บทที่ 686 การต่อสู้ในห้วงฝันบรรพกาล
หลังจาก ‘อุทยานครึ่งเซียน’ ครั้งก่อน แก่นแท้ชีวิตของจ้าวเฟิงและพลังวิญญาณบรรลุถึงระดับขั้นใหม่ทั้งหมด
ครั้งนี้มาสำรวจห้วงฝันบรรพกาลอีกครั้ง เมื่อเทียบกับที่ผ่านมาเขาสบายขึ้นไม่น้อย
“ในตอนนี้ หากข้าไม่ขยับล่ะก็ อยู่ตรงนี้เฉยๆ สักวันสองวันก็ไม่มีปัญหาอะไร”
จ้าวเฟิงก้าวเท้าอย่างช้าๆ ในดวงตาของเขาสอดส่ายอย่างระมัดระวัง ดวงตาเทพเจ้ามองทะลุผ่านทั่วทิศทาง
เมื่อก่อนมีอยู่ครั้งหนึ่ง เขาได้พบเจอกับ ‘นกยักษ์โบราณ’ ที่ยิ่งใหญ่ทรงพลังในห้วงฝันบรรพกาล
จู่ๆ พบกับนกโบราณตัวหนึ่ง ก็มีกลิ่นอายเหนือขั้นราชันขึ้นไปกดดันลงมา
ยิ่งไม่อาจคาดเดาได้เลยว่า สิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่หรือกระทั่งเผ่าพันธุ์ระดับสูงบางส่วนจะแข็งแกร่งขนาดไหน
ดังนั้น
ในขั้นตอนของการสำรวจค้นหา จ้าวเฟิงต้องระมัดระวังอย่างมากและตื่นตัวตลอดเวลา
ตุบ ตุบ!
จ้าวเฟิงย่างก้าวอย่างมั่นคง ไม่เร็วไปไม่ช้าไป ถ้าหากเหนื่อยเขาก็นั่งพักที่เดิม เพื่อให้หายใจเป็นปกติ
การดูดซับเอากลิ่นอายของห้วงฝันบรรพกาลเข้าไป ส่งผลต่อการชำระล้างและการหลอมรวมพื้นฐานสายเลือดของจ้าวเฟิง หรือกระทั่งดวงวิญญาณด้วย
เพียงแต่ผลลัพธ์ของกลิ่นอายห้วงฝันบรรพกาลในตอนนี้ค่อยๆ ลดลง เปลี่ยนไปช้าลงเรื่อยๆ
เพราะระดับขั้นชีวิตจ้าวเฟิงและระดับวิญญาณล้วนถึงขั้นราชันแล้ว
ในครรลองสายตาด้านหน้า เป็นทุ่งหญ้าแห่งหนึ่ง
ขอบอีกฝั่งหนึ่งของทุ่งหญ้ามีธารน้ำสายเล็ก
ทุ่งหญ้าเป็นเป้าหมายแรกของจ้าวเฟิง
“เดินถึงทุ่งหญ้าแล้วค่อยว่าก่อนต่อ”
ครั้งก่อนจ้าวเฟิงเคยคำนวนว่า หากเดินไปให้ถึงทุ่งหญ้าจะเป็นระยะทางพันก้าว
พันก้าว!
หากเป็นเมื่อครึ่งปีก่อน สำหรับจ้าวเฟิงแล้วคงยากยิ่งนัก ในขณะนั้นเขาสามารถเดินได้สิบยี่สิบก้าวก็ถือว่าไม่เลวแล้ว
แต่ตอนนี้จ้าวเฟิงกับห้วงฝันบรรพกาลสอดคล้องกันมากขึ้น ร่างกายและวิญญาณก็แข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิม เดินครั้งละสองสามร้อยก้าวคงจะไม่มีปัญหาอะไร
สิบก้าว…ร้อยก้าว…หนึ่งร้อยห้าสิบก้าว!
