บทที่ 684 การประลองศาสตร์อัสนี (2)
“วิชาหมื่นอัสนีห้าสาย? เจ้าหนุ่ม! เจ้าอย่าเพ้อฝันไปไกลไปหน่อยเลย!”
“วิชาหมื่นอัสนีเป็นเคล็ดวิชาอันดับหนึ่งของสำนักนี้ เป็นวิชาเซียนในศาสตร์อัสนีที่เก่าแก่ที่สุดในดินแดนชางไห่”
จักรพรรดิทั้งสามตอบโต้อย่างรุนแรงยิ่ง
‘ความต้องการที่ไร้เหตุผล’ ของจ้าวเฟิงเกือบจะทำให้พวกเขาร้องคำรามอย่างโกรธเกรี้ยว
“จ้าวเฟิง เจ้าไม่มีคุณสมบัติกายจิตวิญญาณอัสนีเฉพาะตัว ‘วิชาหมื่นอัสนีห้าสาย’ ไม่มีประโยชน์อะไรกับเจ้าแม้แต่น้อย”
หญิงสาวผู้งามเฉิดฉายยิ้มอย่างไม่แยแส
ในเรื่องนี้จ้าวเฟิงย่อมรู้ดีอยู่แล้ว
จักรพรรดิวายุอัสนีในอดีต ขณะที่ฝึกฝนอยู่ในสำนักหมื่นอัสนีก็ไม่สามารถฝึกฝน ‘วิชาหมื่นอัสนีห้าสาย’ ได้ แต่กลับใช้วิธีการอื่นฝึกวิชาวายุอัสนีมาได้
แต่ว่าจ้าวเฟิงประเมินได้อย่างหนึ่ง
สิ่งที่แฝงอยู่ใน ‘วิชาหมื่นอัสนีห้าสาย’ จริงๆ แล้วระดับขั้นวิชาอยู่เหนือกว่า ‘มรดกวายุอัสนี’ ด้วยซ้ำไป
ข้อเสียเพียงอย่างเดียวคือ วิชาหมื่นอัสนีนี้มีเงื่อนไขที่สูงส่งอย่างยิ่ง หมื่นปีที่ผ่านมายังหาอัจฉริยะที่มีคุณสมบัติเหมาะสมไม่เจอเลยสักคน
ทว่าเมื่อมีคุณสมบัติกายจิตวิญญาณอัสนีที่เหมาะสม แล้วฝึกฝน ‘วิชาหมื่นอัสนีห้าสาย’ อานุภาพที่ได้จะทำให้สามารถพิชิตทั่วหล้าและครอบครองวิชาศาสตร์อัสนีในฟ้าดิน
เหล่ยเจิ้นผู้นั้น ในยามก่อนติดอยู่ในรายชื่อสิบอัจฉริยะแห่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์ด้วยพลังฝึกตนในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูงช่วงกลาง อีกทั้งยังติดอันดับต้นๆ เสียด้วย
ในวันนี้ที่พบเจอกัน
การฝึกตนของเหลยเจิ้นขยับขึ้นไปถึงขอบเขตแก่นกำเนิดระดับสูงช่วงปลาย หนำซ้ำกลิ่นอายศาสตร์อัสนียิ่งสาดซัดออกมาก็ยิ่งลึกล้ำ
“หากจะพูดเรื่องลักษณะการใช้แล้ว ‘มรดกวายุอัสนี’ ยังเหนือกว่า ‘วิชาหมื่นอัสนีห้าสาย’ แล้วไหนจะมีศีรษะอำนาจเทวะอีก นี่น่าจะเป็นจุดเดิมพันของข้าได้”
จ้าวเฟิงวิเคราะห์แจกแจงช้าๆ
ผู้คนในที่ดังกล่าวเข้าใจในทันที
นี่คือศึกข้อพิพาท
ถ้าหากว่าจ้าวเฟิงพ่ายแพ้จะต้องคืน ‘มรดกวายุอัสนี’ และ ‘ศีรษะอำนาจเทวะ’ ไป
ในทางกลับกัน สำนักหมื่นอัสนีก็ต้องเอาของเดิมพันที่สมน้ำสมเนื้อออกมาด้วย
