Skip to content

King of Gods 657

King Of Gods

บทที่ 657 อัจฉริยะอันดับหนึ่งของศาสตร์อัสนี

เมื่อเห็นการตายอย่างอนาถของอัจฉริยะคนดังกล่าว เหล่าคนที่อยู่ใกล้เคียงใจสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัว

“ในระยะสิบจั้งเป็นพื้นที่ต้องห้าม ทันทีที่ก้าวเข้าไปต้องแบกรับพลังของ ‘เลือดครึ่งเซียน’ เพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว” จ้าวเฟิงเอ่ยพึมพำ

ณ ตำหนักหย่างซิน เหล่าอัจฉริยะคนอื่นก็ค้นพบกฎเกณฑ์นี้เช่นกัน

ส่วนนอกระยะสิบจั้ง อัจฉริยะดินแดนศักดิ์สิทธิ์ทั่วไปยังพอจะฝืนต้านพลังเซียนได้

อัจฉริยะที่ร่างระเบิดจนตายพวกนั้น โดยมากแล้วจะล่วงล้ำเข้าไประยะต้องห้ามสิบจั้ง

“อาณาเขตสิบจั้งยังมีแรงกดดันที่รุนแรงเช่นนี้ แต่หากว่าเข้าไปสัมผัส ‘เลือดครึ่งเซียน’ ในระยะที่ใกล้ห้าจั้ง สามจั้ง หรือหนึ่งจั้งเรื่อยๆ ล่ะก็…” จ้าวเฟิงไม่อาจจะคาดคะเนถึงแรงกดดันที่มากที่สุดได้เลย

เขาจมอยู่ในภวังค์ความคิด สบสายตากับเจ้าแมวขโมยตัวน้อยที่อยู่บนบ่าของเขาเพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน

เมี้ยว เมี้ยว!

เจ้าแมวขโมยตัวน้อยโบกมือไปมาเพื่อบอกว่าไร้ซึ่งความสามารถ แล้วจึงมุดกลับเข้าไปภายในแหวนเหล็กโบราณ

จ้าวเฟิงไม่ได้แปลกใจแต่อย่างใด พลังที่รุนแรงที่สุดของเลือดครึ่งเซียนนั่น ขนาดราชันธรรมดายังไม่สามารถต้านทานได้

เจ้าแมวขโมยน้อยตัวน้อยจัดอยู่ในจำพวกปราดเปรียวมีสติปัญญา และก็ไม่ใช่สัตว์ที่ยึดเอาร่างกายเลือดเนื้อเป็นกำลังหลัก

“เลือดครึ่งเซียน ข้ามาแล้ว!” น้ำเสียงเย็นเยียบราบเรียบใกล้เข้ามาเรื่อยๆ

วูบ!

ชายหนุ่มผิวสีนิล ด้านหลังมีปีกมารวายุสีดำตรงดิ่งมาในทันที จากนั้นวายุเพลิงสีดำก็ผุดขึ้น

“โม่เทียนอวี่!”

ภายในตำหนักหย่างซิน คนทั้งหมดต่างหลีกทางให้

พลังฝึกตนของชายหนุ่มผิวดำคนนั้นทะลวงไปยังขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูงช่วงปลาย สายเลือดปีกมารมีความพิเศษอย่างยิ่ง วายุเพลิงสีดำที่น่ากลัวนั้นทำให้คนอื่นแทบหยุดหายใจ

“โม่เทียนอวี่เป็นหนึ่งในสิบอัจฉริยะของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ มาจากสำนักศักดิ์สิทธิ์หนึ่งพันเดียวดาย”

ข้อมูลที่เกี่ยวก้องกับชายผู้นี้ปรากฏขึ้นในหัวของจ้าวเฟิง

อัจฉริยะที่เข้ามาในอุทยานครึ่งเซียนแห่งนี้มีจำนวนสองสามร้อยคน

ในกลุ่มนี้ สิบอัจฉริยะดินแดนศักดิ์สิทธิ์เป็นผู้มีฝีมือโดดเด่นทั้งสิ้น คนทั้งหมดล้วนแต่เข้าใจเป็นอย่างดี

“โม่เทียนอวี่ผู้นี้ไม่ได้อยู่ในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูงช่วงกลางหรือ? นี่เพิ่งจะผ่านไปไม่กี่วัน พลังสายเลือดและพลังฝึกตนก็เพิ่มขึ้นมาหลายเท่าตัว”