จ้าวเฟิงเดินอย่างระมัดระวังผิดปกติ
ในขณะนั้น เขาเห็นจุดสีดำผ่านไปในอากาศ
“เอ๊ะ เป็นนกกระจอกตัวหนึ่ง?” จ้าวเฟิงชะงักไปเล็กน้อย
นกกระจอกตัวนั้นบินผ่านไปในอากาศ กลิ่นอายแข็งแกร่ง ถึงแม้ไม่เท่านกอสูรในครั้งก่อน แต่ก็พอๆ กับระดับขั้นยอดผู้สูงศักดิ์
ในเวลาดังกล่าว
เส้นประสาทจ้าวเฟิงตึงเครียด ใบหน้าเต็มไปด้วยการระแวดระวัง แต่ว่านกกระจอกตัวนั้นก็บินผ่านไป ไม่สนใจจ้าวเฟิง
“ดูท่าทางแล้วห้วงฝันบรรพกาลนี้คงจะไม่ต่างกับโลกความจริง ใช่ว่าสิ่งมีชีวิตทุกตัวจะโจมตีได้”
จ้าวเฟิงผ่อนลมหายใจออกมา
ย่างก้าวของเขาเร็วขึ้นเล็กน้อย จากนั้นดวงตาเทพเจ้าก็เห็นสิ่งมีชีวิตเล็กๆ บางส่วน เช่น มด แมลง
สิ่งมีชีวิตพวกนี้สาดซัดกลิ่นอายที่แข็งแกร่งเกินจะเปรียบ เทียบเท่าได้กับระดับผู้สูงศักดิ์เป็นอย่างน้อย
“เกรงว่าสิ่งมีชีวิตเหล่านี้จะเป็นระดับขั้นต่ำที่สุดในนี้ ไม่เคยผ่านการฝึกฝนใดๆ ก็มีกลิ่นอายแข็งแกร่งเช่นนี้แล้ว” จ้าวเฟิงใจสั่น
แน่นอนว่าถึงแม้สิ่งมีชีวิตเหล่านี้จะแข็งแกร่งไม่เท่าจ้าวเฟิง แต่เนื่องจากเกิดที่นี่ โตที่นี่ ห้วงฝันบรรพกาลจึงไม่มีแรงกดดันหรือแรงต่อต้านต่อพวกมันแต่อย่างใด
ความคิดของจ้าวเฟิงล่องลอยออกไป นึกสงสัยอย่างมาก
ห้วงฝันบรรพกาล จริงๆ แล้วเป็นโลกอย่างไรกันแน่?
ถ้าจะเรียกว่ามันเป็นขอบเขตห้วงฝัน แล้วเหตุใดบาดแผลที่เกิดขึ้นจึงเทียบเท่าได้กับโลกความเป็นจริง?
เห็นได้ชัดว่าสิ่งที่เข้ามาภายในเป็นเพียงแค่จิตสำนึก แล้วเหตุใดกลิ่นอายของข้างในนี้ถึงส่งผลดีกับโลกความจริงได้?
จ้าวเฟิงสังหรณ์ใจ ถ้าหากตนเองตายในห้วงฝันบรรพกาล เช่นนั้นก็จะตายไปจากโลกความเป็นจริงอย่างแน่นอน
ห้วงฝันบรรพกาลนี้แปลกประหลาดเสียจริง
มันและดวงตาเทพเจ้าเชื่อมโยงกัน ที่แท้มีความลับอย่างไรกันแน่?
ข้อสงสัยเหล่านี้ ด้วยระดับขั้นของจ้าวเฟิงจึงยังคิดไม่ออกชั่วคราว
“ไม่ต้องสนใจเรื่องพวกนี้ก่อนแล้วกัน ดูเสียหน่อยว่าสามารถทำประโยชน์อื่นใดได้อีกบ้าง” จ้าวเฟิงเลิกคิดฟุ้งซ่าน
ห้วงฝันบรรพกาล เพียงกลิ่นอายเล็กน้อยก็สามารถส่งผลที่ยิ่งใหญ่แล้ว
เช่นนั้นของชิ้นอื่นๆ ข้างในล่ะ?
