บทที่ 672 งานฉลองของราชัน
เวลาสองช่วงลมหายใจสั้นๆ เลือดครึ่งเซียนก็ถูกดวงตาเทพเจ้าดูดซับเข้าไปอย่างรวดเร็วจนเหลือเพียงแค่กึ่งเดียวเท่านั้น
“นายท่าน รีบหยุดเถิด…”
เศษเสี้ยวห้วงคิดคุนอวิ๋นหวาดกลัวอย่างยิ่ง
สายเลือดดวงตาซ้ายของนายท่านมีความเป็นมาอย่างไรกันแน่ จึงสามารถใช้วิธีบ้าคลั่งดูดซึมเลือดครึ่งเซียนได้เช่นนี้
ยังดีที่จ้าวเฟิงหยุดการดูดซึมของดวงตาเทพเจ้าโดยฉับพลัน
ในมิติดวงตาซ้าย
ทะเลสาบพลังดวงตามีขนาดถึงเก้าสิบเก้าจั้ง ใกล้จะถึงหนึ่งร้อยจั้งไปทุกที
ภายในทะเลสาบพลังดวงตาจะมีระลอกคลื่นสีม่วงหลั่งไหลออกมาเป็นบางครั้ง
นอกจากนี้ กลิ่นอายของดวงตาเทพเจ้าเองก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้น ระดับขั้นสายเลือดดวงตาก็เหมือนว่าจะเพิ่มขึ้นด้วย
“เลือดครึ่งเซียนทำให้ดวงตาเทพเจ้าเกิดการเปลี่ยนแปลงและตื่นขึ้นอีกขั้นหนึ่ง” สีหน้าของจ้าวเฟิงเคร่งขึ้น
เมื่อทะเลสาบพลังดวงตาขยายขอบเขตไปจนถึงหนึ่งร้อยจั้งจะเกิดเหตุพลิกผัน
ในตอนนี้จ้าวเฟิงยังไม่ยินดีที่จะเข้าสู่ภาวะจำศีล
อีกทั้งอย่างน้อยๆ เขาต้องเหลือเลือดเซียนอีกครึ่งหนึ่งเพื่อใช้ชุบชีวิตครึ่งเซียนคุนอวิ๋น
“นายท่าน! ท่านไม่อาจดูดซึมพลังของเลือดครึ่งเซียนได้อีก”
เสียงของเศษเสี้ยวห้วงคิดคุนอวิ๋นแฝงไปด้วยความวิงวอนและคร่ำครวญ
เลือดครึ่งเซียนเป็นเพียงสิ่งเดียวที่สามารถทำให้มันเกิดใหม่อีกครั้งได้
ถึงอย่างไรมันก็ไม่ใช่แก่นแท้วิญญาณที่สมบูรณ์นัก จึงยังพอจะคืนชีวิตได้
“หลังจากที่ถือกำเนิดใหม่แล้ว เจ้าต้องรับปากว่าจะให้ข้าฝัง ‘เมล็ดดวงใจทมิฬ’ ” จ้าวเฟิงเอ่ยเสียงเรียบ
หลังจากครึ่งเซียนคุนอวิ๋นคืนชีวิตด้วยเลือดแล้ว พลังและความสามารถจะไม่อาจคาดคะเนได้
‘เลือดครึ่งเซียน’ ที่จ้าวเฟิงดูดซึมไปครึ่งหนึ่งนั้น ไม่ใช่เพียงเพื่อเพิ่มระดับความสามารถของตนเอง ในเวลาเดียวกันเขายังต้องการบั่นทอนพลังของครึ่งเซียนที่จะถือกำเนิดใหม่เพื่อลดความเสี่ยงลงด้วย
“…ข้ารับปาก”
เศษเสี้ยวห้วงคิดคุนอวิ๋นครุ่นคิดอยู่หนึ่ง สุดท้ายจึงรับปาก
เมล็ดดวงใจทมิฬไม่ใช่ของต้องห้ามเท่าตราผนึกดวงใจทมิฬที่ส่งผลให้เป้าหมายเป็นทาสทั้งร่างกายและจิตใจ
เป้าหมายที่ถูกฝัง ‘เมล็ดดวงใจทมิฬ’ ลงไป มีเพียงแค่ชีวิตที่ต้องเผชิญกับอันตราย แต่ยังมีสตินึกคิดที่เป็นอิสระ และพัฒนาการก็ไม่ได้รับผลกระทบใดๆ
“รอข้า ‘ชุบชีวิตด้วยเลือด’ ก่อนเถอะ เมื่อพลังเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดจนถึงระดับขั้นหนึ่ง ก็จะสามารถคลาย ‘เมล็ดดวงใจทมิฬ’ ได้อย่างสบายๆ”
