Skip to content

King of Gods 724

King Of Gods

บทที่ 724 ลอบทำร้าย

“เปรี้ยง! โครม”

ในชั้นดวงวิญญาณเกิดเสียงดังกึกก้อง กระทั่งมีความรู้สึกประหลาดราวกับมิติกำลังสั่นสะเทือน

จิตต่อสู้ของดวงตาเทพเจ้าสีม่วงเหี้ยมโหดรุนแรง ล้อมรอบไปด้วยวายุอัสนีสีชาดชั้นหนึ่ง ส่งเสียงสะเทือนเลื่อนลั่น พลังนั้นทะลวงผ่านชั้นดวงวิญญาณ กระทั่งส่งผลไปถึงขอบเขตรูปธรรมด้วย

อีกด้านหนึ่ง เนตรมรณะที่มืดมิด ในเงาดวงตาขนาดใหญ่ลอดแววหวาดกลัวออกมาครั้งแรก

เนตรมรณะไม่ได้ปรากฏขึ้นจริงๆ แต่ว่าเชื่อมโยงข้ามดินแดนกับพื้นที่ดังกล่าว

มันสามารถข้ามดินแดนมาแสดง ‘เนตรเพ่งมรณะ’ แต่ว่าไม่ถนัดจะเผชิญหน้ากับสายเลือดดวงตาในชั้นดวงวิญญาณแบบ ‘ระยะประชิด’

โครม~

การโจมตีครั้งใหญ่ของดวงตาเทพเจ้าสีม่วง ทำให้เงาดวงตามืดดำลึกล้ำนั่นปรากฏแนวโน้มที่จะสั่นไหวไม่มั่นคง

“ผู้เยาว์…ครั้งนี้นับว่าเจ้าเก่งกล้าสามารถ!”

เงาของเนตรมรณะที่อยู่กลางอากาศสูง โคจรหดเล็กลงอย่างแปลกประหลาดจนเหลือเพียงจุดเล็กๆ สีดำเท่านั้น

เนตรมรณะข้ามผ่านฟ้ามาสำแดง ‘เนตรเพ่งมรณะ’ จึงสูญเสียพลังอย่างมาก

ยิ่งไปกว่านั้นตัวของเนตรมรณะยังไม่ฟื้นฟูดี แล้วยังต้องเผชิญหน้าการโต้กลับของจ้าวเฟิง

จักรพรรดิแห่งความตายรู้ตัวดี ความต้องการจะสังหารจ้าวเฟิงในครั้งนี้ไม่อาจเป็นจริงได้แล้ว

แทนที่จะอยู่โดนโจมตีกลับ ไม่สู้ถอยทัพกลับไปเอง เก็บกักไอสวรรค์เอาไว้ส่วนหนึ่ง

พรึ่บ!

เมื่อ ‘เนตรมรณะ’ เปลี่ยนเป็นจุดสีดำเล็กๆ และกำลังจะหายไปนั้น ระลอกการโจมตีที่รุนแรงจากดวงตาเทพเจ้าสีม่วงกลืนกินมันเข้าไปอย่างจัง

โครม ฟิ้ว!

บริเวณเดิมที่เนตรมรณะอยู่มีดวงตาเทพเจ้าสีม่วงขนาดใหญ่และเป็นรูปธรรมเข้ามาทดแทน วายุอัสนีสีชาดล้างผลาญ เจตจำนงดวงตาสาดกระจายไปทั่วฟ้าดิน

ในวินาทีนี้

เจตจำนงดวงตาที่จ้าวเฟิงสำแดงออกมาแข็งแกร่งไม่น้อยไปว่าจักรพรรดิในขอบเขตปราณเทวะ แล้วยังมีอานุภาพรุนแรงอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน

วูบ!

เนตรมรณะหายไปอย่างไร้ร่องรอยแล้ว ทิ้งไว้เพียงควันสีเทาลอยกรุ่น

“หนีได้ไวเอาการทีเดียว!”