จ้าวเฟิงระบุไว้แล้วว่าต้องการ ‘วิชาหมื่นอัสนีห้าสาย’ ที่เป็นมรดกพื้นฐานสำคัญที่สุดของสำนักหมื่นอัสนี
“มรดกวายุอัสนีของข้า ระดับชั้นของส่วนประกอบพอจะเห็นได้ว่าไม่มากพอ ถ้ารวม ‘วิชาหมื่นอัสนีห้าสาย’ กับศีรษะอำนาจเทวะเข้าไป จะทำให้ขึ้นไปถึงขั้นที่สูงกว่า”
จ้าวเฟิงคิดในใจ
ถึงแม้มรดกวายุอัสนีจะแข็งแกร่ง แต่กับ ‘มรดกสือเฉิง’ ‘วิชาหมื่นอัสนีห้าสาย’ หรือว่าเคล็ดวิชาลับของเซียนส่วนหนึ่งก็ยังมีความต่างกันอยู่
มรดกวายุอัสนี อย่างมากก็ทำได้เพียงช่วยให้จ้าวเฟิงบรรลุขั้นจักรพรรดิช่วงสุดยอด หรือไม่ก็เกือบจะแตะขอบเขตเทวาเร้นลับได้
แต่มรดกสือเฉิงกับ ‘วิชาหมื่นอัสนีห้าสาย’ อย่างน้อยก็ฝึกฝนได้ถึงขั้นครึ่งเซียน กระทั่งแตะถึงขอบเขตเซียนสวรรค์
นี่คือข้อแตกต่างทั้งหมดที่มี
“หากพวกเราไม่เห็นด้วยกับการวางเดิมพัน เจ้าหนุ่มนั่นคงไม่ยอมรับคำท้าประลอง”
จักรพรรดิทั้งสามของสำนักหมื่นอัสนีถกกันเสียงต่ำ
เมื่อคำนวณดูแล้ว คุณสมบัติของ ‘มรดกวายุอัสนี’ รวมกับ ‘ศีรษะอำนาจเทวะ’ ก็มากพอที่จะใช้เดิมพันกับ ‘วิชาหมื่นอัสนีห้าสาย’ ได้
เพราะมรดกวายุอัสนีใช้ประโยชน์ได้ดีกว่า แถมยังสามารถสร้างจักรพรรดิที่รวดเร็วเป็นหนึ่ง หากพูดถึงแค่ด้านความว่องไว ‘วิชาหมื่นอัสนีห้าสาย’ อาจจะทำไม่ได้เช่นนั้น
แล้วยิ่งไปกว่านั้น ศีรษะอำนาจเทวะยังมีมูลค่าอย่างหาที่เปรียบมิได้ต่อสำนักสายอัสนี
“ได้ พวกข้าตกลง”
จักรพรรดิอัสนีทมิฬผงกศีรษะอย่างเคร่งขรึม
เพื่อป้องกันไม่ให้จ้าวเฟิงพ่ายแพ้แล้วบิดพลิ้ว จักรพรรดิอัสนีทมิฬจึงเชิญจักรพรรดิที่เป็นกลางสองสามคนมาเป็นสักขีพยาน
ศีรษะอำนาจเทวะและ ‘เคล็ดวิชาหมื่นอัสนีห้าสาย’ อยู่ในมือของจักรพรรดิที่เป็นกลางพวกนั้นชั่วคราว
สำหรับเรื่องนี้จ้าวเฟิงยิ้มน้อยๆ แต่ไม่เอ่ยอะไรออกมา
จากนั้นไม่นาน
บนเวทีประลองราชันที่แท้จริง ณ ยอดเขาจิตวิญญาณหลัก
จ้าวเฟิงและเหลยเจิ้นยืนอยู่คนละฟากของเวที
จักรพรรดิผู้เป็นกลางสองสามคนเป็นผู้ตัดสิน แล้วยังมีราชันกับจักรพรรดิจำนวนนับสิบที่สนใจการต่อสู้ในครั้งนี้
การประลองครั้งนี้กลายเป็นจุดสนใจของสามสิบสามสำนักระดับสองดาวและสองสำนักใหญ่ระดับสามดาวทั่วทั้งดินแดนศักดิ์สิทธิ์เจินอู่
“จ้าวเฟิง ตามข้อตกลงการประลองเดิมพัน เจ้าจะต้องเอาชนะด้วยมรดกวายุอัสนีเท่านั้น หากใช้วิชาอื่นเช่นสายเลือดดวงตาจะถูกปรับแพ้เดิมพัน”
