Skip to content

King of Gods 670

King Of Gods

บทที่ 670 ปีกอัสนีโบยบิน

เสียงระเบิดสะเทือนเลือนลั่น ทำให้อัจฉริยะในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ใกล้เคียงต้องอกสั่นขวัญหาย

บริเวณลานที่พักซึ่งเป็นที่ตั้งของห้องเก็บตำรากลายเป็นพื้นดินไหม้เกรียม

เพลิงทองลำแสงเลือดค่อยๆ เผาไหม้ไปช้าๆ

ไม่ว่าจะเป็นบุรุษหนุ่มหยางกวงหรือจ้าวเฟิงล้วนแต่ไม่เห็นเงา กระทั่งเศษเสี้ยวศพก็ยังไม่เห็น

อัจฉริยะในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ในละแวกใกล้เคียงนึกเห็นอกเห็นใจ รู้สึกทนไม่ไหว

ไม่ว่าจะจ้าวเฟิงหรือเวินลั่วอันก็ล้วนเป็นม้ามืดภายในอุทยานครึ่งเซียนครั้งนี้

“ตายไปพร้อมกัน น่าเสียดาย…”

หนานกงเซิ่งจ้องไปยังแสงเลือดเพลิงสีทองที่ทำลายของทั้งหมดจนมองไม่เห็นร่องรอยใด

ต้องยอมรับว่าสายเลือดในตำนานของรายชื่อหมื่นเผ่าพันธุ์โบราณเรียกได้ว่าฝืนลิขิตฟ้าดิน

ท่ามกลางการโจมตีที่รุนแรงและยาวนานของหนานกงเซิ่งกับดวงตาข้ามระยะทาง ยังสามารถยืนหยัดฝ่าเข้าไปยังจุดที่จ้าวเฟิงอยู่แล้วพลีชีพได้

โครม~

อากาศภายในอุทยานครึ่งเซียนสั่นสะเทือนน้อยๆ เกิดเป็นแสงสว่างแปลบปลาบ

เมี้ยว เมี้ยว!

เจ้าแมวขโมยตัวน้อยที่นั่งอยู่บนสัตว์อสูรขั้นราชันเร่งรุดลอยตามมา

ผู้ที่มาพร้อมกันก็คือเมิ่งซี

“ตายหมดแล้วหรือ?”

เมิ่งซีเหมือนตกอยู่ในภวังค์เล็กน้อย เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ในอุทยานครึ่งเซียนทำให้นางอ่อนล้าอย่างเห็นได้ชัด ถอดใจในการต่อสู้แล้ว

“เจ้าแมวขโมย เจ้านายของเจ้าดับสูญไปแล้ว ไม่สู้มาเป็นสัตว์วิเศษของข้าดีกว่า”

นัยน์ตางามชวนฝันของเมิ่งซีจับจ้องไปที่เจ้าแมวขโมยตัวน้อย

ถึงแม้นางจะเคยเกลียดชังแค้นเคืองเจ้าแมวขโมย แต่ถ้าหากมีสัตว์วิเศษที่ไม่ธรรมดาเช่นนี้ ต่อให้เป็นเมิ่งซีก็ใจต้องใจเต้น

เมี้ยว~

เจ้าแมวขโมยตัวน้อยเม้มริมฝีปาก แล้วแหงนศีรษะมองขึ้นไปบนฟ้า คนทั้งหมดจึงแหงนมองอากาศด้านบนตามไปด้วย

“นั่นคือ…”

ในก้อนเมฆบนท้องฟ้าสูงปรากฏบุรุษหนุ่มเรือนผมสีน้ำเงิน ด้านหลังมีปีกวายุอัสนีคู่หนึ่งโผล่ออกมา พื้นผิวผุดวารีสีฟ้า

บุรุษหนุ่มเรือนผมสีน้ำเงินคนนั้นใบหน้าซีดขาว ท่าทางเหนื่อยล้า

“จ้าว…จ้าวเฟิง!”

