Skip to content

King of Gods 714

King Of Gods

บทที่ 714 ทดสอบเจ้าแมวขโมย

จ้าวเฟิงกวาดสายตาดูโดยคร่าวๆ การผสานกายสายฟ้าปฐพีทองกับวิชาวายุอัสนีห้าสาย มีเงื่อนไขในการฝึกฝนต่ำกว่ากระบวนวิชามรดกดั้งเดิม

อีกทั้งระดับขั้นพลังของวิชามรดกกลับกลายเป็นว่าพัฒนาเพิ่มขึ้น

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ‘กายสายฟ้าปฐพีทอง’ ที่จะเหนือกว่า ‘กายศักดิ์สิทธิ์ปฐพีทอง’ ขึ้นอีกหนึ่งขั้น

“มีอย่างนี้ที่ไหนกัน…” เด็กน้อยครึ่งเซียนกำมือทั้งสองแน่น เกิดความริษยาและความเกลียดชังขึ้นในใจ

แต่ก่อนเขามอบ ‘กายศักดิ์สิทธิ์ปฐพีทอง’ ให้จ้าวเฟิง เพราะมั่นใจว่าอีกฝ่ายไม่มีทางฝึกฝนได้ หรืออย่างน้อยในระยะเวลาพันปีจะไม่มีทางฝึกฝนได้สำเร็จ คาดไม่ถึงว่าจ้าวเฟิงจะคิดหาทางใหม่ ใช้ดวงวิญญาณดูดซับพลังอัสนีเทวะ

และในตอนนี้ ‘กายสายฟ้าปฐพีทอง’ ที่ได้หลังจากการผสานรวมกัน ระดับพลังวิชาเพิ่มขึ้นแล้ว เงื่อนไขในการฝึกฝนจึงลดลง หนำซ้ำยังเชื่อมโยงกับศาสตร์อัสนีด้วย

“ลืมบอกไปว่า… ‘กายสายฟ้าปฐพีทอง’ และ ‘วิชาวายุอัสนีห้าสาย’ เป็นชุดกระบวนท่าวิชาที่ค้ำจุนกัน” ผู้เฒ่าท่าทางสุขุมเอ่ยเตือนขึ้น

‘กายสายฟ้าปฐพีทอง’ ก็เป็นวิชาศักดิ์สิทธิ์ฝึกร่าง แต่ว่าต้องได้ ‘วิชาวายุอัสนีห้าสาย’ ค้ำจุนด้วย โดยใช้หมื่นอัสนีในฟ้าดินฝึกร่างกาย

ถ้าหากไม่ได้บำเพ็ญ ‘วิชาวายุอัสนีห้าสาย’ จนสำเร็จ เช่นนั้นก็ยากที่จะฝึก ‘กายสายฟ้าปฐพีทอง’ ได้

“กระบวนท่าหลังจากที่ผสานเข้าไปแล้วย่อมไม่เหมือนเดิม” จ้าวเฟิงใช้ดวงตาเทพเจ้าคัดลอกเอาเนื้อหาทั้งหมดไป

แต่ทว่ารอยยิ้มบนใบหน้าของเขาก็ไม่ได้ปรากฏอยู่นานนัก

จนกระทั่งเขาเห็นแนวทางในการฝึกของ ‘วายุอัสนีห้าสาย’

“วิชาวายุอัสนีห้าสายแบ่งออกเป็นสิบสองขั้น สามขั้นแรกเป็นพื้นฐานของวายุอัสนี ตั้งแต่ขั้นที่สี่เป็นต้นไปจะเริ่มฝึกฝนทอง ไม้ น้ำ ไฟ และดินทั้งห้าสาย ขั้นที่สิบ วิชาทั้งห้าแขนงจะพัฒนาต่อเนื่องอย่างไม่มีที่สิ้นสุด” จ้าวเฟิงขมวดคิ้วมุ่น

‘วิชาวายุอัสนีห้าสาย’ นี้มีเนื้อหาครอบคลุมถึงมรดกวายุอัสนี

แต่ว่ามรดกวายุอัสนีของจ้าวเฟิงได้ฝึกฝนจนบรรลุแล้ว และเดินไปในเส้นทางที่แตกต่างกับ ‘วิชาวายุอัสนีห้าสาย’ โดยสิ้นเชิง