กรรมการในระดับจักรพรรดิท่านหนึ่งกล่าวกำชับ
“ข้าเข้าใจ” จ้าวเฟิงพยักหน้า
ถ้าหากไม่จำกัดวิธีการ เพียงเจตจำนงดวงตาของเขาก็สามารถเอาชนะเหลยเจิ้นได้
จักรพรรดิทั้งสามแห่งสำนักหมื่นอัสนีมองออกว่าระดับชั้นวิญญาณของจ้าวเฟิงน่าจะบรรลุถึงขั้นราชันเป็นอย่างน้อย
“จ้าวเฟิง! มรดกวายุอัสนีของเจ้าเมื่อเผชิญหน้ากับข้าแล้วก็ไร้ประโยชน์”
เหลยเจิ้นเลียริมฝีปาก
ขณะอยู่ในอุทยานครึ่งเซียน ทั้งสองเคยปะทะกันมาก่อนเป็นเวลาสั้นๆ
จ้าวเฟิงใช้พลังครึ่งก้าวสู่ราชัน ตกอยู่ในสถานการณ์เสียเปรียบเล็กน้อย
ในเวลานั้นความสามารถที่แท้จริงของเหลยเจิ้นยังไม่ได้แสดงออกมา
“เช่นนั้นก็ลองดูเถิด” สีหน้าของจ้าวเฟิงเย็นชา
“เริ่มได้!”
ทันทีที่สิ้นเสียง ร่างทั้งสองหายไปแทบจะในเวลาเดียวกัน
แซ่ด แซ่ด วิ้ง!
เงาร่างวายุสีชาดและเงาร่างอัสนีห้าสีบนเวทีขยับวูบวาบอย่างรวดเร็ว
ความเร็วของทั้งสองล้วนแตะถึงขั้นสุดยอด
ศาสตร์อัสนีเดิมทีเด่นในเรื่องความเร็ว คนขั้นต่ำกว่าราชันลงไปแทบจะมองไม่เห็นการเคลื่อนที่ของร่างเงาทั้งสอง
“ความเร็วของจ้าวเฟิงจะเร็วกว่าอยู่ส่วนหนึ่ง”
เหล่าห้วงคิดเซียนที่วนเวียนอยู่บนเวทีราชันที่แท้จริงกลับมองเห็นอย่างชัดเจน
มรดกวายุอัสนีเป็นการผสมผสานกันระหว่างวายุกับอัสนี จึงมีเสวียนอ้าวความเร็วที่อยู่เหนือความเร็วใดๆ ในฟ้าดิน
ปัง ปัง!
จ้าวเฟิงชิงลงมือโจมตีก่อน เรียกแสงกรงเล็บวายุอัสนีที่สีม่วงแดงออกมา เงาแสงอัสนีกว้างเป็นร้อยจั้งปรากฏขึ้น กลิ่นอายของการเผาไหม้ทำลายล้างกดดันคละคลุ้งไปในอากาศ
“ฝีมืออ่อนหัด!!”
เหลยเจิ้นไม่หลบ ยืนนิ่งอยู่กับที่ไม่ไหวติง บนร่างผุดลายเส้นอัสนีโบราณสีเหลืองสว่าง
ลายเส้นอัสนีเหมือนยิ่งปรากฏตามลำตัวมากขึ้น แล้วเกาะกลุ่มรวมกันเป็นเกราะอัสนี
ฟิ้ว โครม!
กรงเล็บแสงวายุอัสนีปะทะไปบนร่างเหลยเจิ้นจนเกิดเสียงปะทุเผาไหม้
บนเกราะลายอัสนีปรากฏรอยร้าวเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
“ฮ่าฮ่าฮ่า…ไม่มีประโยชน์หรอก! กายจิตวิญญาณอัสนีโบราณของข้าได้ฝึกฝน ‘วิชาหมื่นอัสนี’ จึงสามารถควบคุมทุกศาสตร์สายฟ้าในโลกนี้ได้”
เหลยเจิ้นยังอยู่ที่เดิม ร่างกายไม่มีบาดแผลใด
หืม?