สีหน้าของอัจฉริยะส่วนหนึ่งฉายแววเคารพยำเกรง

ศิษย์ผู้สืบทอดของสำนักศักดิ์สิทธิ์หนึ่งพันเดียวดายเผยสีหน้าปีติยินดี

ในอุทยานครึ่งเซียนมีโอกาสอันดีต่างๆ มากมาย ในฐานะที่โม่เทียนอวี่เป็นหนึ่งในสิบอัจฉริยะ มีสายเลือดปีกมารที่พิเศษเป็นอย่างยิ่ง สามารถโบยบินได้ ดังนั้นโอกาสที่จะเก็บเกี่ยวสิ่งใดๆ ย่อมมีมากกว่าคนอื่น

วูบ!

ปีกวายุมารสีดำที่โบกสะบัดอยู่เหนือศีรษะของพวกจ้าวเฟิงสั่นน้อยๆ แล้ว

‘โม่เทียนอวี่’คนนั้นก็ร่อนลงในบริเวณใกล้เคียงสระน้ำ

“ระยะต้องห้ามสิบจั้ง!” อัจฉริยะดินแดนศักดิ์สิทธิ์จำนวนไม่น้อยกลั้นลมหายใจ ใจเต้นระรัว

โม่เทียนอวี่ผู้นั้นร่อนลงในพื้นที่ต้องห้ามสิบจั้งโดยไม่ได้รับบาดเจ็บแม้แต่น้อย

“ไม่เสียทีที่เป็นสิบอัจฉริยะแห่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์ มรดกสายเลือดและสิ่งที่แฝงอยู่ในทุกๆ คนล้วนอยู่เหนือหลักการทั่วไป” จ้าวเฟิงสะท้อนในอก

โม่เทียนอวี่ผู้นี้ เมื่อเข้ามาในอุทยานครึ่งเซียนฝีมือก็พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว ครึ่งก้าวสู่ราชันสองคนก็น่าจะเอาชนะเขาได้ยาก

“ฮ่าฮ่าฮ่า…เลือดครึ่งเซียน! โชคดีที่ข้ามาไว” สีหน้าของโม่เทียนอวี่ดูลำพองใจ

ในกลุ่มคนเหล่านี้ไม่มีสิบอัจฉริยะคนอื่นอยู่ เขาจึงมีพละกำลังเหนือใครในที่แห่งนี้

ในเวลานั้น ข่าวคราวของเลือดครึ่งเซียนก็ค่อยๆ แพร่กระจายไปยังที่ต่างๆ ของอุทยานครึ่งเซียน

แต่อัจฉริยะจำนวนไม่น้อยกำลังอยู่ระหว่างทาง

โม่เทียนอวี่มีสายเลือดปีกมารที่พิเศษอย่างยิ่ง ทั้งความเร็วและความยืดหยุ่นถือได้ว่าเป็นยอดในเหล่าสิบอัจฉริยะ

ในขณะนี้มีเพียง ‘โม่เทียนอวี่’ คนเดียวที่เหยียบเข้าไปในพื้นที่ต้องห้ามสิบจั้งได้ สายตาของเขาว่างเปล่าเย็นชา เมื่อมองไปทั่วทั้งหมดจึงพบว่าไม่มีศัตรูที่น่ากลัวแต่อย่างใด

“หืม?”

แววตาของ ‘โม่เทียนอวี่’ หยุดลงที่มนุษย์แมลงปอสองตัวเบื้องหลังจ้าวเฟิงแล้วชะงักไปเล็กน้อย

ความเร็วและความยืดหยุ่นของมนุษย์แมลงปอ ในขณะที่โม่เทียนอวี่อยู่ในอุทยานครึ่งเซียน ก็ได้รับรู้มาอยู่ไม่น้อยว่าเป็นยอดฝีมือต่างเผ่าพันธุ์ที่ยากจะจัดการ

แต่คาดคิดไม่ถึงเลยว่าอัจฉริยะที่อยู่เบื้องหน้านี้จะสามารถควบคุมมนุษย์แมลงปอสองตัวได้

“เหอะ ฝึกตนยังไม่ถึงขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูง! หากต้องการจะต้านทานพลังเซียนของสายเลือดครึ่งเซียน ต้องใช้พื้นฐานสายเลือดและพลังฝึกตนเป็นหลัก พรสวรรค์ด้านจิตวิญญาณไม่ได้ถูกใช้มากนัก”