ดวงตาเทพเจ้าสีม่วงใหญ่ยักษ์เผยแววประหลาดออกมา

การโต้กลับระลอกสุดท้ายของจ้าวเฟิง ทำให้จักรพรรดิแห่งความตายตัดสินใจถอยหนีไป ไม่กล้าจะเล่นลูกไม้อะไรอีก

เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ราคาที่จักรพรรดิแห่งความตายต้องชดใช้จะลดลงไปถึงจุดต่ำสุด

แม้ว่าจักรพรรดิแห่งความตายจะหลบหนีไปได้เร็ว แต่ว่าก็ยังโดนผลจากการโต้กลับอยู่เล็กน้อย ทั้งหมดที่เสียไปนับว่ามากกว่าคราวของจักรพรรดิมู่อวิ๋นในครั้งก่อนมาก

“จักรพรรดิท่าน ที่แท้ก็…”

องครักษ์แห่งความตายเก้าคนในที่ดังกล่าวต่างกระอักเลือด ใบหน้าขาวซีดกันเป็นแถวเพราะการโจมตีเมื่อครู่

โครม!

ดวงตาเทพเจ้าสีม่วงที่หลอมรวมเข้ากับฟ้าดิน ปลดปล่อยเจตจำนงดวงตาที่สะเทือนฟ้าดินออกมา พุ่งผ่านร่างขององครักษ์แห่งความตายทั้งเก้าคน

ในพลังดวงตานั้นมีเสียงดังเปรี้ยงปร้างของวายุอัสนีล่องลอยมาด้วย และทำลายดวงวิญญาณขององครักษ์ทั้งเก้าคนจนพินาศในพริบตา

“อ๊าก อ๊าก อ๊าก…”

องครักษ์แห่งความตายเก้าคนดับดิ้นไปทั้งหมด

สังหารในพริบตาเดียว!

ดวงเทพเจ้าสีม่วงขนาดใหญ่นั้น ในความจริงแล้วก็คือการใช้ดวงตาเทพเจ้าเป็นเค้าร่าง เป็นสภาวะ ‘วิญญาณดั้งเดิมออกจากร่าง’ ของจ้าวเฟิง

สถานการณ์เช่นนี้ทำให้กำลังรบในดวงวิญญาณของจ้าวเฟิงแข็งแกร่งอย่างยิ่ง และกลมกลืนกับฟ้าดินยิ่งขึ้นอีก

เฮือก!

เด็กน้อยครึ่งเซียนและเจ้าหอโครงกระดูกอดจะสูดลมหายใจเข้าอย่างหวาดกลัวไม่ได้

 

คนในขั้นราชันธรรมดาเมื่อวิญญาณดั้งเดิมออกจากร่างล้วนแต่เพื่อหนีเอาชีวิตรอด หรือไม่ก็เพื่อเป้าหมายอื่นที่พิเศษกว่า น้อยครั้งนักที่จะใช้ไปเพื่อต่อสู้

ทว่าคนอย่างจ้าวเฟิง หลังจากวิญญาณออกจากร่างแล้วยังต่อสู้อย่างบ้าคลั่งอาจหาญ นับว่าหาได้ยากยิ่ง

พรึ่บ! ดวงตาสีม่วงที่บดบังดาวเดือนค่อยๆ สลายไปช้าๆ แล้วกลับเข้าสู่ในร่างของจ้าวเฟิงอย่างรวดเร็ว

พู่ว!

กายเนื้อของจ้าวเฟิงเริ่มขยับเขยื้อน ดวงตาซ้ายกลายเป็นสีม่วง เรือนผมก็เช่นกัน

หลังจากที่วิญญาณกลับเข้าร่างแล้ว จ้าวเฟิงก็พบว่าทั่วร่างของตนเองเต็มไปด้วยเหงื่อเย็นๆ

การต่อสู้ที่ผ่านมาอันตรายเกินไปจริงๆ

ยังดีที่ร่างจริงของจักรพรรดิแห่งความตายไม่ได้ปรากฏตัว และยังไม่ฟื้นฟูไปจนถึงระดับสุดยอด

‘เนตรเพ่งมรณะ’ ปรากฏตัวข้ามระยะทาง สิ้นเปลืองพลังอย่างยิ่ง อีกทั้งยังมีข้อจำกัดต่างๆ มากมาย

“แต่หลังจากที่ล้มเหลวในครั้งนี้ ถ้าจักรพรรดิแห่งความตายต้องการจะฟื้นคืนกลับไปสู่สภาวะสุดยอด ก็น่าจะใช้เวลาอีกเดือนสองเดือน” แววตาของจ้าวเฟิงเป็นประกายยามเอ่ยพึมพำ