จ้าวเฟิงค้นพบว่าพลังอัสนีที่ตนใช้โจมตี มีบางส่วนที่ถูกเหลยเจิ้นซึมซับไป
พูดได้ว่าการโจมตีของจ้าวเฟิงไม่เพียงแต่ทำอะไรเหลยเจิ้นไม่ได้ แต่ยังช่วยเพิ่มพลังให้อีกฝ่ายด้วย
“หมื่นอัสนีลงทัณฑ์ลงทัณฑ์!!”
เหลยเจิ้นตะโกนเสียงดัง มือสองข้างแบออก ลำแสงอัสนีนับพันนับหมื่นเส้นพวยพุ่งออกในอากาศ
สายฟ้าห้าหกสีที่มองเห็นด้วยตาเปล่าปรากฏเป็นงูอัสนี พลังรุนแรงมหาศาลทำให้สว่างไสวไปทั่วฟ้าดิน
โครม โครม!
อัสนีหลายพันหมื่นเส้นสายกระจายทั่วผืนฟ้า พุ่งโจมตีจ้าวเฟิงอย่างมืดฟ้ามัวดิน
“กายจิตวิญญาณอัสนีโบราณ เสียงสายฟ้าสะท้อนกึกก้อง พลังแข็งแกร่งอย่างยิ่ง”
บนสำนักศักดิ์สิทธิ์เสวียนเจิน เหล่าลูกศิษย์และสมาชิกในสำนักส่วนหนึ่งมีสีหน้าตื่นตระหนกตกใจ
พลังที่รุนแรงในระดับขั้นนี้ คนที่อยู่ต่ำกว่าขั้นราชันลงไปจะสามารถรับการโจมตีซึ่งๆ หน้าได้อย่างไร?
“วายุอัสนีร้อยเงา!”
ร่างของจ้าวเฟิงปลดปล่อยกลุ่มวายุอัสนีที่สว่างระยิบระยับ
แซ่ด! พรึ่บ พรึ่บ พรึ่บ…
ชั่วพริบตาเดียว
บนเวทีราชันที่แท้จริงก็ปรากฏเงาวายุอัสนีของจ้าวเฟิงจำนวนนับร้อย แล้วกระจายตัวไปยังจุดต่างๆ อย่างรวดเร็ว
‘หมื่นอัสนีลงทัณฑ์’ ของเหลยเจิ้นคลาดกับเป้าหมายซึ่งเป็นร่างที่แท้จริงของจ้าวเฟิงไป
กระบวนท่านี้ของเขาเป็นการโจมตีศาสตร์อัสนีแบบเน้นพื้นที่ มุ่งโจมตีเข้าที่จุดเดียว การโจมตีรุนแรงเข้าใกล้ระดับขั้นราชันเลยทีเดียว
แต่เมื่อคลาดกับร่างจริงของจ้าวเฟิงแล้ว ‘หมื่นอัสนีลงทัณฑ์’ ก็ไม่อาจรวมเป็นจุดเดียวได้ อัสนีที่เน้นอาณาเขตเช่นนี้ไม่สามารถทำร้ายร่างจริงของจ้าวเฟิงได้
เพล้ง! เพล้ง! เพล้ง!
บนเวทีราชันที่แท้จริง เงาวายุอัสนีค่อยๆ แตกสลายทีละร่าง
ทว่าเคล็ดวิชาที่เน้นอาณาเขตแบบ ‘หมื่นอัสนีลงทัณฑ์’ สิ้นเปลืองพลังไม่น้อย จึงไม่อาจใช้ได้นานๆ
วูบ! วูบ! วูบ!
ร่างเงาวายุอัสนีนับสิบร่างของจ้าวเฟิงตรงดิ่งไปยังเหลยเจิ้น
“มาแล้ว!”
มุมปากของเหลยเจิ้นยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม ในเงาวายุอัสนีนับสิบร่างนั้น ร่างไหนคือร่างจริงไม่สำคัญอีกต่อไปแล้ว
“ถอยไปให้หมด!”