โม่เทียนอวี่เหลือบมองก่อนจะละสายตาไป

เขาไม่เห็นจ้าวเฟิงอยู่ในสายตาเลยแม้แต่น้อย ในเวลานี้ในตำหนักหย่างซินยังไม่มีคู่ต่อสู้ของเขา

“ฉวยโอกาสตอนที่สองตัวอันตรายอย่างหนานกงเซิ่งและเมิ่งซียังไม่ปรากฏตัว ข้าต้องช่วงชิงเอา ‘เลือดครึ่งเซียน’ มาให้ได้” แววตาของของโม่เทียนอวี่เป็นประกาย

เขาสูดหายใจเข้าปอดแล้วโคจรพลังมาร การป้องกันร่างกายเพิ่มความแข็งแกร่งขึ้นมาก

สวบ! สวบ!

โม่เทียนอวี่เข้าไปภายในพื้นที่สิบจั้งต้องห้าม ค่อยๆ ก้าวเดินไปข้างหน้า

ในทุกๆ ย่างก้าวจะต้องเผชิญหน้ากับแรงกดดันจากพลังเซียนที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

ต่อให้เป็นโม่เทียนอวี่ก็ยังรู้สึกได้ว่าเปลืองแรง เดินยากลำบากอย่างยิ่ง

“โม่เทียนอวี่คนนี้เป็นคนแรกที่เข้าไปภายในพื้นที่ต้องห้ามสิบจั้งแล้วยังอยู่รอดปลอดภัยได้”

บรรดาอัจฉริยะดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่วงนอกรู้สึกริษยาอย่างยิ่ง

ยิ่งเข้าใกล้สระน้ำ โอกาสที่จะได้เก็บเกี่ยวเลือดครึ่งเซียนก็ยิ่งมีมากขึ้น

“รีบเพิ่มความเร็วหน่อย! เลือดครึ่งเซียนจะต้องเป็นของข้าอย่างแน่นอน”

โม่เทียนอวี่ลิงโลดใจ

เลือดครึ่งเซียน แทบจะเป็นเลือดของเซียน โดยปกติแล้วเมื่อยอดฝีมือได้มาหนึ่งหยดก็สามารถเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตได้แล้ว

ต่อให้เป็นจักรพรรดิก็ต้องบ้าคลั่งเพราะของสิ่งนี้

“สิบจั้ง!”

ในเวลานี้เอง ร่างเรือนผมสีน้ำเงินก็เหยียบเข้าไปภายในพื้นที่ต้องห้ามสิบจั้งอย่างไม่เดือดไม่ร้อน

“เป็นเขา…”

คนทั้งหมดในที่ดังกล่าวจ้องกันตาโต ชะงักไปขณะหนึ่ง

คนที่เข้าไปภายในพื้นที่สิบจั้งต้องห้ามคนที่สองก็คือจ้าวเฟิง

“ถ้าหากสัมผัส ‘เลือดครึ่งเซียน’ ในระยะใกล้ชิดได้ พลังที่แบกรับจะเกินกว่าที่คาดคิดไว้มาก อีกทั้งไม่อาจคาดเดาได้เลยว่าเลือดครึ่งเซียนนี้จะมีการโจมตีหรือไม่”

จ้าวเฟิงยังรู้สึกวิตกกังวล จึงไม่ผลีผลามเข้าไปภายใน

พูดกันตามความจริงแล้ว พลังแรงกดดันในพื้นที่ต้องห้ามสิบจั้ง เขารู้สึกว่ายังพอรับได้ เพราะเขาแบกรับแรงบีบคั้นมหาศาลของ ‘ห้วงฝันบรรพกาล’ มานานแรมปี ซึ่งเมื่อเปรียบกับช่วงระยะสิบจั้งแล้วยังรุนแรงกว่าเสียอีก

“เจ้าเด็กคนนี้…” โม่เทียนอวี่สังเกตเห็นจ้าวเฟิง สีหน้าก็แข็งค้าง

 

เห็นได้ชัดว่าเขาไม่คาดคิดมาก่อนเลยว่า คนที่อยู่ในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับต่ำช่วงสุดยอดจะเข้ามาภายในพื้นที่สิบจั้งต้องห้ามได้