เศษเสี้ยวห้วงคิดคุนอวิ๋นคิดแผนการของตน
จ้าวเฟิงไม่ได้ใส่ใจเศษเสี้ยวห้วงคิดคุนอวิ๋น แล้วเริ่มตรวจสอบร่างกายของตนเอง
พลังเลือดบริสุทธิ์ของครึ่งเซียน นอกจากจะถูกดวงตาเทพเจ้าดูดซึมไปไม่น้อยแล้ว ยังมีส่วนหนึ่งที่ร่างกายของจ้าวเฟิงดูดซึมและสะสมเอาไว้
หลังจากที่ตรวจสอบไปพักหนึ่ง จ้าวเฟิงก็ตกใจอยู่บ้าง
สภาวะวิญญาณของเขาแตะไปถึงขั้นเหนือกว่าราชัน แล้วยังมีพลังเลือดเซียนส่วนหนึ่งสะสมอยู่ภายในร่าง กลายเป็นพลังแฝงจำนวนมหาศาล
“ขอเพียงแปรผันพลังแฝงเหล่านี้ให้หมด ทั้งสภาวะวิญญาณและพลังฝึกตนของข้าก็จะเพิ่มขึ้นอีกมาก” จ้าวเฟิงวางใจ
การทะลวงผ่านไปขั้นราชัน สำหรับเขาแล้วมีปัญหาอยู่ที่เวลา อย่างน้อยๆ ต้องใช้เวลาถึงหนึ่งปี
แต่ถ้าหากเปลี่ยนเป็นยอดผู้สูงศักดิ์ธรรมดา การจะเพิ่มระดับขึ้นขั้นหนึ่งต้องใช้เวลาหลายสิบปีหรืออาจยาวนานกว่านั้น
สำหรับขอบเขตพลังขั้นราชัน ขอบเขตแก่นก่อกำเนิดจำนวนมากที่มีอายุขัยหลายร้อยปีก็อาจจะไม่สามารถสัมผัสพลังเช่นนี้ได้
ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เห็นได้ถึงความสำคัญของโอกาส
จ้าวเฟิงใช้น้ำอมฤต เลือดครึ่งเซียน กลิ่นอายห้วงฝันบรรพกาล และพลังอื่นๆ ทำให้ระดับขั้นชีวิตมาถึงราชันที่สูงส่งเหนือผู้ใด
ในเวลาเดียวกัน
สุราเซียนมายากับเนตรสวรรค์ก็ทำให้เขาลึกซึ้งในสำนึกรู้ราชา และมีพลังครึ่งก้าวสู่ราชันได้
ในมือของจ้าวเฟิงยังมีสุราเซียนมายาอยู่อีกบางส่วน
ต่อให้เขาไม่ใช้ก็มีพลังในขั้นราชันที่สมบูรณ์ได้โดยไม่ต้องพยายาม
“ตอนนี้ยังไม่ต้องรีบมีพลังราชัน รอมรดกวายุอัสนีของข้าฝึกฝนจนลึกซึ้งไปจนถึงระดับที่สูงกว่านี้ก่อน ถึงตอนนั้นพลังขั้นราชันก็จะยิ่งแข็งแกร่งขึ้น” จ้าวเฟิงเปลี่ยนความคิด
ในเวลานี้ เขาไม่สามารถทำความเข้าใจในสำนึกรู้ราชาได้เช่นกัน
เพราะทันทีที่ทำเช่นนั้น ดวงตาเทพเจ้าของเขาก็อาจเกิดการเปลี่ยนครั้งใหม่ขึ้นอีก
จ้าวเฟิงถือโอกาสเริ่มลองควบคุม ‘ธนูเหนือนภา’
ธนูเหนือนภาเป็นอาวุธศักด์สิทธิ์ประเภทมรดก ระดับขั้นจริงๆ อาจถึงขั้นนภาเลยก็เป็นได้
จ้าวเฟิงรู้สึกอยู่เสมอว่าของจำพวกคันธนูอยู่เหนืออาวุธวิเศษและเหมาะกับตนเอง
อีกทั้งธนูเหนือนภามีพลังทำลายข้อจำกัดต่างๆ ของมิติได้
เป้าหมายที่โดนมันเล็งไว้จะไม่สามารถหลบหนีไปได้เลย
แต่ทว่าอยากจะฝึกคันธนูดังกล่าวก็ไม่ใช่เรื่องงง่ายนัก
ธนูเหนือนภาตามจ้าวเฟิงออกมา เป็นเพราะว่าความสามารถของทั้งสองเข้ากันได้เป็นอย่างดี
แต่ระดับการฝึกตนของจ้าวเฟิงด้อยกว่ามาก
เจ้านายคนก่อนของธนูเหนือนภา จะมีใครบ้างที่ไม่ใช่คนในระดับจักรพรรดิขึ้นไป?
