุราเซียนมายา ภายในเวลาสิบปีเขาคงไม่สามารถสร้างพลังครึ่งก้าวสู่ราชันออกมาได้เป็นแน่

แต่เข้ามาภายในทะเลสาบจื่อเยียนครั้งนี้ เขาได้รับรู้ถึง ‘ผลึกน้ำตาเงือก’ แล้วถัดจากนั้นจึงดื่ม ‘สุราเซียนมายา’ เมื่อบวกกับพลังที่แฝงอยู่ในยามก่อน จึงสร้างพลังครึ่งก้าวสู่ราชันได้

ภายในห้องบ่มสุรา

นอกเหนือจากเฉินอี้หลิน ลูกศิษย์ผู้สืบทอดที่เหลือสามารถสัมผัสส่วนหนึ่งของพลังราชันได้เพียงผิวเผินเท่านั้น

ในกลุ่มนี้

สำนึกรู้ในจิตวิญญาณของเจียงฟานทะลวงถึงขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูง ซึ่งถือว่ายังต่างกับสำนึกรู้ของครึ่งก้าวสู่ราชันอยู่ไม่น้อย

ส่วนคนอื่นๆ สำนึกรู้ต่างก็เพิ่มขึ้น

จ้าวเฟิงลอบผงกศีรษะ ความสามารถของกองกำลังเพิ่มขึ้นกันทั้งหมด

พลังของเจียงฟานล้ำหน้าสิบอัจฉริยะแห่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์ได้แล้ว

ลำดับรายชื่อของเฉินอี้หลินที่อยู่ในสิบอัจฉริยะ เกรงว่าคงต้องเลื่อนขึ้นเสียแล้ว

“ศิษย์น้องจ้าว ต่อจากนี้ไปพวกเราทั้งหลายจะให้เจ้าเป็นผู้นำ”

เฉินอี้หลินเอ่ยอย่างเคร่งขรึม

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!