หนานกงเซิ่ง เมิ่งซี และคนที่เหลือตื่นตกใจจนหน้าถอดสี

ใช่แล้ว

บุรุษเรือนผมสีฟ้าผู้ที่อยู่ในชั้นเมฆคือจ้าวเฟิง

“วิชาปีกอัสนีโบยบิน!”

สีหน้าของจ้าวเฟิงเย็นชา ปีกวายุอัสนีเบื้องหลังเขาโบกสะบัดคล้ายร่ายระบำ ดูเลือนรางไปจนสิ้น

วูบ!

แสงปีกวายุอัสนีสว่างวาบ ชวนให้เกิดความรู้สึกคล้ายทลายแกนกลางของมิติ

ในวินาทีถัดมา แสงปีกวายุอัสนีเปล่งประกายขึ้นข้างกายหนานกงเซิ่ง

“จ้าวเฟิง!”

หนานกงเซิ่งเอ่ยเสียงต่ำ จับจ้องไปยังบุรุษเรือนผมสีน้ำเงินที่ปรากฏกายขึ้นในแสงปีกวายุอัสนี

นอกเหนือจากหนานกงเซิ่งและเมิ่งซีเพียงไม่กี่คนแล้ว ก็ไม่มีผู้ใดสามารถมองเห็นท่าร่างของจ้าวเฟิงได้อย่างชัดเจน

นัยน์ตาของเจ้าแมวขโมยตัวน้อยสว่างวาบขึ้น

เป็นที่แน่นอนว่า ‘วิชาปีกอัสนีโบยบิน’ กระบวนท่านี้ของจ้าวเฟิงมีที่มาจากเคล็ดวิชาลับที่สูงส่งลึกซึ้งของปีกวายุอัสนี

แต่ว่ามองออกได้ไม่ยากว่าท่าร่างนี้ประยุกต์จากการข้ามมิติของเจ้าแมวขโมยตัวน้อย รวมไปถึงท่าร่างมิติของหนานกงเซิ่ง

ในความเป็นจริงแล้ว

ภายในตำหนักเทพของเผ่าเงือก ขณะที่ไล่ล่าสังหารถูจิ่วเซิน ‘วิชาปีกอัสนีโบยบิน’ เริ่มเป็นรูปเป็นร่างขึ้นแล้ว

หลังจากนั้น

จ้าวเฟิงลึกซึ้งในสำนึกรู้ราชา ด้วยการสังเกตท่าร่างมิติของหนานกงเซิ่ง ในที่สุดก็ฝึก ‘วิชาปีกวายุอัสนีโบยบิน’ สำเร็จ

ในขณะที่บุรุษหนุ่มหยางกวงระเบิดตัวเองและทำลายทุกอย่าง จ้าวเฟิงเองก็สัมผัสได้ทุกสิ่ง

ดวงตาเทพเจ้าของเขามองปรุโปร่งถึงการเปลี่ยนแปลงของสายเลือดและปราณที่แท้จริงภายในร่างของบุรุษหนุ่มหยางกวง

ดังนั้นในสถานการณ์ชี้เป็นชี้ตาย จ้าวเฟิงจึงเรียกใช้ ‘วิชาปีกอัสนีโบยบิน’ แล้วหนีไปได้ทันพอดี

ถึงจะเป็นเช่นนี้

จ้าวเฟิงก็แบกรับระลอกพลังที่เหลืออยู่ของเวินลั่วอัน จึงบาดเจ็บไปไม่น้อย

ผลัวะ~

ระลอกพลังวารีสีฟ้าของจ้าวเฟิงหมุนวนไปมาเพื่อฟื้นฟูอาการบาดเจ็บ

“ศิษย์พี่หนาน นี่เป็นค่าเหนื่อยของท่าน” จ้าวเฟิงแบมือออก เอาหญ้าเกล็ดม่วงและผลึกน้ำตาเงือกหนึ่งชิ้น มอบให้แก่หนานกงเซิ่ง

คนมากมายในที่ดังกล่าวเห็นเหตุการณ์แล้วตาโตจนแทบจะถลนออกมา

เมิ่งซีอดจะตื่นตระหนกไม่ได้ ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมหนานกงเซิ่งถึงทุ่มเทแรงกายแรงใจสังหารเวินลั่วอันแทนจ้าวเฟิง