“ถ้าหากต้องการฝึกฝนวายุอัสนีห้าสาย นี่ไม่ใช่ว่าข้าจะต้อง ‘ฝึกฝนใหม่’ หรอกหรือ?” หน้าจ้าวเฟิงเกร็งกระตุก

“ไม่ผิด! ท่านมีพื้นฐานมรดกวายุอัสนี ฝึกฝนวิชาวายุอัสนีห้าสายใหม่อีกครั้ง ไม่ถึงสิบปีก็เหนือกว่าตอนนี้ได้แล้ว” ผู้เฒ่าที่สุขุมไม่ได้ปฏิเสธแต่อย่างใด

สิบปี? หน้าผากจ้าวเฟิงมีเงาอึมครึม

ระยะเวลาสิบปี สำหรับคนธรรมดาแล้วก็ไม่ใช่เรื่องหนักหนาอะไร ทว่าตั้งแต่เริ่มบำเพ็ญจนถึงตอนนี้ จ้าวเฟิงเพิ่งจะฝึกมาสิบปีเท่านั้น

ถ้าหากตอนนี้สงบและไม่ต้องกังวลใจอะไร จ้าวเฟิงย่อมต้องยินยอมจะฝึกฝน ‘วิชาวายุอัสนีห้าสาย’ ร่วมกับ ‘กายศักดิ์สิทธิ์ปฐพีทอง’ ด้วยเพราะมรดกวิชาทั้งสองชุดสามารถทำให้เขาเดินไปไกลกว่า

แต่ว่าในวันนี้จ้าวเฟิงเผชิญหน้ากับคำสั่งล่าสังหาร แล้วจะมีเวลาว่างที่ไหนไปฝึกฝนวิชาใหม่?

“ในโลกนี้ไม่มีอะไรที่สมบูรณ์แบบจริงๆ”

เด็กน้อยครึ่งเซียนรู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมาบ้างเล็กน้อย ถึงขั้นสะใจที่เห็นผู้อื่นลำบาก

 

สถานการณ์ของจ้าวเฟิงในตอนนี้ก็เหมือนกับได้ครอบครองเขาที่ล้ำค่า แต่กลับไม่มีเวลาไปเคลื่อนย้ายขุดค้น

ในเวลานี้สีหน้าของจ้าวเฟิงดำคล้ำไม่สงบ

หลังจากนั้นสักพัก เขาก็สูดลมหายใจเข้าลึกและตัดสินใจได้

ในตอนนี้เขาไม่สามารถฝึกฝน ‘วิชาวายุอัสนีห้าสาย’ และ ‘กายศักดิ์สิทธิ์ปฐพีทอง’ ใหม่อีกครั้ง

นี่ไม่มีทางเป็นจริงได้!

“ทำได้เพียงแค่รอ หลังจากที่คลี่คลาย ‘คำสั่งล่าสังหาร’ แล้วค่อยพิจารณาใหม่อีกครั้ง ”

จ้าวเฟิงค่อยๆ สงบจิตใจลง

เขาสามารถเข้ามาในเมืองของเผ่าพันธุ์ความลับสวรรค์ที่เจริญรุ่งเรืองแห่งนี้ ก็นับเป็นโอกาสครั้งใหญ่ที่ ขนาดครึ่งเซียนก็ยังต้องริษยาแล้ว

สีหน้าจ้าวเฟิงเรียบเฉยเย็นชาขณะเดินออกจาก ‘วังวิถีเซียน’ ไป

“เวลาเพียงแค่สิบปีเท่านั้น คนรุ่นหลังนี่ช่างใจร้อนเสียจริง”

บุรุษผู้สุขุมคนนั้นมองส่งจ้าวเฟิงจากไป อดจะส่ายศีรษะไม่ได้

ภายในเมืองเหล็กกล้า จ้าวเฟิงเดินอย่างช้าๆ เขาจัดการความเรียบร้อยในแหวนเหล็กโบราณ

ภายในแหวนเหล็กโบราณว่างเปล่า ทรัพยากรล้ำค่าจำนวนมหาศาลในวันวานสูญไปมากกว่าเก้าสิบส่วน