อีกทั้งเมื่อดูๆ แล้วจ้าวเฟิงก็ไม่ได้แสดงท่าทีอิดโรยอย่างเห็นได้ชัด

การจะแบกรับแรงกดดันของ ‘เลือดครึ่งเซียน’ ต้องพึ่งพาพื้นฐานสายเลือดและพลังฝึกตนเป็นหลัก

ถ้าหากระดับสายเลือดสูงกว่าก็จะได้เปรียบกว่า และหากการป้องกันของร่างกายแข็งแกร่งมากก็จะต้านทานการโจมตีได้มาก

หลักการเดียวกัน

พลังฝึกตนสูงส่ง แรงในการแบกรับจะยิ่งแข็งแกล้า ยกตัวอย่างเช่น หากให้ยอดฝีมือสูงส่งในระดับจักรพรรดิอย่างตวนมู่ชิงมาที่นี่ ก็น่าจะสามารถเอาเลือดครึ่งเซียนไปได้อย่างสบายๆ

“เจ้าหนุ่ม! หากพอจะมีสมองก็ไสหัวไป”

โม่เทียนอวี่เลียริมฝีปาก จ้องมองจ้าวเฟิงด้วยแววตาประสงค์ร้าย เขาลองใช้ชื่อเสียงเรียงนามและพลังของตนเองข่มขวัญจ้าวเฟิง

คนอย่างจ้าวเฟิงจะตกหลุมพรางคนอย่างเขาได้อย่างไร เขามองเห็นแต่คล้ายมองไม่เห็น ทว่าก็รักษาระยะห่างกับโม่เทียนอวี่เอาไว้ โม่เทียนอวี่อยู่อีกฟาก ส่วนเขาอยู่อีกฟาก

ภายใต้แรงกดดันจากพลังของเลือดครึ่งเซียน จะลงมือโจมตีก็ยังมีอุปสรรคมาก

อีกทั้งใครก็สามารถคาดเดาได้ว่า วิธีการลงมือโจมตีส่วนหนึ่งจะทำให้เลือดครึ่งเซียนเกิดปฏิกิริยาอย่างไร

 

 

“ศิษย์พี่โม่ เจ้าหนุ่มแซ่จ้าวคนนี้ควบคุมกองทัพอสูรเผ่าวารีที่ทะเลสาบจื่อเยียน ทำให้ศิษย์พี่ถูต้องพ่ายแพ้ไป…” หนึ่งในศิษย์ของสำนักศักดิ์สิทธิ์หนึ่งพันเดียวดายเอ่ยขึ้น

อุทยานครึ่งเซียนนี้เป็นเพียงพื้นที่มีขอบเขตจำกัด ดังนั้นข่าวคราวส่วนหนึ่งจึงแพร่กระจายไปทั่วบริเวณ

“อะไรกัน! เป็นคนที่ทำให้ศิษย์น้องถูพ่ายแพ้อย่างย่อยยับงั้นหรือ?”

เมื่อโม่เทียนอวี่ได้ยินเช่นนั้นใจก็ค้างแข็ง ยากที่จะเชื่อได้

ก่อนที่จะเข้ามาภายในอุทยานครึ่งเซียน ฝีมือของเขายังด้อยกว่าถูจิ่วเซินอยู่ครึ่งขั้น

แต่ทว่าเมื่ออยู่ภายในอุทยานครึ่งเซียน เขาสามารถฉกฉวยผลประโยชน์ได้เร็ว พลังฝึกตนของสายเลือดจึงเพิ่มขึ้น ฝีมืออาจจะกลับมาล้ำหน้าถูจิ่วเซินอยู่ครึ่งขั้นแทน

แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้ก็ตาม ในขณะที่เขาได้รับข่าวสารนี้ก็ยังรู้สึกตื่นตะลึงอยู่ไม่น้อย

แล้วในเวลานี้เอง

สวบ แซ่ด!

ร่างเงาของปีกอัสนีสีสันตระการตา จู่ๆ ก็โผล่ออกมา

“ช่างเป็นพลังอัสนีที่แปลกประหลาดนัก”

จ้าวเฟิงสัมผัสได้ว่าปราณที่แท้จริงวายุอัสนีในร่างกายสับสนปั่นป่วน จนเขาเดาสถานะของผู้มาเยือนได้โดยที่ไม่ต้องดูเลยด้วยซ้ำ

“เหลยเจิ้น! หนึ่งในสิบอัจฉริยะแห่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์!”