“ดูซิว่าจะพอหา ‘ผลไม้’ อะไรได้บ้างหรือไม่” จ้าวเฟิงเอ่ยพึมพำ
ดวงตาเทพเจ้าของเขาสอดส่ายสำรวจอีกครั้ง
แน่นอนว่าต้องเป็นภายในป่าไม้ถึงจะมี ‘ผลไม้’ แต่ว่าสภาพแวดล้อมของป่าค่อนข้างซับซ้อน รับรองได้ยากว่าจ้าวเฟิงจะไม่พบเจอสิ่งมีชีวิตดุร้าย
“ไปที่ริมแม่น้ำก่อนแล้วกัน”
ดวงตาเทพเจ้าของจ้าวเฟิงมองเห็นธารน้ำเล็กของอีกฝั่งของทุ่งหญ้า ไม่รู้ว่า ‘น้ำ’ ของห้วงฝันบรรพกาล เมื่อดื่มเข้าไปแล้วจะมีผลลัพธ์อย่างไร?
คิดถึงตรงนี้จ้าวเฟิงก็ตื่นตระหนก
แต่ทว่าจะเดินถึงธารน้ำ ต้องเดินไปที่ทุ่งหญ้าก่อน
ทุ่งหญ้าห่างจากเขาราวๆ พันก้าว
“สองร้อยก้าว…สามร้อยก้าว…”
หลังจากเดินไปได้สองสามร้อยก้าว จ้าวเฟิงออกจะรู้สึกเหนื่อย หายใจถี่กระชั้น
“พักสักครู่ก่อนแล้วกัน”
จ้าวเฟิงไม่รีบร้อน นั่งขัดสมาธิลงไป
เขายังห่างจากทุ่งหญ้าราวๆ เจ็ดแปดร้อยก้าว จากทุ่งหญ้าถึงไปที่ริมแม่น้ำยังมีระยะทางอย่างน้อยประมาณสิบเท่า
เมื่อนั่งพักสักครู่ พละกำลังของจ้าวเฟิงก็ฟื้นฟู
แล้วในเวลานี้เอง
ฟ่อ ฟ่อ~
จ้าวเฟิงได้ยินเสียงประหลาดดังขึ้น เขามองไปด้านซ้ายก็ต้องตกใจ
งูตัวลายยาวประมาณสามฉื่อตัวหนึ่งกำลังลอกคราบออกมา แล้วเลื้อยไปอย่างเกียจคร้าน
งู!
จ้าวเฟิงเรียกสติกลับมาและเตรียมตัวป้องกัน
ในห้วงฝันบรรพกาล กลิ่นอายเพียงเล็กน้อยก็ยังแข็งแกร่งอย่างยิ่ง สิ่งมีชีวิตที่อยู่ภายในนั้นย่อมไม่ธรรมดา
ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นสิ่งมีชีวิตประเภท ‘งู’ แบบนี้
เหมือนรู้สึกได้ถึงกลิ่นอายที่ผิดปกติ ร่างของงูลายพร้อยตัวนั้นเหยียดตรง หัวของมันชูขึ้นมามองจ้าวเฟิงอย่างเยือกเย็น
ทั้งสองห่างกันไม่ถึงหนึ่งจั้ง
ระยะที่ใกล้เช่นนี้ ทำให้จ้าวเฟิงรู้สึกได้ถึงความอันตรายเล็กน้อย
ช่วงเวลานั้น จ้าวเฟิงกับงูลายพร้อยจ้องตาคุมเชิงกันและกัน
“กลิ่นอายของงูตัวนี้แข็งแกร่งมากกว่านกกระจอก แต่อ่อนแอกว่าเจ้านกอสูรตัวที่เจอในครั้งแรก” จ้าวเฟิงคิดคำนวณในใจ
พรึ่บ!