เขาในตอนนี้สิ้นเนื้อประดาตัว เมื่อกวาดตามองเมืองของเผ่าพันธุ์ความลับสวรรค์ที่มีโอกาสมากมาย ก็ทำได้เพียงถอนหายใจออกมายาวๆ

หลายวันต่อมา ภายในตำหนักหมื่นโลหิต

“หุ่นเชิดศพต้องสาปร้อยร่าง ทั้งหมดเพิ่มความแข็งแกร่งเป็นสายเลือด ‘หมื่นกระดูกภูต’ ” หญิงสาวแสงโลหิตเอ่ยปนยิ้ม

จ้าวเฟิงตรวจสอบหุ่นเชิดศพต้องสาปทีละตัว ร่างกายผอมยิ่งขึ้นเหมือนดั่งโครงกระดูกแห้งๆ

แต่ว่าหุ่นเชิดศพต้องสาปเหล่านี้มีพลังแข็งแกร่งว่าเมื่อเจ็ดวันก่อนเป็นเท่าตัว!

หลังจากที่หลอมรวมเข้ากับ ‘หมื่นกระดูกภูต’ แล้ว พลังในการดำรงชีวิตอยู่ของพวกมันเพิ่มขึ้นอย่างยิ่ง ต่อให้แตกละเอียดแล้วก็ยังสามารถซ่อมแซมฟื้นฟูได้

อีกทั้งสิ่งที่ตามมากับสายเลือดก็คือพลังฝึกตนของหุ่นเชิดศพต้องสาปที่เพิ่มขึ้นรางๆ

ถึงตอนนี้ พลังฝึกตนหุ่นเชิดศพต้องสาปเหล่านี้อยู่ระหว่างขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับต้นช่วงปลายไปจนถึงช่วงสุดยอด

ค่ายกลเช่นนี้มากพอที่จะกวาดล้างทวีปบุปผาครามและสิบยอดสำนักของทวีปได้

เจ้าหอโครงกระดูกเองก็หลอมรวมสายเลือด ‘หมื่นกระดูกภูต’ เข้าไปด้วย แต่ว่าลักษณะจะสูงส่งกว่าบ้าง

“นายท่าน…” เจ้าหอโครงกระดูกมีสีหน้าปลาบปลื้ม เขาไม่คิดมาก่อนเลยว่าตัวเองจะมีวันนี้

เขาในตอนนี้ควบคุมค่ายกลหุ่นเชิดศพต้องสาป ต่อให้เป็นลัทธิมารจันทราชาดในอดีตก็เทียบกันไม่ได้ ถ้าหากไม่ได้จ้าวเฟิง เขาก็คงไม่สามารถเดินมาถึงจุดนี้ได้

จ้าวเฟิงพยักหน้าน้อยๆ อย่างพึงพอใจ แล้วเก็บหุ่นเชิดศพทั้งหมดกลับมา

“ข้ายังมีทรัพยากรอีกไม่ถึงสิบส่วน…”

จ้าวเฟิงหันเหสายตามาหยุดลงบนร่างของเจ้าแมวขโมยตัวน้อยอย่างรวดเร็ว

สายเลือดของเจ้าแมวขโมยน้อยไม่มีทางธรรมดาอย่างแน่นอน น่าจะไม่ด้อยไปกว่าสายเลือดรายชื่อหมื่นเผ่าพันธุ์โบราณ

“รบกวนเจ้าช่วยตรวจสอบประวัติความเป็นมาของสายเลือดเจ้าแมวตัวนี้ให้หน่อยได้หรือไม่” จ้าวเฟิงพึมพำ

“คิก คิก ข้าเองก็สนใจความเป็นมาของเจ้าแมวตัวนี้มาก ข้ายินดีทำให้ท่านโดยไม่คิดค่าใช้จ่ายใดๆ”

หญิงสาวประกายแสงโลหิตยิ้มแย้มแล้วกล่าว

ขนาดเด็กน้อยครึ่งเซียนยังเผยสีหน้าใคร่รู้ออกมา

ตั้งแต่ใช้หยดเลือดชุบชีวิตขึ้นใหม่ เขาถูกเจ้าแมวตัวนี้กดขี่มาโดยตลอด อัปยศจนไม่อาจจะเชิดหน้าขึ้นได้

ถ้าหากสามารถเข้าใจในประวัติความเป็นมาของเจ้าแมวตัวนี้ ในภายหน้าเขาอาจจะพอมีวิธีรับมือได้

เมื่อคิดถึงตรงนี้แล้ว เด็กน้อยครึ่งเซียนจึงเฝ้ารออยู่อย่างเงียบๆ

เมี้ยว เมี้ยว!