แววตาของเหลยเจิ้นสว่างวาบ เอื้อมมือไปหยิบกระบี่เล่มใหญ่จากด้านหลังในทันใด
โครม เปรี้ยง~
กลางอากาศ ลำแสงอัสนีนับพันหมื่นเส้นสายตกลงบนกระบี่ แล้วเกาะกลุ่มเป็นพลังอัสนีที่น่ากลัวอย่างยิ่ง
“กระบี่กลืนสายฟ้า!”
“เป็นวิชากระบี่ต้องห้ามประเภทนี้นี่เอง!”
บนเวทีราชันที่แท้จริง ราชันปราณเทวะส่วนหนึ่งตะลึงจนเสียงหาย
กระบี่กลืนสายฟ้า ดูจากชื่อก็เข้าใจควาหมาย วิชานี้จะดึงดูดพลังอัสนีที่ไร้ขอบเขตในฟ้าดินมาเกาะกลุ่มบนกระบี่ ก่อนจะปลดปล่อยพลังที่อยู่เหนือกว่าตนเองเป็นหลายเท่าหรือสิบเท่าขึ้นไป
วิชากระบี่นี้อันตรายอย่างยิ่ง หากสะเพร่าก็จะถูกอัสนีบาตทำลาย
ตู้ม โครม โครม!
หมื่นอัสนีรวมตัวกันอยู่เหนือเวทีราชันที่แท้จริง แล้วสาดซัดกลิ่นอายทำลายล้างราวจะสิ้นโลกออกมา
สายฟ้าทั้งหมดเกาะกลุ่มรวมตัวอยู่บนกระบี่
“อานุภาพของกระบี่เล่มนี้รุนแรงพอๆ กับการโจมตีแบบสุดกำลังของราชัน! ”
“ไม่ แข็งแกร่งยิ่งกว่าราชันทั่วไปเสียอีก”
กระบี่ขนาดยักษ์นั่นดึงดูดพลังอัสนีที่ไร้ขีดจำกัด กวัดแกว่งสุดแรง แสงกระบี่สายฟ้าที่น่ากลัวกลายเป็นพายุคมมีด ปกคลุมไปครึ่งเวทีในชั่วพริบตา
โครม โครม!
ในครรลองสายตา แสงกระบี่อัสนีครอบคลุมทุกอย่างจนหมดสิ้น
ประสาทสัมผัสของลูกศิษย์ที่ชมการต่อสู้อยู่ข้างเวทีประลองถูกปิดกั้นไปชั่วขณะ
“ร่างจริงของจ้าวเฟิงก็ถูกกลืนหายเข้าไปแล้ว” ห้วงคิดเซียนของจักรพรรดิส่วนหนึ่งมองเห็นอย่างชัดเจน
ถึงแม้ว่าเงาวายุอัสนีสิบร่างนั้นจะเป็นร่างปลอม แต่ร่างจริงของจ้าวเฟิงก็อยู่ไม่ไกลเพื่อรอโอกาสลงมือ
พรึ่บ พรึ่บ พรึ่บ!
เงาวายุอัสนีสิบร่างถูกทำลายในฉับพลัน ร่างจริงของจ้าวเฟิงก็ถูกปกคลุมไปด้วยเช่นกัน
โครม!
“หืม?” ราชันในขอบเขตปราณเทวะบางส่วนเสียงหายไปเล็กน้อย
จ้าวเฟิงจะถูกกำจัดอย่างไร้เสียงไร้ร่องรอยง่ายดายเช่นนี้เชียวหรือ?
“อยู่ข้างบน!” จักรพรรดิสองสามคนเอ่ยเสียงต่ำ
ปีกอัสนีโบยบิน
แซ่ด วูบ!
แสงปีกอัสนีที่เลือนรางลอยขึ้นกลางอากาศด้วยวิธีการคล้ายทำลายแกนกลางของมิติ
นั่นไม่เพียงแต่เป็นความเร็วขั้นสูงสุดของวายุอัสนี แต่ยังกระทบไปถึงหลักการมิติด้วย
บุรุษหนุ่มผมสีม่วงมีปีกวายุอัสนีงอกออกมาจากหลัง ปรากฏกายขึ้นเหนือศีรษะของเหลยเจิ้น
“เป็นไปได้อย่างไร…”
เหลยเจิ้นพูดไม่ออก เขากระตุ้น ‘กระบี่กลืนสายฟ้า’ เสร็จ ร่างกายก็อยู่ในสภาวะขาดแคลนพลังพอดี
แต่ที่แปลกประหลาดอย่างยิ่งคือ
แสงอัสนีพันหมื่นเส้นสายเหนือศีรษะเขา หลังจากถูกกระบี่ยักษ์ดูดซึมไปแล้วก็กลายเป็นจุดโหว่บนฟ้า
ปีกอัสนีโบยบินของจ้าวเฟิงหยุดอยู่ตรงนั้นพอดี
“วายุอัสนีพิฆาต”
ปีกด้านหลังจ้าวเฟิงโบกสะบัด คล้ายมีวายุอัสนีปรากฏขึ้นวูบวาบ
วิ้ง โครม!