จากการที่ ‘เนตรมรณะ’ ข้ามดินแดนมาและล้มเหลวไป ทำให้การต่อสู้ที่เกิดขึ้นสิ้นสุดลงเพียงเท่านั้น

ราชาวิญญาณมืดก็แทบจะดับสูญ แต่อาศัยช่วงหลังจาก ‘เนตรเพ่งมรณะ’ ปรากฏขึ้นพาเศษเสี้ยววิญญาณที่เกือบจะแตกสลายหนีเอาชีวิตรอดไป

กายเนื้อของราชาอินหยางสูญสลาย วิญญาณดั้งเดิมก็บาดเจ็บสาหัส เมื่อเห็นว่าสถานการณ์ไม่เข้าท่าก็หนีไปแล้วเช่นกัน

ราชาจิตวิญญาณมรณะทั้งสองคน ต่อให้สามารถรักษาชีวิตเอาไว้ได้ แต่ถ้าคิดจะสร้างกายเนื้อขึ้นมาใหม่หรือช่วงชิงมาเพื่อฟื้นฟูพลังให้กลับมาเป็นดังเดิม อย่างน้อยๆ ต้องใช้เวลาอีกหลายปีหรือหลายสิบปีทีเดียว

หลังจากการต่อสู้ขนานใหญ่นั้นแล้ว

ไม่ว่าจะจ้าวเฟิง เด็กน้อยครึ่งเซียน หรือเจ้าหอโครงกระดูกก็ล้วนแต่อ่อนล้าอย่างยิ่ง

“นายท่าน! พวกเรารีบออกเดินทางกันเถอะ ไม่เช่นนั้นจักรพรรดิแห่งความตายนั่น…”

ในแววตาของเจ้าหอโครงกระดูกมีความหวาดกลัวอย่างลึกล้ำ

จักรพรรดิแห่งความตายอยู่ไกลออกไปหลายดินแดนเกาะ การโจมตีที่ข้ามดินแดนมาก็ยังมีพลังสังหารของจักรพรรดิอยู่

ถ้าหากว่าร่างที่แท้จริงของเขาปรากฏขึ้น เคล็ดวิชาและวิชาต้องห้ามมรณะก็จะไม่มีขีดจำกัดใดๆ ผลที่ตามมายากจะคาดคิดได้

“ยังไม่ต้องรีบร้อน!”

จ้าวเฟิงไม่ปฏิเสธว่าพลังของจักรพรรดิแห่งความตายน่ากลัวอย่างยิ่ง ถ้าหากว่าตัวเขามาเองจริงๆ ตนและพวกอาจจะโดนปลิดชีพอย่างรวดเร็ว

แต่ว่าต่อให้เป็นจักรพรรดิก็ไม่สามารถข้ามผ่านระยะทางที่ยาวไกลเช่นนี้อย่างง่ายดาย นอกเสียจากว่าเป็นดวงเนตรมิติ

ยิ่งไปกว่านั้น ไอสวรรค์ของจักรพรรดิแห่งความตายก็สิ้นเปลืองไปมากแล้ว

“ลงไปก่อน!” จ้าวเฟิงให้เรือหุ่นเชิดศพดำดิ่งเข้าไปในมหาสมุทรความว่างเปล่า

 

ไม่นานนัก

ณ ที่ใดที่หนึ่งของทะเลความว่างเปล่าก็ปรากฏร่างเงาของบุรุษหนุ่มที่สลบไสลไม่ได้สติ

บุรุษหนุ่มผู้นั้นก็คือเวินลั่วอันที่โดนทำร้ายจนตกลงไปในท้องทะเลเมื่อยามก่อน เป็นตายร้ายดีอย่างไรไม่รู้แน่ชัด

ก่อนหน้านี้ เมื่อต้องเผชิญหน้ากับค่ายกลนรกกลืนวิญญาณ จุดพลิกสถานการณ์ของจ้าวเฟิงก็คือเวินลั่วอัน

จ้าวเฟิงได้คาดการณ์ล่วงหน้าไว้แล้วว่า ด้วยพลังชีวิตที่แกร่งกล้าของสายเลือดรายชื่อหมื่นเผ่าพันธุ์โบราณ เวินลั่วอันไม่น่าจะตายง่ายๆ

ผลัวะ ผลัวะ!