เจ้าแมวขโมยน้อยเดินอย่างสบายๆ ไปเบื้องหน้าแขนกลไก

แขนกลไกมากมายจึงยื่นเข็มออกมาแทงเข้าไปบนร่างของมัน

ทว่าเวลาหลายช่วงลมหายใจผ่านไป แขนกลไกนั่นก็ไม่ได้ให้คำตอบใดๆ

วิ้ง!

ทันใดนั้นเอง เหล่าแขนกลไกก็สั่นสะเทือนแล้วหยุดการตรวจสอบค้นหา

สตรีแสงโลหิตมีสีหน้าตื่นตะหนก มองสำรวจเจ้าแมวขโมยอย่างไม่อยากจะเชื่อ

 

“แมวความลับสวรรค์ สายเลือดลี้ลับ ความลับระดับสูงสุด” แขนกลไกตอบอย่างไร้อารมณ์

แมวความลับสวรรค์?

จ้าวเฟิงและเด็กน้อยครึ่งเซียนมองตากันแวบหนึ่ง ด้วยเพราะต่างไม่เคยได้ยินเผ่าพันธุ์นี้มาก่อน

“ต้องขออภัยด้วย นี่จะเกี่ยวโยงกับความลับระดับสูงสุด”

หญิงสาวแสงโลหิตเหมือนรู้อะไรบางอย่าง แต่นางไม่อาจพูดออกมาได้

เมี้ยว!

เจ้าแมวขโมยตัวน้อยมีสีหน้าภาคภูมิใจ แล้วกลับไปบนไหล่ของจ้าวเฟิง

ส่วนหญิงสาวในแสงโลหิตมีสีหน้าสับสน จ้องมองมาที่คนผู้หนึ่ง เด็กน้อย และแมวที่รวมตัวกันเป็นกลุ่มแปลกประหลาด

สายเลือดดวงตาของจ้าวเฟิงเป็นสิ่งที่นางไม่สามารถตรวจสอบได้

ส่วนที่มาของสายเลือดเจ้าแมวขโมยตัวน้อย ข้อมูลในคลังความรู้ก็พอมีอยู่บ้าง แต่กลับเป็นขอบเขตความลับระดับสูงสุด

“ขอบคุณอย่างยิ่ง!” จ้าวเฟิงหันไปทางหญิงสาวแสงโลหิตแล้วเอ่ยลา

เมื่อเดินออกมาจากหอหมื่นโลหิต จ้าวเฟิงจึงคิดพิจารณาอีกครั้ง เขายังเหลือทรัพยากรสมบัติล้ำค่าไม่ถึงสิบส่วน ไม่รู้ว่าพอจะมีประโยชน์อะไรอีกหรือไม่

“โอกาสเช่นนี้ หมื่นปีถือว่าพบเจอได้ยากเชียว” จ้าวเฟิงพึมพำในใจ

สิ่งล้ำค่าที่เหลือสิบส่วนสุดท้ายจะ ‘ใช้จ่าย’ ออกไปอย่างไร?

หลังจากที่ออกไปแล้ว ในภายหน้าอาจจะไม่มีโอกาสเข้ามาในเมืองของเผ่าพันธุ์ความลับสวรรค์ที่เจริญรุ่งเรืองอีก

ครึ่งชั่วยามต่อมา จ้าวเฟิงก็มาถึง ‘หอตราค่ายกล’

หอตราค่ายกลนี้จะเสนอวิธีการจัดสร้างและเสริมค่ายกลให้ดีกว่าเดิม

จุดมุ่งหมายของจ้าวเฟิงคือจะพัฒนา ‘ค่ายกลร้อยศพต้องสาป’ ให้แข็งแกร่งสมบูรณ์แบบไปอีกขั้น

เนื่องด้วยค่ายกลร้อยศพต้องสาปในขั้นต้นสร้างขึ้นตามวิธีการที่เศษเสี้ยววิญญาณสือเฉิงแนะนำ และพลังแฝงก็ใกล้จะถึงขีดสุดแล้ว

“ผู้มาเยือนจากแดนไกล พวกท่านต้องการใช้บริการอะไร?”