ขนาดเจ้านายคนก่อนของหอกจักรพรรดิเหมันต์ หากไม่ใช่ราชันก็เป็นจักรพรรดิ แล้วนับประสาอะไรกับธนูเหนือนภาที่อยู่ในระดับสูงส่งกว่า
ในขั้นตอนการควบคุมนั้น จ้าวเฟิงต้องประสบกับแรงต่อต้าน
หนึ่งคือธนูเหนือนภาสูงส่งเกินไป ไม่ยอมรับในตัวจ้าวเฟิงทั้งหมด
สองคือขอบเขตการฝึกตนของจ้าวเฟิงไม่เพียงพอ
พลังครึ่งก้าวสู้ราชันของจ้าวเฟิงยังไม่อาจได้รับการยอมรับจากธนูเหนือนภาโดยสมบูรณ์
“เช่นนั้นก็ลองนี่แล้วกัน…”
จ้าวเฟิงเอาพลังของดวงตาเทพเจ้าแทรกเข้าไปในธนูเหนือนภา
วิ้ง~
พื้นผิวสลักลายของธนูเหนือนภาส่องแสงสีเงิน บนคันธนูเต็มไปด้วยไอเย็นยะเยือกสีทองหมุนวนไม่ไปไหน
เห็นได้ชัดเลยว่าที่ธนูเหนือนภายอมรับจ้าวเฟิงในเบื้องต้น สาเหตุหลักๆ ก็เป็นเพราะดวงตาเทพเจ้า
“เช่นนั้นลองนี่ดูอีกที…”
จ้าวเฟิงเม้มปาก จากนั้นเอากลิ่นอายห้วงฝันบรรพกาลหลอมรวมเข้าในธนูเหนือนภา
พรึ่บ วิ้ง!
คันธนูของธนูเหนือนภาสั่นสะเทือน ส่งเสียงร้องดัง ลำแสงสีทองเงินเกี่ยวพันด้านบนของคันธนู แล้วสาดกลิ่นอายเย็นยะเยือกทะลวงผ่านฟ้าและดินไป
ร่างกายและจิตใจของจ้าวเฟิงเกิดความรู้สึกคล้ายโดนความหนาวเย็นทะลวงผ่านร่าง
ขนาดเศษเสี้ยวห้วงคิดคุนอวิ๋นที่อยู่ภายในน้ำเต้าปราณมรกตก็ยังรู้สึกตื่นตระหนกเช่นกัน
“ดีมาก กลิ่นอายของห้วงฝันบรรพกาลและสายเลือดดวงตาช่วยให้ได้รับการยอมรับจากอาวุธด้วย” จ้าวเฟิงลอบผงกศีรษะ
แล้วหลายวันต่อจากนั้น การยึดครองธนูเหนือนภาก็ราบรื่นมาก
ใช้เวลาไปทั้งหมดหกเจ็ดวัน จ้าวเฟิงจึงได้รับการยอมรับจากธนูเหนือนภาอย่างสมบูรณ์และยึดครองมันได้
ในฐานะที่เป็นมรดกอาวุธศักดิ์สิทธิ์ พลังครึ่งก้าวสู่ราชันของจ้าวเฟิงยังพอจะฝืนควบคุมธนูคันดังกล่าวได้
แต่ในตอนนี้จ้าวเฟิงยังไม่อยากให้ไพ่ไม้ตายอย่าง ‘ธนูเหนือนภา’ เล็ดลอดออกไป
ในวันที่สามที่จ้าวเฟิงยึดครอง ‘ธนูเหนือนภา’ ได้สำเร็จ
สำนักศักดิ์สิทธิ์เสวียนเจินก็มีราชันคนใหม่ถือกำเนิดขึ้น