“ครึกครื้นล่ะสิทีนี้ มีหนึ่งในสิบอัจฉริยะปรากฏกายขึ้นอีกแล้ว”

“เหลยเจิ้นผู้นี้มาจากสำหนักหมื่นอัสนี เป็นอันดับหนึ่งของคนรุ่นใหม่ในสำนัก” เหล่าอัจฉริยะคนอื่นๆ ต่างจ้องมองกันเป็นตาเดียว

ภายในตำหนักหย่างซิน มีอัจฉริยะจำนวนไม่น้อยที่เป็นผู้เฝ้าดู แอบมีความหวังว่าสุดท้ายแล้วจะได้ประโยชน์จากการรอเก็บเกี่ยวเอาในตอนหลัง

เพราะการเปิดอุทยานครึ่งเซียนที่ผ่านมา มีอัจฉริยะจำนวนหนึ่งที่พลังไม่ได้แข็งแกร่ง ค่อนไปทางอ่อนแอเสียด้วยซ้ำ แต่ได้รับโอกาสในการเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิต

จากตรงนี้จึงสามารถเห็นได้ว่า ดวงมีผลอย่างยิ่งกับการเก็บเกี่ยวผลประโยชน์

แซ่ด ขวับ!

เหลยเจิ้นร่อนลงในละแวกใกล้เคียงสระน้ำ

จุดที่เขาร่อนตัวลงนั้นมีระยะห่างอยู่ที่แปดเก้าจั้ง ซึ่งใกล้กว่าโม่เทียนอวี่

“เลือดครึ่งเซียน! เกรงว่านี่จะเป็นเลือดบริสุทธิ์ของครึ่งเซียน มิฉะนั้นไม่น่าจะอยู่ได้ยาวนานแบบนี้ แล้วยังมีพลังและแก่นสารที่แข็งแกร่งแฝงอยู่อีก”

ในวินาทีที่เหลยเจิ้นร่อนลงบนพื้น ใบหน้าขึ้นสีแดงระเรื่อน้อยๆ

ในทันทีที่กระตุ้นลำแสงสีตระการตา เขาเป็นประหนึ่งเทพอัสนีโบราณ กลิ่นอายช่างน่าพรั่นพรึง

“เลือดบริสุทธิ์ของครึ่งเซียน?” ไฟที่ลุกโชนในดวงตาของอัจฉริยะทั้งหลายเหมือนจะรุนแรงยิ่งขึ้น

เลือดหนึ่งหยดประกอบไปด้วยปราณชีวิตของครึ่งเซียน นั่นทรงคุณค่ากว่าเลือดในร่างของคนทั่วไปเป็นหลายร้อยเท่า!

“ถ้าหากดูดซึมพลังของ ‘เลือดครึ่งเซียน’ จนหมด ต่อให้เป็นผู้สูงศักดิ์ธรรมดา พลังฝึกตนก็สามารถเปลี่ยนแปลงได้ จนไม่ต้องกังวลพลังของราชันและจักรพรรดิ” ใจของคนในที่นั้นเต้นรัวเร็ว

 

เลือดบริสุทธิ์ของครึ่งเซียนย่อมเป็นโอสถวิเศษในการจะเข้าสู่ขั้นราชันและจักรพรรดิ ต่อให้เป็นเซียนในขอบเขตเทวาเร้นลับก็ได้ประโยชน์มหาศาลทั้งสิ้น

ภายในพื้นที่สิบจั้งต้องห้าม

เปรี้ยง! เปรี้ยง! เปรี้ยง!

โม่เทียนอวี่ เหลยเจิ้น และจ้าวเฟิง คนทั้งสามรุกคืบเข้าไปช้าๆ

ในกลุ่มนี้ จ้าวเฟิงค่อยๆ ทิ้งช่วงห่างอยู่เบื้องหลังคนทั้งสอง

“ไม่มีใครคาดการณ์ได้เลยว่า หากเข้าไปใกล้เลือดบริสุทธิ์ของครึ่งเซียนจริงจะเกิดอะไรขึ้น”

จ้าวเฟิงระมัดระวังอย่างยิ่ง ทันทีที่เลือดบริสุทธิ์ของครึ่งเซียนเริ่มลงมือโจมตี ต่อให้เป็นราชันที่แท้จริงก็ไม่สามารถถอยหนีได้ทัน

“เป็นเจ้าเด็กนั่น!” เหลยเจิ้นปรายตาดูจ้าวเฟิงจากหางตา

จ้าวเฟิงอยู่ไกลจากโม่เทียนอวี่อย่างมาก แต่ว่าอยู่ใกล้กับด้านหลังเหลยเจิ้น

“ไสหัวไปซะ!”