ในสายน้ำที่ทะลักออกมา ร่างของเวินลั่วอันสั่นน้อยๆ ฝืนพยายามลืมตาขึ้น

แล้วในเวลานี้เอง ในดวงวิญญาณของเวินลั่วอันเกิดความเจ็บปวดเหลือประมาณ ร่างกายยังรู้สึกชาวาบและแข็งทื่อ

“โซ่ตรึงวิญญาณ!”

ดวงตาซ้ายของจ้าวเฟิงเล็งเป้าหมายไปที่เวินลั่วอัน กักขังดวงวิญญาณเอาไว้

แส้อัสนีสีม่วงสีเข้มแต่ละเส้นมัดดวงวิญญาณไว้อย่างหนาแน่น

เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ต่อให้เวินลั่วอันอยากจะฆ่าตัวตายก็ไม่สามารถทำได้

เมี้ยว เมี้ยว!

เจ้าแมวขโมยตัวน้อยโบกกรงเล็บดัง ‘ขวับ’ ทำให้เวินลั่วอันให้สลบไปอีกครั้ง

ร่างกายและดวงวิญญาณของเวินลั่วอันในเวลานี้ล้วนแต่ได้รับบาดเจ็บสาหัส อ่อนแรงอย่างหาที่เปรียบไม่ได้

“นี่เป็นโอกาสที่ดีอย่างยิ่ง” จ้าวเฟิงผงกศีรษะ

เขาไม่ลังเลอีกต่อไป เจตจำนงดวงตาพุ่งเข้าไปภายในจุดลึกดวงวิญญาณของเวินลั่วอัน แล้วตี ‘ตราผนึกดวงใจทมิฬ’ ลงไป

ตราผนึกดวงใจทมิฬไม่เหมือนกับเมล็ดดวงใจทมิฬ

ในทันทีที่ใช้ ‘ตราผนึกดวงใจทมิฬ’ ความคิดและดวงวิญญาณของเป้าหมายก็จะกลายเป็นทาสอย่างสมบูรณ์

แน่นอนว่าตราผนึกดวงใจทมิฬนี้มีกำลังควบคุมแข็งแกร่ง แต่ว่าจะทำให้การพัฒนาศักยภาพของเป้าหมายมีจำกัด

ด้วยเพราะว่าวิญญาณและความคิดของเป้าหมายจะโดนครอบงำอย่างสมบูรณ์ สูญเสีย ‘ความเป็นตัวของตัวเอง’ ไปอย่างแท้จริง เป็นเหมือนหุ่นเชิดที่เชื่อฟังคำสั่ง อยากจะหลุดพ้นไปก็ช่างยากเย็นเป็นอย่างยิ่ง

ดังนั้นจ้าวเฟิงจึงไม่ได้ประทับตราผนึกดวงใจทมิฬกับ ‘เด็กน้อยครึ่งเซียน’ จากความรู้ความสามารถของอีกฝ่าย เขายอมตาย แต่ไม่ยอมตกเป็นทาสของผู้อื่นอย่างสมบูรณ์

เด็กน้อยครึ่งเซียนและเจ้าหอโครงกระดูกโดนฝังเพียงเมล็ดดวงใจทมิฬเท่านั้น

เมล็ดดวงใจทมิฬเป็นเหมือนกับเมล็ดแห่งความตายที่ฝังไว้ในดวงวิญญาณ สามารถระเบิดออกได้ทุกเมื่อ

ห้วงความคิดเดียวของจ้าวเฟิงก็ทำให้ดวงวิญญาณพรั่นพรึงจนเสียสติได้

ด้วยเหตุนี้ เมล็ดดวงใจทมิฬจึงทำให้เป้าหมายกลายมาเป็นข้ารับใช้ผ่านการควบคุมความเป็นความตาย เป้าหมายมีความคิดเป็นของตนเองก็อาจจะทรยศได้ แต่ว่าการพัฒนาความสามารถจะไม่ได้รับผลกระทบใดๆ

สองวันต่อมา

เรือหุ่นเชิดศพออกเดินทางไปเป็นระยะทางที่ยาวไกล เข้าไปในดินแดนเกาะแห่งใหม่

“นายท่าน!” น้ำเสียงอ่อนแรงเจือความหวาดกลัวของบุรุษหนุ่มดังขึ้นในห้องหัวหน้าเรือ

เวินลั่วอันคุกเข่าข้างหนึ่งอยู่เบื้องหน้าจ้าวเฟิงด้วยท่าทีเคารพนบนอบอย่างยิ่ง

แวววตาที่เขามองจ้าวเฟิงไม่เพียงเคารพยำเกรง แต่ยังมีแววยอมจำนนอยู่ใต้อำนาจจากดวงวิญญาณ