ราชันคนใหม่ผู้นั้นก็คือหนานกงเซิ่ง
“วัยสามสิบกว่าปีก็ทะลวงผ่านไปขั้นราชัน นี่เป็นการทำลายสถิติที่มีมากว่าหมื่นปีของสำนักศักดิ์สิทธิ์เสวียนเจิน”
“ไม่เสียทีที่เป็นอัจฉริยะซึ่งมี ‘กายจิตวิญญาณฟ้า’ และ ‘กายจิตว่าง’ ในเวลาเดียวกัน ”
ทุกคนในสำนักศักดิ์สิทธิ์เสวียนเจินต่างพูดถึงเรื่องนี้
เกิดราชันขึ้นคนหนึ่ง ถึงจะเป็นสำนักสามดาวก็ยังถือเป็นเรื่องที่ควรค่าแก่การยินดี
ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นราชันที่มีอายุน้อยเช่นนี้อีก
เรื่องนี้ทำให้ทั่วทั้งดินแดนศักดิ์สิทธิ์เจินอู่ต้องสั่นสะเทือน
แล้วในวันต่อมา คนระดับสูงในสำนักศักดิ์สิทธิ์ก็จัด ‘งานเลี้ยงฉลอง’ ให้หนานกงเซิ่ง
จ้าวเฟิงเองก็ได้รับคำเชิญให้ไปรวมงานฉลองด้วย
งานเลี้ยงฉลองในครั้งนี้ใหญ่โตกว่างานรับศิษย์ที่ตวนมู่ชิงจัดครั้งก่อนมาก
ผู้ขึ้นชื่อว่าเป็นราชัน พลังล้วนแต่แกร่งกล้า สถานภาพจึงอยู่สูง
อีกทั้งราชันที่มีอายุน้อยจนทำลายสถิติหมื่นปีได้เช่นนี้ อนาคตในภายภาคหน้าของเขาย่อมไม่อาจคาดคะเนได้ ภายในสำนัก จักรพรรดิและราชันจำนวนไม่น้อยอยากสร้างสัมพันธ์ที่ดีกับหนานกงเซิ่ง
ด้วยศักยภาพของเขา จะขึ้นเป็นจักรพรรดิก็มีโอกาสเป็นไปได้อย่างมาก หรือกระทั่งหลายพันหลายหมื่นปีจากนี้อาจจะกลายเป็นเซียนในขอบเขตเทวาเร้นลับ เป็นนายเหนือหัวของดินแดนศักดิ์สิทธิ์
จ้าวเฟิงมาถึงงานเลี้ยงฉลองแล้ว
ภายในซากปรักหักพังครึ่งเซียน หนานกงเซิ่งเป็นพันธมิตรที่แข็งแกร่งอย่างยิ่งของจ้าวเฟิง
หากว่าไม่ได้เขา จ้าวเฟิงก็ไม่อาจเอาชนะบุรุษหนุ่มหยางกวง และอาจตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายอย่างยิ่งยวด
ในงานเลี้ยงฉลอง หนานกงเซิ่งย่อมเป็นจุดสนใจของสายตาหลายคู่ ราวกับเป็นจันทราที่สาดแสงในคืนเดือนมืด
ขนาดจักรพรรดิเก่าแก่ส่วนหนึ่งยังสนทนากับเขาด้วยความเกรงใจนัก
“ศิษย์น้องจ้าว เจ้ามาแล้ว” หนานกงเซิ่งยิ้มแย้มแล้วเดินเข้ามาทักทายจ้าวเฟิงด้วยตัวเอง