นางและเวินลั่วอันอยู่ในขั้นตอนวางแผน ยังไม่ทันได้ลงมือ ก็โดนจ้าวเฟิงกับหนานกงเซิ่งชิงลงมือก่อนอย่างคาดไม่ถึง

“เจ้าเก่งยิ่งนัก”

หนานกงเซิ่งรับหญ้าเกล็ดม่วงและผลึกน้ำตาเงือกมา จ้องมองจ้าวเฟิงอย่างลึกล้ำ

เขาย่อมมองออกว่า ‘วิชาปีกอัสนีโบยบิน’ ของจ้าวเฟิงใช้หลักการเดียวกันกับท่าร่างมิติของเขา

ครั้งแรกที่เขาระแวดระวังจ้าวเฟิงคือที่หอหมื่นทรัพย์

สายเลือดดวงตาของจ้าวเฟิง จู่ๆ ก็ปรากฏกลางอากาศ แล้วคว้าเอา ‘ธนูเหนือนภา’ ไป

เขาจึงเริ่มระวังศิษย์น้องร่วมสำนักผู้นี้นับตั้งแต่นั้น

“ศิษย์พี่หนานชมเกินไปแล้ว ท่านต่างหากที่เป็นอัจฉริยะอันดับหนึ่งแห่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์”

จ้าวเฟิงเอ่ยอย่างเกรงอกเกรงใจ

ถ้าหากว่าไม่ได้ความช่วยเหลือจากหนานกงเซิ่ง ต้องสู้รบตบมือเพียงลำพัง เขาคงไม่ใช่คู่ต่อสู้ของบุรุษหนุ่มหยางกวง

ใบหน้างดงามของเมิ่งซีที่อยู่อีกฟากหนึ่งงอง้ำไม่พอใจและมีแววกังวล

จ้าวเฟิงกับหนานกงเซิ่งกลับไม่ได้ลงมือทำร้ายนาง

ท่านอาจารย์ของเมิ่งซีเป็นถึงเซียนในขอบเขตเทวาเร้นลับ ไม่มีใครกล้าทำผิดต่อนางอย่างร้ายแรง

เมี้ยว เมี้ยว!

กิเลนหยกสีม่วงในมือของเจ้าแมวขโมยตัวน้อยถูกโยนไปตกในมือของเมิ่งซี

อุทยานกำลังจะปิดตัวลง

กิเลนหยกสีม่วงชิ้นนี้ไม่มีคุณค่าใดอีกต่อไป นอกเสียจากเป็นอีกห้าร้อยปีข้างหน้าที่อุทยานครึ่งเซียนเปิดออกอีกครั้ง

“เหอะ!”

เมิ่งซีรับกิเลนหยกสีม่วงไว้ได้ เหมือนกับว่ายังไม่หายค้างคาใจ นางจ้องจ้าวเฟิงอยู่ครู่หนึ่งคล้ายจะจดจำศัตรูคู่แค้นผู้นี้เอาไว้

จ้าวเฟิงไม่รู้สึกรู้สาอะไรเลยแม้แต่น้อย

แววตาของเขาหยุดลงที่เพลิงสีทองซึ่งยังคงเผาผลาญอยู่

“เวินลั่วอัน” เขาค่อยๆ เปิดปากเอ่ย “จะต้องมีวันหนึ่งในภายหน้าที่พวกเราเปลี่ยนบทบาทกัน ใครจะเป็นผู้ล่าหรือผู้ถูกล่าก็ยังไม่อาจรู้”

เมื่อเอ่ยจบ อัจฉริยะในที่ดังกล่าวตกตะลึงกันหมด

คนจำนวนมากเพิ่งจะค้นพบว่า แม้แสงเลือดเพลิงสีทองจะอับแสงลงไปมากกว่าครึ่ง แต่ก็ยังคงเผาผลาญอยู่ ไม่ได้สูญสลายไปจนหมด

วิ้ง!