ฝ่ามือของจ้าวเฟิงปรากฏวายุอัสนีพิฆาตสีชาดขนาดประมาณเข็มเล่มใหญ่
ทำอย่างอย่างไรได้ ในห้วงฝันบรรพกาลพลังของเขาถูกกดลงเหลือเพียงน้อยนิด
จ้าวเฟิงคาดเดาว่าวายุอัสนีพิฆาตสีชาดของตัวเองน่าจะสูญสลายไปในทันทีที่ออกจากร่าง
“แย่ละ ข้าจะต้องหาอาวุธติดมือไว้”
ในมือของจ้าวเฟิงปรากฏกระบี่ชั้นพิภพเล่มยาว
สำหรับจ้าวเฟิงในตอนนี้ อาวุธชั้นพิภพธรรมดาไม่ได้มีมูลค่าสูงส่งอีกต่อไปแล้ว
ต้นทุนของเขาเทียบเท่าได้กับราชันในขอบเขตปราณเทวะเป็นอย่างน้อย จึงไม่สามารถใช้หลักการปกติมาเทียบเคียงได้
กระบี่ชั้นพิภพเล่มนี้ยาวสี่ห้านิ้ว แหลมคมอย่างยิ่ง เมื่อมีกระบี่ชั้นพิภพนี้แล้วจ้าวเฟิงมั่นใจขึ้นมาก อย่างน้อยก็ไม่ต้องใช้มือเปล่ารับมือกับงูที่ไม่รู้ว่ามีพิษหรือไม่
เวลาเดียวกัน ดวงตาเทพเจ้าของจ้าวเฟิงก็ยังจับจ้องอยู่แต่งูลายพร้อยตัวนั้น
“ตัด!” แววตาจ้าวเฟิงมีประกายวาบผ่าน กระบี่ชั้นพิภพในมือเปล่งแสงสว่างสีแดงตรงเข้าตัดงูลายตัวนั้น
งูตัวนั้นมีปฏิกิริยาตอบโต้ว่องไว
สวบ!
มันกระโดดขึ้นสูงหมายจะฉกจ้าวเฟิง
หากจะนับเรื่องความเร็ว มันว่องไวกว่าจ้าวเฟิงและมีปฏิกิริยาโต้ตอบเร็วกว่ามาก
ด้วยเพราะมันอยู่ในห้วงฝันบรรพกาล สิ่งมีชีวิตที่เกิดและเติบโตที่นี่ไม่ต้องแบกรับแรงต่อต้านของมิติ
ข้อได้เปรียบของจ้าวเฟิงอยู่ที่เป็นผู้เริ่มลงมือก่อน
ดวงตาเทพเจ้าของเขามองการเคลื่อนไหวของงูลายพร้อยตัวนั้นออก
ดังนั้นถึงแม้ความเร็วและความปราดเปรียวของเขาจะด้อยกว่าอยู่บ้าง แต่กระบี่ชั้นพิภพนั่นก็ยังฟาดลงไปที่หัวของ ‘งูลายพร้อย’ ตัวนั้นอย่างรุนแรง
โครม!
มีเสียงแปลกประหลาดดังออกมาจากคมกระบี่ ตามด้วยพลังยิ่งใหญ่ทะลุผ่านร่างจ้าวเฟิงจนสั่นไปเล็กน้อย
ในเวลาเดียวกัน เจ้างูลายที่ถูกกระบี่ฟาดฟันร้องโหยหวน บนหัวของมันเหลือไว้เพียงรอยไหม้จางๆ
“ร่างกายแข็งแกร่งมาก”
กระบี่ที่จ้าวเฟิงฟันลงไปนั้นไม่ใช่เบาๆ เลย
เขาอยู่ในมิตินี้ต้องแบกรับแรงต่อต้านจำนวนหนึ่งและแรงกดดันในฟ้าดิน ‘ที่เหลือ’ อีก
ยังดีที่กระบี่นั่นทิ้งรอยไหม้เล็กน้อยไว้บนตัวของมัน
สวบ!