ภายในอุทยานครึ่งเซียน พลังที่จ้าวเฟิงแสดงออกมาทำให้หนานกงเซิ่งต้องมองเขาใหม่
ก่อนที่จะเป็นราชัน หนานกงเซิ่งเห็นจ้าวเฟิงเป็นศัตรูที่แข็งแกร่ง
ทว่าในตอนนี้ หนานกงเซิ่งทะลวงขึ้นเป็นราชัน ความสามารถก้าวกระโดด แข็งแกร่งกว่าราชันในขอบเขตปราณเทวะทั่วไปไม่น้อย
“ศิษย์พี่หนาน ยินดีด้วยที่ท่านทะลวงขั้นได้ ข้าและศิษย์คนอื่นในรุ่นเดียวกันทำได้เพียงแหงนหน้ามอง”
จ้าวเฟิงยิ้มเล็กน้อย แล้วดื่มเหล้าคารวะหนานกงเซิ่งจอกหนึ่ง
หนานกงเซิ่งเอ่ยยิ้มๆ “ศิษย์น้องจ้าวอย่าได้ถ่อมตนไปเลย ความสามารถของเจ้าในตอนนี้ จะขึ้นเป็นราชันในเวลาสองสามปีย่อมไม่ใช่ปัญหา”
เมื่อหนานกงเซิ่งเอ่ยเช่นนี้ก็เกิดเสียงวิจารณ์ขึ้นภายในงาน
“ขึ้นเป็นราชันภายในเวลาสองสามปี?”
ศิษย์ร่วมสำนักคนอื่นๆ ในงานเลี้ยงฉลองแทบไม่เชื่อหูตัวเอง
ราชันอยู่เหนือคนทั้งปวง สูงส่งแข็งแกร่ง เป็นพลังยิ่งใหญ่ระดับสูงในสำนักสองและสามดาว
ห้วงความคิดเซียนของราชันและจักรพรรดิส่วนหนึ่ง ในขณะที่กวาดผ่านจ้าวเฟิงก็ต้องตึงเครียด
หลังออกจากอุทยานครึ่งเซียน เรื่องที่จ้าวเฟิงมีพลังของครึ่งก้าวสู่ราชันในร่างก็ไม่ใช่ความลับอะไรอีก
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จ้าวเฟิงเข้าไปในอุทยานครึ่งเซียนแล้วลอบเข้าอาณาจักรเงือก ช่วงชิงผลึกน้ำตาเงือก น้ำอมฤต สุราเซียนมายา และของมีค่าทางวิญญาณมา ทั้งยังลอกเลียนแบบความสำเร็จของอัจฉริยะดินแดนศักดิ์สิทธิ์คนก่อนได้สำเร็จ
ไม่เพียงเท่านั้น
จ้าวเฟิงจับองค์หญิงเผ่าเงือก ของที่เก็บเกี่ยวได้จึงมากกว่าอัจฉริยะคนก่อนมาก
มองจากกลยุทธ์แล้วเขาเหนือกว่า เพราะว่าอัจฉริยะคนนั้นต้อง อาศัยโชคชะตาอยู่มากจึงประสบความสำเร็จ
“ขอให้เป็นอย่างที่ศิษย์พี่หนานพูดเถิด”
จ้าวเฟิงไม่ได้ปฏิเสธคำสรุปของหนานกงเซิ่ง
“เป็นแค่ขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูง จะขึ้นเป็นราชันในช่วงสองสามปีงั้นเรอะ?”