เด็กน้อยครึ่งเซียนและเจ้าแมวขโมยตัวน้อยมองอย่างสนใจใคร่รู้

“ไม่รู้ว่าจ้าวเฟิงจะจัดการศิษย์ของจักรพรรดิแห่งความตายผู้นี้อย่างไร”

ใจเด็กน้อยครึ่งเซียนเคร่งเครียดและหนักอึ้ง

หลังจากประทับตราผนึกดวงใจทมิฬไปแล้ว ต่อให้เป็นสัตว์อสูรหรือว่าสายเลือดในตำนานอย่างรายชื่อหมื่นเผ่าพันธุ์โบราณก็จะเป็นเหมือนหุ่นเชิดไม่ต่างกัน

ทุกวินาทีเด็กน้อยครึ่งเซียนมีชีวิตอยู่ภายใต้เงาอันตรายของ ‘เมล็ดดวงใจทมิฬ’ หลังจากที่ชุบชีวิตด้วยเลือดแล้ว

ความเป็นความตายของเขาก็อยู่ในเงื้อมมือของจ้าวเฟิง

อีกทั้งสิ่งที่แข็งแกร่งกว่าเมล็ดดวงใจทมิฬก็คือตราผนึกดวงใจทมิฬ

ในห้องหัวหน้าเรือ

จ้าวเฟิงสอบถามเวินลั่วอันไปอีกรอบใหญ่ โดยที่ฝ่ายหลังตอบทุกคำถามอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว

“มิน่าล่ะ คำสั่งล่าสังหารนั่นถึงคอยเกาะติดอยู่กับวิญญาณไม่ไปไหน ที่แท้ก็เป็นเพราะว่ายังมีผู้สืบทอดสายเลือดของ ‘เนตรทำนาย’ อยู่อีกคนนี่เอง”

จ้าวเฟิงล่วงรู้ข้อมูลมากมายจากการซักถาม

 

จะต้องรู้ว่า พื้นที่ของชางไห่มีขนาดที่กว้างใหญ่อย่างยิ่ง ต่อให้มีปฏิกิริยาตอบสนอง แต่หากต้องการไล่ล่าสังหารใครสักคนก็ยังเหมือนการงมเข็มในมหาสมุทร

ดังนั้นต่อมาจ้าวเฟิงจึงได้ลดการตอบสนองลงจนถึงจุดต่ำสุด

เดิมทีจ้าวเฟิงคิดเอาว่าตนเองโชคร้ายเกินไป จึงต้องเผชิญหน้ากับคำสั่งล่าสังหารครั้งแล้วครั้งเล่า

“เนตรทำนายงั้นรึ?” เด็กน้อยครึ่งเซียนและเจ้าแมวขโมยตัวน้อยหน้าเปลี่ยนสีไป

ในแปดเนตรเทพเจ้า เนตรทำนายมีเอกลักษณ์พิเศษที่สุด กำลังรบของมันไม่ได้แข็งแกร่งที่สุด บางทีอาจจะอ่อนแอที่สุดด้วยซ้ำ แต่ความน่ากลัวของพลังทำนายอยู่ที่มันไม่สามารถจับต้องได้ และไม่สามารถควบคุมได้

ในผืนพสุธานี้เคยผ่านยุคบรรพกาล ยุคโบราณ ยุคประวัติศาสตร์ เวลาที่ผ่านมาทำให้เกิดยอดฝีมือมากี่คนต่อกี่คนแล้ว?