แสงเลือดเพลิงสีทองค่อยๆ หดเล็กลงในฉับพลันจนกลายเป็นกลุ่มลำแสง มันสั่นไหวไปมาแล้วจึงกลายเป็นบุรุษหนุ่มที่เต็มไปด้วยเพลิงสีทองเผาไหม้

“อะไรกัน!” เหล่าอัจฉริยะดินแดนศักดิ์สิทธิ์ในที่นั้นตกใจจนพูดไม่ออก

“เกิดใหม่ในกองไฟหรือ?”

เมิ่งซีมองไปที่ร่างของบุรุษหนุ่มหยางกวงที่ค่อยๆ เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา เพลิงสีทองบนร่างอับแสงลง

ใบหน้าของเวินลั่วอันซีดเผือด คุกเข่าอยู่บนพื้น

จ้าวเฟิงค้นพบว่าขั้นฝึกตนของเวินลั่วอันลดลงจากขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูงช่วงปลายมาเป็นระดับสูงช่วงต้น เกือบที่จะตกลงไปอยู่ขั้นขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับต่ำแล้ว

แต่ในขณะนี้จ้าวเฟิงเองก็ไม่มีแรงจะลงมือกับบุรุษหนุ่มหยางกวง

เขาใช้พลังดวงตาเกือบจะหมดสิ้น ไอสวรรค์ก็ถูกใช้ไปมากมาย

“จ้าวเฟิง การต่อสู้ของพวกเราเพิ่งจะเริ่มขึ้นเท่านั้น ถ้าไม่มีหนานกงเซิ่งเจ้าคงตายในเงื้อมมือข้านานแล้ว” สีหน้าของเวินลั่วอันซีดเผือด มีท่าทีไม่ยินยอม

และในเวลานี้เอง

โครม วิ้ง~

อุทยานครึ่งเซียนสั่นไหว ทั้งมิติถูกแสงสุกใสครอบคลุมเอาไว้

วูบ! วูบ! วูบ!

ในอุทยาน ร่างเงาของอัจฉริยะดินแดนศักดิ์สิทธิ์ค่อยๆ อับแสงและโปร่งใส ก่อนจะหายไปจากบริเวณอุทยานครึ่งเซียน

จ้าวเฟิงและคนอื่นๆ สัมผัสได้ถึงพลังที่ยิ่งใหญ่มหาศาลของ ‘พลังครึ่งเซียน’

“น่าเสียดาย พลังของครึ่งเซียนหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับอุทยานตามกฎกติกาที่ทิ้งไว้ก่อนตาย”

เศษเสี้ยวห้วงคิดคุนอวิ๋นเอ่ยพึมพำ

พลังของครึ่งเซียนเปิดเผยยุติธรรม เป็นประหนึ่ง ‘วิถีแห่งฟ้า’ ภายในอุทยาน ไม่มีความคิดส่วนตัวของตัวเอง ทั้งหมดล้วนเป็นไปตามกฏกติกาที่เคยกำหนดไว้

จ้าวเฟิงเข้าใจดี

ถ้าหากสามารถครอบครองพลังครึ่งเซียนกลุ่มก้อนนี้ เช่นนั้นหลังเศษเสี้ยวห้วงคิดคุนอวิ๋นถือกำเนิดใหม่จากเลือดแล้ว ความหวังในการฟื้นฟูพลังครึ่งเซียนก็คงจะเพิ่มขึ้นไม่น้อย

วูบ!

ร่างของจ้าวเฟิงค่อยๆ โปร่งแสง กำลังจะหายไปจากภายในอุทยาน

แต่ในเวลานี้เองก็เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นในฉับพลัน

โครม~~~

พลังครึ่งเซียนที่แกร่งกล้าชักนำแรงกดดันที่ยิ่งใหญ่ไร้ขอบเขตเข้ามา

ร่างของจ้าวเฟิงชะงักค้างเหมือนโดนจับไว้กลางอากาศ

“แย่แล้ว!”