สมาชิกและลูกศิษย์สำนักคนอื่นไม่เอ่ยปากเห็นด้วยหรือปฏิเสธ
แต่แววตาที่เหล่าจักรพรรดิและราชันคนอื่นๆ จับจ้องไปที่จ้าวเฟิงกลับเคร่งขรึมเพิ่มขึ้น
ในความเป็นจริง จ้าวเฟิงไม่ปฏิเสธก็เป็นการถ่อมตนอย่างมากแล้ว
พลังขั้นราชันไม่ได้ยากอะไรสำหรับจ้าวเฟิง ระดับขั้นชีวิตของเขาก็แตะถึงราชันไปแล้วด้วยซ้ำ
นอกจากนี้ จ้าวเฟิงยังไม่ได้ดูดซึมเลือดครึ่งเซียนไปจนหมด แล้วยังมีทรัพยากรล้ำค่าที่ยังไม่ได้ใช้อีกมาก
“การพัฒนาของจ้าวเฟิงผู้นี้เร็วเกินไปแล้ว…”
คนที่สนิทชิดเชื้อกับจ้าวเฟิงอย่างเฉินอี้หลิน เจียงฟาน กับต่งเหวินเจี้ยน ต่างใจเต้นกระตุก
ในขณะที่เข้าไปภายในอุทยาน จ้าวเฟิงเพิ่งจะอยู่แค่ขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับต่ำ
แต่ในตอนนี้ หลังจากที่เขาดูดซึมพลังส่วนหนึ่งของเลือดครึ่งเซียนไปแล้ว พลังฝึกตนก็เข้าใกล้ขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูงช่วงกลางในทันที
ถ้าหากจ้าวเฟิงสามารถขึ้นเป็นราชันได้ในสองสามปี เช่นนั้นเขาก็จะทำลายสถิติของหนานกงเซิ่ง
…ขึ้นเป็นราชันด้วยอายุไม่เกินสามสิบปี!
อายุในตอนนี้ของจ้าวเฟิงยังไม่เกินยี่สิบสองยี่สิบสามปี
ในตอนที่เขาเริ่มฝึกตนที่สกุลจ้าวก็อายุประมาณสิบสามสิบสี่ปี
ภายในงานเลี้ยงฉลอง
จ้าวเฟิงจึงกลายเป็นจุดสนใจอันดับสองนอกเหนือจากหนานกงเซิ่ง
หนานกงเซิ่งมองเขาเป็นคู่ต่อสู้ที่มีอยู่ไม่มากในรุ่นเดียวกัน
ด้วยสายเลือดดวงตาของจ้าวเฟิง ทันทีที่ขึ้นเป็นราชันย่อมต้องกลายมาเป็นศัตรูตัวฉกาจของเขาแน่
ครึ่งวันต่อมา
หลังจากที่งานเลี้ยงฉลองจบลง จ้าวเฟิงก็กลับไปที่คฤหาสน์ของตวนมู่ชิงอีกครั้ง
“ท่านอาจารย์ ท่านจะกลับมาดินแดนศักดิ์สิทธิ์เจินอู่เมื่อไหร่กัน”
จ้าวเฟิงทอดสายตามองไปยังร่างเงาปราณเทวะของจักรพรรดิตวนมู่ชิง
เงาปราณเทวะนั้น ถึงรูปลักษณ์ภายนอกจะเหมือนกับตวนมู่ชิงไม่มีผิดเพี้ยน แต่ว่าก็เป็นเพียงแค่ร่างเงาเท่านั้น
“อาจจะอีกครึ่งเดือน ข้ากำลังช่วยหยูเฟยสืบทอดซากปรักหักพังสือเฉิงทั้งหมด แล้วสร้างมันให้กลายเป็นโลกของนาง”
ร่างเงาปราณเทวะเอ่ยตอบ
จ้าวเฟิงตกใจอย่างยิ่ง
ปกติแล้วมีเพียงแค่คนในขั้นจักรพรรดิเท่านั้นจึงจะสร้างโลกของตนเองขึ้นมาได้
โลกของตัวเองนั้นก็คือมิติเล็กๆ ที่เจ้าตัวสร้างขึ้น
เหมือนกับอุทยานาครึ่งเซียนที่เป็นอุทยานลับที่ครึ่งเซียนสร้างขึ้นในกาลก่อน
ด้วยระดับการฝึกตนของหยูเฟย จะสามารถควบคุมอาณาเขตส่วนตัวได้อย่างไรกัน?
ถึงจ้าวเฟิงจะไม่เข้าใจ แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมากมายนัก
เขากลับไปที่ห้องโถงลับ สูดหายใจลึก แล้วจึงดูดซึม ‘เลือดครึ่งเซียน’ ที่ถูกผนึกด้วยน้ำแข็งเข้าไป
“ชุบชีวิตด้วยเลือด ในที่สุดก็จะเริ่มขึ้นแล้ว…”
เศษเสี้ยวห้วงคิดคุนอวิ๋นดีใจจนเนื้อเต้น