วายุอัสนีพิฆาตสีชาดที่เหมือนกำลังเผาไหม้รวมเป็นลำแสงกำปั้นทรงพลัง พุ่งตรงดิ่งไปยังร่างของเหลยเจิ้น
โครม!
เหลยเจิ้นร้องโหยหวนขณะร่างกระเด็นออกไป แสงอัสนีบนร่างแตกละเอียดด้วยโดนวายุอัสนีสีชาดเผาไหม้ทำลาย
พลังของวายุอัสนีพิฆาตสีชาดแฝงไปด้วยกลิ่นอายทำลายล้าง ปะทุออกมาอย่างรุนแรงยิ่งนัก หนำซ้ำยังเผาผลาญอย่างต่อเนื่อง
อึก!
เหลยเจิ้นกระอักเลือด ล้มลงบนพื้น วายุอัสนีพิฆาตสีชาดบนตัวยังคงเผาทำลายร่างกายของเขาจนไหม้เกรียม
ถ้าหากเขาไม่มีกายจิตวิญญาณอัสนีโบราณ แล้วฝึกฝน ‘วิชาหมื่นอัสนีห้าสาย’ ล่ะก็ ต่อให้เป็นคนในขั้นครึ่งก้าวสู่ราชันก็คงจะโดนเผาไหม้เป็นธุลี
“วายุอัสนีพิฆาตสีชาด!”
“ผู้เยาว์คนนั้นกลับสามารถฝึกฝนวายุอัสนีพิฆาตสีชาดได้ถึงขั้นนี้ แล้วยังคลี่คลายการปะทะกันของธาตุได้ จึงหลอมรวมวายุอัสนีพิฆาตสีชาดให้มั่นคงได้ถึงระดับนี้”
จักรพรรดิทั้งสามจากสำนักหมื่นอัสนีหน้าถอดสีอย่างอดไม่ได้
วายุอัสนีพิฆาตสีชาดของจ้าวเฟิง ระดับพลังไฟแข็งแกร่งจนน่าตกใจ ไม่ใช่คนที่เข้าใจเพียงเล็กน้อยอย่างตอนที่อยู่ภายในอุทยานครึ่งเซียนอีกแล้ว
พวกเขาไม่รู้ว่าขณะที่อยู่ในนั้น จ้าวเฟิงได้สุราเพลิงมังกรและสุราเมฆาอัสนีจากห้องบ่มสุราครึ่งเซียนมาด้วย
อีกอย่าง
การจะควบคุมวายุอัสนีพิฆาตสีชาดได้มั่นคงถึงระดับนี้ ขนาดจักรพรรดิวายุอัสนียามที่อยู่ในวัยเดียวกันก็ยังทำไม่ได้
“เหอะ! วายุอัสนีพิฆาตสีชาดของข้าเหนือกว่าจักรพรรดิวายุอัสนีในยามก่อนแล้ว”
มุมปากของจ้าวเฟิงยกยิ้มขบขัน
วายุอัสนีพิฆาตสีชาดได้หลอมรวมกับกลิ่นอายห้วงฝันบรรพกาล พลังทำลายล้างจึงยิ่งดั้งเดิม ไม่เพียงมั่นคง แต่ยังแข็งแกร่งอย่างยิ่ง
ความผิดพลาดที่สุดของสำนักหมื่นอัสนีคือ พวกเขาเอา ‘จักรพรรดิวายุอัสนี’ ในอดีตมาเป็นมาตรฐานวัดจ้าวเฟิง
นี่แหละที่เรียกว่าคนรุ่นหลังอยู่เหนือคนรุ่นก่อนอย่างแท้จริง