สีหน้าจ้าวเฟิงเปลี่ยนไปอย่างมาก

เขาเข้าใจว่าพลังของครึ่งเซียนเป็นเหมือนนายเหนือหัวและวิญญาณเทพของอุทยาน

ถ้าหากว่าพลังครึ่งเซียนจะสังหารใครสักคน

ต่อให้เป็นราชันในขอบเขตปราณเทวะก็ไม่อาจขัดขืนได้

ในวินาทีนี้ เศษเสี้ยวห้วงคิดคุนอวิ๋นภายในน้ำเต้าปราณมรกตกับเลือดครึ่งเซียนสั่นสะท้านน้อยๆ  ยังดีที่พลังยิ่งใหญ่มหาศาลหยุดอยู่บนร่างของจ้าวเฟิงแค่ครึ่งช่วงลมหายใจ

หนึ่งช่วงลมหายใจจากนั้น

วูบ!

ร่างเงาที่โปร่งใสของจ้าวเฟิงหายไปจากภายในอุทยาน

ดินแดนศักดิ์สิทธิ์เจินอู่ ยอดเขาศักดิ์สิทธิ์ว่านกู่

บนยอดเขาบริเวณซากปรักหักพัง

วูบ! วูบ! วูบ!

อัจฉริยะดินแดนศักดิ์สิทธิ์แต่ละคนออกมาจากอุทยานครึ่งเซียน

“ในที่สุดก็ออกมาได้แล้ว การเปิดอุทยานครึ่งเซียนในครั้งนี้เก็บเกี่ยวได้ไม่เลวเลย”

มีเสียงลอยออกมาจากกลุ่มคน

วูบ!

ร่างของจ้าวเฟิงเองก็ปรากฏขึ้นในกลุ่มคนด้วย

ไม่มีใครสังเกตเห็นว่าจ้าวเฟิงปรากฏกายขึ้นช้ากว่าคนอื่นเล็กน้อย

บนหน้าผากของเขาผุดเหงื่อเย็นๆ ออกมา

ในวินาทีสุดท้ายที่ต้องเผชิญหน้ากับการมาเยือนของพลังครึ่งเซียนทำให้เขาตกใจอยู่ไม่น้อย

“ศิษย์น้องจ้าว การเปิดอุทยานในครั้งนี้ เจ้าเป็นม้ามืดที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความสามารถอย่างแท้จริง”

เฉินอี้หลิน เจียงฟาน และคนอื่นๆ มองมาด้วยแววตาที่เป็นมิตร

“อุทยานเปิดออกในครั้งนี้ได้ความช่วยเหลือจากศิษย์น้องจ้าว”

“นั่นสิ ถ้าหากไม่ได้ศิษย์น้องจ้าว พวกเราก็คงโจมตีอาณาจักรเผ่าเงือกไม่สำเร็จ”

กลุ่มของเฉินอี้หลินกับเจียงฟานรู้สึกนับถือซาบซึ้งใจ ถึงกระทั่งเลื่อมใสจ้าวเฟิงเสียด้วยซ้ำไป

ในฝั่งของสำนักศักดิ์สิทธิ์เสวียนเจิน

จ้าวเฟิงเป็นจุดสนใจของกลุ่มคน ด้วยเพราะเขานำเฉินอี้หลินและพวกพิชิตอาณาจักรเผ่าเงือก ช่วงชิงผลึกน้ำตาเงือกกับสุราเซียนมายา ลอกเลียนแบบความสำเร็จเมื่อหลายพันปีก่อน ทำให้คนจำนวนไม่น้อยต้องนับถือ

“ศิษย์น้องจ้าว ต้องขอบใจผลึกน้ำตาเงือกและหญ้าเกล็ดม่วงของเจ้า”

หนานกงเซิ่งเอ่ยปนยิ้ม

หญ้าเกล็ดม่วงฟื้นฟูเพิ่มพลังสายเลือดของเขา ทำให้ห่างชั้นจากพวกเมิ่งซีและบุรุษหนุ่มหยางกวง ทั้งยังมีการป้องกันทางสายเลือดเพิ่มขึ้นด้วย

ส่วนผลึกน้ำตาเงือกช่วยชะล้างขอบเขตพลังของเขา เพราะอย่างไรหนานกงเซิ่งก็เพิ่งมีพลังในขั้นราชันไม่นานนัก