งูลายพร้อยมุ่งมาทางจ้าวเฟิงอย่างดุร้าย
จ้าวเฟิงใช้ความเงียบสยบ ดวงตาเทพเจ้าเปิดถึงขั้นสุดยอด เล็งเป้าหมายไปที่มัน แล้วรวบรวมลำแสงสีแดงขึ้นบนกระบี่ชั้นพิภพนั้น
วูบ! กระบี่แหวกอากาศตรงไปที่ส่วนหัว แทงเข้าไปในปากขนาดใหญ่ของงูตัวนั้นในทันที จ้าวเฟิงอ้าปากตกใจเล็กน้อย
ดีที่กระบี่ชั้นพิภพแทงเข้าไปในปากมัน ทะลวงผ่านอวัยวะภายในร่างกาย วายุอัสนีพิฆาตสีชาดกำลังเผาไหม้ด้านใน
ในห้วงฝันบรรพกาล พลังของจ้าวเฟิงถูกจำกัดอย่างยิ่ง พลังที่มีอยู่ไม่สามารถจะสังหารเจ้างูตัวนี้ได้ในฉับพลัน
“เพลิงเนตรล้างผลาญ!”
ห้วงคิดของจ้าวเฟิงขยับเล็กน้อย ลำแสงเพลิงวายุอัสนีสีชาดขนาดประมาณหัวแม่โป้งตกลงบนส่วนหัวของงู แล้วระเบิดกระจายออกมา
งูกลัวไฟ และเจ้างูตัวนี้ก็ไม่ใช่ข้อยกเว้นเช่นกัน
นับประสาอะไรกับเพลิงเนตรของจ้าวเฟิงที่ทะลวงผ่านทั้งขอบเขตรูปธรรมและนามธรรม
ผ่านไปไม่นาน ร่างครึ่งหนึ่งของงูตัวลายพร้อยถูกเผาผลาญ หยุดการดิ้นรนไป
ทำลาย!
จ้าวเฟิงเดินไปดับไฟพิฆาต ก่อนจะหยิบร่างที่ไหม้เกรียมของเจ้างูขึ้นมา
“ไม่รู้ว่าเนื้องูนี่จะมีผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร” จ้าวเฟิงพึมพำออกมา
พลังกายของงูแข็งแกร่งอย่างยิ่ง ได้รับกลิ่นอายของห้วงฝันบรรพกาลย่อมต้องไม่ธรรมดา
วูบ!
ห้วงความคิดของจ้าวเฟิงขยับน้อยๆ แล้วหายไปจากห้วงฝันบรรพกาล
ในโลกความจริง
แมวขโมยตัวน้อยนั่งอยู่บนร่างเขา ดูดซึมกลิ่นอายห้วงฝันบรรพกาลที่เหลือเข้าไป
เมี้ยว เมี้ยว!
เจ้าแมวขโมยตัวน้อยจ้องดูเนื้องูที่ไหม้เกรียมไปกว่าครึ่ง โบกกรงเล็บดีใจด้วยสีหน้าตะกละตะกลาม
“คุนอวิ๋นน้อย ”
จ้าวเฟิงไม่ได้เอาเนื้องูให้แมวขโมยตัวน้อยกิน แต่กลับเรียกเด็กน้อยครึ่งเซียนออกมา
เด็กน้อยครึ่งเซียนยังคงมีอายุประมาณสองสามขวบ ผิวลายทองทั่วร่างกายมีแสงอ่อนๆ ลอยขึ้นมา
จ้าวเฟิงรู้ดี ครึ่งเซียนคุนอวิ๋นผู้นี้ในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่เป็นยอดฝีมือในการฝึกฝนร่างกาย
ไม่เช่นนั้นไม่น่าจะมีร่างเหลือเอาไว้ แล้วยังหลงเหลือมานานจนถึงขนาดนี้ ทั้งที่โดนทำลายจากพลังอัสนีเทวะแล้ว
“นี่คือเนื้องูอะไรกัน?”