หญิงสาวสวมชุดชาววังผู้หนึ่งกล่าวต้อนรับด้วยรอยยิ้ม

จ้าวเฟิงเอ่ยถึงเจตนาที่ต้องการโดยไม่อ้อมค้อม เขานำโครงสร้างรูปขบวนของค่ายกลหุ่นเชิดศพและหนึ่งในร้อยศพต้องสาปออกมา

“เรื่องนี้ก็ไม่ได้ยาก” หญิงสาวชุดชาววังบุคลิกสง่าแช่มช้อยตอบตกลงอย่างรวดเร็วยิ่ง

แต่ว่าสุดท้ายจ้าวเฟิงก็จ่ายมัดจำด้วยของล้ำค่าที่เหลือไม่ถึงสิบส่วนจนหมดตัว

หลังจากผ่านไปหลายชั่วยาม จ้าวเฟิงได้ค่ายกลร้อยศพต้องสาปชุดใหม่ทั้งหมดมา

“ค่ายกลร้อยศพรูปแบบใหม่นี้ อานุภาพเพิ่มขึ้นไปถึงหกสิบส่วน อีกทั้งมีความสามารถล้อมกักขังเพื่อสังหารและลวงตา” หญิงสาวชุดชาววังกล่าวอย่างมั่นใจ

“ดีเยี่ยมยิ่ง” หลังเจ้าหอโครงกระดูกได้รับรูปขบวนรบออกมาแล้วรู้สึกลิงโลด

หลังเดินออกจาก ‘หอตราค่ายกล’ จ้าวเฟิงลูบแหวนเหล็กโบราณที่ว่างเปล่าแล้วอดจะทอดถอนใจไม่ได้

“ไม่รู้ว่าหลังจากนี้จะมีโอกาสได้เข้ามาที่แห่งนี้อีกหรือไม่?” จ้าวเฟิงรู้สึกว่ายังไม่สมใจอยาก

หนึ่งคน หนึ่งเด็กน้อย และหนึ่งแมว ออกไปจากเมืองเหล็กกล้าที่เก่าแก่โบราณ

เมื่อเดินออกมาจากวงแสงสีเขียวแล้ว จ้าวเฟิงสีหน้าชะงัก

เห็นเพียงแต่ภายนอกของเมืองเหล็กกล้าปกคลุมไปด้วยเถาวัลย์มารทมิฬ

ในระยะเวลาไม่ถึงสิบวัน โลกภายนอกก็ถูกแทนที่ด้วยเถาวัลย์พวกนี้

“กลายเป็นว่ามีราชาเถาวัลย์มารทมิฬถือกำเนิดขึ้นแปดเถาแล้ว”

จ้าวเฟิงรับรู้สถานการณ์ผ่านราชาเถาวัลย์มารทมิฬที่ตนเองควบคุมอยู่

ราชาเถาวัลย์มารทมิฬทั้งแปด พลังของแต่ละเถาเกือบเท่าขั้นราชัน และไปจนถึงขั้นสูงสุด

จ้าวเฟิงไม่พูดมากความ เปิดสายเลือดดวงตา จัดแจงควบคุมราชาเถาวัลย์มารทมิฬที่เหลือทั้งเจ็ด

เวลาครึ่งวันผ่านไป จ้าวเฟิงก็ออกจากมหาสมุทรเถาวัลย์ ในมือปรากฏขวดแก้วที่ปิดด้วยความเย็นจำนวนแปดขวด

ขวดทั้งแปดนั้น ทุกขวดล้วนผนึกราชาเถาวัลย์มารทมิฬไว้

แน่นอนว่ามหาสมุทรเถาวัลย์นั่นก็ไม่ได้หยุดนิ่งแต่อย่างใด หลังจากจ้าวเฟิงออกไปไม่กี่วัน มหาสมุทรเถาวัลย์แทบจะขยายไปจนถึงเมืองของเผ่าพันธุ์ความลับสวรรค์

พลั่ก พลั่ก พลั่ก!