จ้าวเฟิงผงกศีรษะตอบอย่างรวดเร็ว

เขาคาดคะเนว่าอีกไม่นานเท่าไหร่ หนานกงเซิ่งจะต้องทะลวงผ่านขึ้นเป็นราชันในขอบเขตปราณเทวะได้อย่างแน่นอน

บนยอดเขาศักดิ์สิทธิ์

จ้าวเฟิงกลายเป็นจุดสนใจของสายตาหลายคู่ มีอัจฉริยะหญิงลอบส่งสายตาหวานหยดย้อยให้กับเขา

ในกลุ่มคนพวกนั้น ศิษย์พี่หนานและต่งเหวินเจี้ยนมีสีหน้าพิลึกพิลั่นอย่างยิ่ง

เพราะตอนที่เพิ่งเข้าไปภายในอุทยาน จ้าวเฟิงไม่ยอมรวมกลุ่มกับพวกเขา ทำให้พวกของศิษย์พี่หนานต้องยิ้มเก้อกระดาก

แต่ในเวลาเดียวกัน

อัจฉริยะส่วนหนึ่งในกลุ่มของศิษย์พี่หนานอดมีท่าทีเสียดายไม่ได้

ต่งเหวินเจี้ยนนึกเสียใจนัก เขาและจ้าวเฟิงล้วนเป็นศิษย์ของจักรพรรดิตวนมู่ชิง ถ้าหากในตอนนั้นตามจ้าวเฟิงไป อย่างน้อยๆ ก็น่าจะได้ส่วนแบ่งในอาณาจักรเงือกบ้าง

วูบ! วูบ! วูบ!

บนยอดเขาศักดิ์สิทธิ์

ผู้อาวุโสของสำนักส่วนหนึ่งซึ่งอยู่ในขั้นราชันเป็นอย่างน้อยค่อยๆ ปรากฏกายขึ้น

ส่วนมากพวกเขาต่างพากันกังวลในผลประโยชน์ที่เก็บเกี่ยวมาได้และความปลอดภัยของพวกคนรุ่นหลังเหล่านี้

ฟากของสำนักเสวียนเจินได้ถือเอาผลประโยชน์สมบูรณ์พร้อมของจ้าวเฟิง หนานกงเซิ่ง เฉินอี้หลิน และคนอื่น เป็นผู้มีชัยในการเปิดอุทยานครึ่งเซียนครั้งนี้

ราชันและจักรพรรดิต่างๆ เมื่อได้รู้ข่าวคราวความสามารถของจ้าวเฟิงก็รู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง

หากจะพูดถึงเรื่องผลประโยชน์ จ้าวเฟิงและหนานกงเซิ่งมีเท่าๆ กัน หรือน่าจะมีมากกว่าเล็กน้อยด้วยซ้ำ

แน่นอนว่าย่อมไม่มีผู้ใดรู้ว่าจ้าวเฟิงได้เลือดครึ่งเซียนมาด้วย

ครึ่งชั่วยามจากนั้น

จ้าวเฟิงเดินตามกลุ่มของสำนักเสวียนเจินกลับมายังยอดเขาจิตวิญญาณหลักอันเป็นที่ตั้งของสำนัก

“นายท่าน…”

เพิ่งถึงห้องพัก เศษเสี้ยวห้วงคิดคุนอวิ๋นในน้ำเต้าปราณมรกตก็ส่งเสียงลิงโลดปนสั่นสะท้านออกมา

มีอะไร?

ห้วงคิดเซียนของจ้าวเฟิงเข้าไปในน้ำเต้าปราณมรกตภายในแหวนเหล็กโบราณ

ทันทีที่เห็นเขาก็ต้องตกใจ

ภายในน้ำเต้าปราณมรกต นอกเหนือจากเศษเสี้ยวห้วงคิดคุนอวิ๋นและเลือดครึ่งเซียนแล้ว ยังมีพลังจิตวิญญาณที่ประหลาดอยู่ด้วย

“พลังของครึ่งเซียน!”

ดวงวิญญาณของจ้าวเฟิงเหมือนถูกกดดันในทันที

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version