เด็กน้อยครึ่งเซียนจ้องมองงูที่ไหม้เกรียมครึ่งตัว ย่อมรับรู้ถึงกลิ่นอายที่ไม่ปกติในนั้น
“รางวัลให้เจ้า” จ้าวเฟิงเอางูลายพร้อยส่งให้ครึ่งเซียนคุนอวิ๋น แล้วยังสั่งให้เขากินลงไปต่อหน้า
แม้ว่าเด็กน้อยครึ่งเซียนผู้นี้อายุสองสามขวบ แต่ในด้านการฝึกร่างกายนั้นแข็งแกร่งอย่างยิ่ง เหนือกว่าเจ้าหอโครงกระดูกเสียด้วยซ้ำ
“ลองดู”
เด็กน้อยครึ่งเซียนไม่กล้าขัดคำสั่ง ถึงแม้จะรู้ว่านี่คือการเอาเขามาเป็นหนูทดลอง
กลับเป็นเจ้าแมวขโมยตัวน้อยข้างๆ ที่จ้องมองเนื้องูอย่างอิจฉา
เด็กน้อยครึ่งเซียนเหลือบมองมันเล็กน้อยด้วยแววตาลำพองใจ ก่อนจะหยิบกริชแหลมคมออกมาหั่นเนื้องู
“แข็งมาก!”
เด็กน้อยครึ่งเซียนขมวดคิ้ว พยายามใช้แรงทั้งร่างกายถึงจะหั่นเนื้องูได้
จากนั้นไม่นาน เด็กน้อยครึ่งเซียนเอาเนื้องูชิ้นหนึ่งเผาไฟจนสุก กลิ่นหอมเตะจมูก เขาค่อยๆ กินอย่างระมัดระวังไปคำหนึ่ง
เมื่อเนื้องูเข้าไปในท้อง สีหน้าของเด็กน้อยครึ่งเซียนก็เปลี่ยนไปในทันใด รีบนั่งลงขัดสมาธิกระตุ้นปราณที่แท้จริงในร่างกาย
“ในเนื้องูนี้มีกลิ่นอายดั้งเดิมของฟ้าดินอยู่ ทำให้เลือดเนื้อมันแข็งแกร่งกว่าเลือดหัวใจวาฬเสียอีก”
เด็กน้อยครึ่งเซียนมีสีหน้ายินดี เพียงแค่เนื้องูหนึ่งคำก็เป็นประโยชน์ต่อปราณที่แท้จริง เลือดลม และร่างกายเขาอย่างยิ่ง
เมี้ยว เมี้ยว!
เจ้าแมวขโมยอดรนทนไม่ไหวอีกแล้ว มันพุ่งถลาไปที่เนื้องู
“นี่มันของข้า!”
เด็กน้อยครึ่งเซียนมีสีหน้าโกรธแค้น พยายามขัดขวางการแย่งชิงเนื้องูที่เหลือจากเจ้าแมวขโมยตัวน้อย
แต่สุดท้ายก็เป็นเจ้าแมวขโมยที่ได้เปรียบ แย่งเอาเนื้อที่หั่นแล้วสองในสามส่วนมาได้
ใบหน้าของเด็กน้อยครึ่งเซียนเต็มไปด้วยรอยกรงเล็บ แต่กลับก็ไม่ได้ห่วงภาพลักษณ์อะไร เอาแต่กลืนเนื้องูที่เหลือเข้าปากไป
จ้าวเฟิงทำสีหน้าประหลาดขณะมองเด็กน้อยครึ่งเซียนกับเจ้าแมวขโมยแบ่งเนื้อกันเสร็จ
“นายท่าน เนื้องูนี้เอามาจากไหน แล้วยังมีอีกไหม?”
เด็กน้อยครึ่งเซียนเลียริมฝีปาก
เขาพบว่ากลิ่นอายดั้งเดิมของเนื้องูช่วยเพิ่มความเร็วในการฟื้นฟูสายเลือดครึ่งเซียน
เมี้ยว เมี้ยว!
เจ้าแมวขโมยน้อยมีสีหน้าลิงโลดเช่นกัน ดวงตาดั่งอัญมณีสีดำที่กลอกไปมาเผยแววประจบเอาใจ