ในเมืองเผ่าพันธุ์ความลับสวรรค์ ปรากฏเรือรบสำเภาสีทองที่เหมือนสัตว์อสูรขนาดใหญ่หลายลำ ทุกลำมีขนาดหลายร้อยจั้ง

เรือสำเภาเหล่านั้นปล่อยลูกแก้วประหลาดออกมาหลายเม็ด

พรึ่บ~

 

ลูกแก้วสีเหล่านั้นกลายเป็นเปลวไฟสีดำน่ากลัว เผาทำลายมหาสมุทรเถาวัลย์อย่างรวดเร็วจนเหลือไว้เพียงเถ้าถ่าน

และในเวลานั้นเอง จ้าวเฟิงก็กลับมาถึงเขตเกาะที่อยู่ใจกลางแล้ว

เขามองไปรอบเขตมิติลี้ลับแห่งนี้ มีความรู้สึกว่าความลับของที่นี่ไม่ได้มีเพียงเมืองของเผ่าพันธุ์ความลับสวรรค์

แต่ความลับของเผ่าพันธุ์ความลับสวรรค์ที่คนทั้งโลกรู้เป็นแค่ยอดภูเขาน้ำแข็งที่อยู่เหนือน้ำเท่านั้น

หรือบางทีการสำรวจค้นหาของจ้าวเฟิงเองก็เป็นเพียงด้านเดียวของมิติลี้ลับแห่งนี้เช่นกัน

แต่อย่างไรก็ถือว่าได้เห็นความลับของจักรพรรดิโจรสลัดแล้ว

หลายหมื่นปีก่อน จักรพรรดิโจรสลัดโชคดีที่ค้นพบเขตมิติลี้ลับของความลับสวรรค์แห่งนี้ แต่ระดับปรมาจารย์ด้านกลไกและปรมาจารย์ด้านค่ายกลของเขาไม่สามารถควบคุมที่นี่ได้ทั้งหมด

หลังจากที่จักรพรรดิโจรสลัดตายไปแล้ว ก็ได้ใช้ประโยชน์ของเขตลี้ลับเผ่าพันธุ์ความลับสวรรค์แห่งนี้ในการฝังมรดกของตนเอง

ถ้าหากว่าไม่ใช่เพราะพื้นฐานของที่แห่งนี้ มรดกของจักรพรรดิโจรสลัดก็ไม่อาจจะยิ่งใหญ่ได้ขนาดนี้ แม้แต่จักรพรรดิและเซียนก็ยังไม่กล้าบุกทะลวงเข้าไปด้วยซ้ำ

ณ ใจกลางของหุบเขาสิบแปดยอด

น้ำวนยักษ์สูงพันจั้งก่อให้เกิดพลังในฟ้าดินที่น่ากลัวมากพอจะทำลายสรรพสิ่งนับหมื่นให้แหลกเป็นชิ้น

“มรดกจักรพรรดิโจรสลัดใกล้จะสิ้นสุดลงแล้ว…”

บนเรือสำเภาสีทองมรณะมีเสียงสะท้อนของราชาอินหยางลอยมา

บนเรือสำเภาสีทองในเวลานี้ นอกจากเวินลั่วอันและราชาอินหยางแล้ว ยังมีราชาจิตวิญญาณมรณะอีกสองคน แบ่งเป็นชายหนึ่งหญิงหนึ่ง อยู่ในความมืดมิดที่ปกคลุมร่าง

“ราชาจิตวิญญาณมรณะสามคน องครักษ์แห่งความตายยี่สิบหกคน อีกไม่กี่วันอาจารย์ก็จะมาถึงแล้ว จ้าวเฟิง…ข้าจะรอดูว่าในครั้งนี้เจ้าจะหนีเอาตัวรอดอย่างไร”

มุมปากของเวินลั่วอันผุดรอยยิ้มหยัน

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!