เหลยเจิ้นเปล่งเสียงหัวเราะเย็นเยียบออกมา เขาจะวางใจให้อัจฉริยะที่เป็นเสมือนศัตรูอยู่หลังให้เขาได้อย่างไร

แซ่ด แซ่ด วูบ!

เหลยเจิ้นผลักมือออก กรงเล็บอัสนีสีสันตระการตา เปล่งแสงอัสนีเจิดจ้า สาดซัดกลิ่นอายทำลายล้างตรงดิ่งไปหาจ้าวเฟิง

กรงเล็บวายุอัสนีพิฆาต!

จ้าวเฟิงย่อมไม่มีทางจะยืนนิ่งไม่ดูดำดูดี ใช้มือข้างหนึ่งโบกสะบัด กรงเล็บอัสนีโบราณที่เกิดจากวายุอัสนีสีม่วง ปะทะเข้ากับกรงเล็กหลากสีนั้น

ตูม โครม!

กลิ่นอายสายอัสนีบาตที่น่ากลัวกวาดล้างทุกอย่างเป็นรัศมีสิบกว่าจั้ง

ขนาดโม่เทียนอวี่ยังได้รับผลลกระทบด้วย วายุเพลิงสีดำที่หมุนวนทั่วร่างดูอ่อนแอลงไปหลายส่วน

เพี๊ยะ แซ่ด!

ร่างของจ้าวเฟิงสั่นสะท้าน ทั่วร่างมีลำแสงอัสนีหลากสีหมุนวนรอบๆ แล้วค่อยๆ แทรกซึมเข้าไปภายในร่าง

วูบ~

จ้าวเฟิงโคจรสายเลือดป้องกัน ทั่วร่างจึงเกิดลวดลายเป็นลักษณะของเกล็ดสีม่วงเข้ม ทำให้แสงอัสนีหลากสีสันกระจายหายไป

แต่ถึงจะเป็นเช่นนี้ ร่างของเขาก็ชาไปชั่วขณะ

เพราะว่าสายเลือดป้องกันของเขาอยู่ในธาตุวารี อีกทั้งวารียังเป็นตัวนำอัสนีด้วย

เมื่อมองกลับมาที่เหลยเจิ้น ระลอกพลังที่เหลือจากวายุอัสนีพิฆาตหลายเส้นสายตกลงบนร่างของเขา ทว่าเขากลับไม่หลบหลีกแต่อย่างใด

“ฮ่าฮ่าฮ่า พลังยังพอถูไถได้…”

เหลยเจิ้นมีสีหน้าอิ่มเอมใจยิ่ง แบกรับระลอกพลังวายุอัสนีพิฆาตที่หลงเหลืออย่างจัง ลำแสงอัสนีหลากสีบนร่างดูดเอาพลังอัสนีเข้าไปอย่างสบายๆ

“ดูดซึมอัสนี!”

สีหน้าจ้าวเฟิงแข็งค้าง เขาตระหนักได้ว่ามรดกวายุอัสนีของตนเองเจอคู่ปรับเข้าแล้ว

 

 

เหลยเจิ้นมีสายเลือดวิญญาณอัสนีโบราณ ฝึกฝนพลังอัสนีโดยเฉพาะ ถือได้ว่าเป็นอัจฉริยะอันดับหนึ่งของศาสตร์อัสนีในปัจจุบัน เขาฝึกฝน ‘วิชาหมื่นอัสนีห้าสาย’ ซึ่งเป็นวิชาอัสนีที่เก่าแก่โบราณที่สุดของชางไห่

ต่อให้เป็นจักรพรรดิวายุอัสนีในยามที่ฝึกฝนอยู่ที่สำนักหมื่นอัสนี พรสวรรค์ในศาสตร์อัสนีก็ยังไม่เท่าเหลยเจิ้น จึงไม่อาจจะฝึกฝน ‘วิชาหมื่นอัสนีห้าสาย’ ได้ แต่ริเริ่มหนทางอีกเส้นสายแล้วฝึกฝนวิชาวายุอัสนีที่เหมาะสมกับตนเอง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!