ผู้ถูกเลือกเหนือใต้หล้าแต่ละคน ความสามารถอยู่เหนือคนทั้งปวง แต่ที่สุดแล้วก็หนีไม่พ้นชะตาที่ตามมา

ต่อจากนั้น

จ้าวเฟิงจึงสืบวิญญาณของเวินลั่วอันเพื่อทำความเข้าใจเรื่องราวมากมายของ ‘จักรพรรดิแห่งความตาย’ กระทั่งความเคยชินในชีวิตประจำวัน นิสัย และความชอบของเขาก็ไม่ปล่อยให้เล็ดลอดไปได้

รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง

จ้าวเฟิงและจักรพรรดิแห่งความตายเดินอยู่บนเส้นทางตรงข้ามกัน ไม่ใครคนใดคนหนึ่งจะต้องตาย

การทำความเข้าใจในขีดจำกัดของศัตรูเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่ง

สองชั่วยามต่อมา

“เวินลั่วอัน เจ้ากลับไปหาอาจารย์ของเจ้าเถอะ” จ้าวเฟิงเอ่ยสั่ง

“ขอรับ นายท่าน”

เวินลั่วอันผู้มีสีหน้าสงบเสงี่ยมจงรักภักดี จากเรือหุ่นเชิดศพไปพร้อมด้วยร่างกายที่บาดเจ็บสาหัส

ภายในห้อง

จ้าวเฟิงนั่งขัดสมาธิ ปิดตาเพื่อฝึกบำเพ็ญ

ในตอนนี้ไม่ว่าด้านใดๆ เขาก็แทบไม่ต่างอะไรกับราชันในขอบเขตแก่นก่อกำเนิด ถึงขั้นแข็งแกร่งกว่าเสียด้วยซ้ำไป

มีเพียงจำนวนปราณที่แท้จริงของเขาที่ยังไม่มากพอ

ขาดไปเพียงครึ่งก้าวเท่านั้น เขาก็จะกลายเป็นราชันอย่างสมบูรณ์

เส้นทางการเดินเรือของเรือหุ่นเชิดศพยังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน อ้อยอิ่งอยู่ภายในดินแดนศักดิ์สิทธิ์โจรสลัดเพียงเดือนกว่าๆ แล้วจึงมุ่งหน้าไปที่ ‘ตำหนักเซียนพิณสวรรค์’ ในทันที

ครึ่งเดือนต่อมา

ณ เขตภายในขนาดเล็กที่เป็นป่าไม้ผืนย่อม

เมื่อมองจากด้านบนลงมา ทั่วทั้งเขตภายในนั้นล้วนแต่เป็นป่าไม้และหุบเขาที่เขียวชอุ่ม

ในหุบเขาที่ห่างไกลและเงียบสงบ

ตุบ!

ร่างของเวินลั่วอันที่เดินโซเซอย่างเจ็บปวด ตกลงไปในละแวกใกล้เคียงปากถ้ำแห่งหนึ่ง

พลั่ก!

เวินลั่วอันล้มลงบนพื้น แล้วกัดฟันเอ่ยอย่างเจ็บปวด “อาจารย์… ข้ามีข่าวสำคัญมาบอกท่าน!”

“องค์ชายสาม!” องครักษ์แห่งความตายสองคนกุลีกุจอพยุงเวินลั่วอันขึ้น

“อันเอ๋อร์ ที่แท้แล้วเจ้ายังมีชีวิตอยู่…” ปรากฏเสียงหนึ่งดังขึ้นกลางอากาศ

พรึ่บ!

ร่างสูงใหญ่ที่ลี้ลับ เก่าแก่ และมืดมิดราวกับเงาของความตาย ปรากฏที่ด้านหน้าของเวินลั่วอัน

สีหน้าของจักรพรรดิแห่งความตายดูอ่อนแรง แต่มีความยินดีและตกใจปรากฏอยู่บ้างขณะมองประเมินลูกศิษย์ของตนเอง

แล้วทันใดนั้นเอง เขาเหมือนจะสัมผัสบางอย่างได้ หน้าเปลี่ยนสีอย่างฉับพลัน

วินาทีถัดมา

สีหน้าของเวินลั่วอันที่อยู่ตรงหน้าก็โหดเหี้ยม ปราณที่แท้จริงในร่างกายสั่นระริก ทั่วทั้งร่างกลายเป็นเพลิงโลหิตสีทองที่มีไฟลุกโชนลูกหนึ่งแล้วระเบิดออกในทันที

“ตูม” ในเสียงระเบิดโครมคราม รัศมีหลายร้อยลี้ถูกเพลิงโลหิตสีทองที่เกิดจากเวินลั่วอันระเบิดตนเองกลืนกินไป หุบเขาที่อยู่เบื้องหน้าถูกทำลายล้างจนราบเป็นหน้ากลอง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!