Skip to content

King of Gods 725

King Of Gods

บทที่ 725 ทะลวงขั้นราชัน (1)

หลังจากเสียงระเบิดดังโครมครามราวกับพื้นดินถล่มทลาย พื้นที่ไกลออกไปหลายพันลี้สัมผัสได้ถึงการสั่นสะเทือนนี้อยู่รางๆ

“ตูม”

เมื่อมองจากไกลๆ ในใจกลางของพื้นที่ที่เกิดเสียงระเบิดเหมือนมีกลุ่มลูกไฟสีทองสว่างระเบิดตัวเอง เพลิงโลหิตแสงสีทองที่สว่างแสบตาทำลายทุกอย่างในรัศมีหลายร้อยลี้

ใจกลางของพื้นที่ที่ระเบิดตัวตายมีกลิ่นอายต้องห้ามโบราณลอยกรุ่นอยู่น้อยๆ

อานุภาพของการระเบิดตนเองครั้งนี้แข็งแกร่งกว่ายามอยู่ในอุทยานครึ่งเซียนมากกว่าเท่าสองเท่าทีเดียว

ต้องรู้ว่า อานุภาพของการระเบิดในครั้งก่อนสามารถสังหารราชาจิตวิญญาณมรณะผู้หนึ่งได้

แต่ว่าในครั้งนี้ เวินลั่วอันระเบิดตนเองใน ‘สภาวะสมบูรณ์’ และไม่ใช่เคล็ดวิชาลับใดๆ

เพราะสิ่งที่มาพร้อมการระเบิดตัวเองของเขา ยังมีพลังสายเลือดของรายชื่อหมื่นเผ่าพันธุ์โบราณ กระทั่งรวมไปถึงดวงวิญญาณตนเองด้วย

จากจุดนี้จะเห็นได้ว่าพลังจากระเบิดตนเองในครั้งนี้น่ากลัวขนาดไหน เกรงว่าต่อให้เป็นจักรพรรดิธรรมดาทั่วไป ก็ยังไม่สามารถหนีรอดออกมาได้อย่างปลอดภัยไร้รอยขีดข่วน

ฟิ้ว!

รัศมี้พันลี้ปกคลุมไปด้วยฝุ่นธุลี สภาพแวดล้อมในดินแดนขนาดเล็กทั้งหมดล้วนได้รับผลกระทบไปด้วย

ดินแดนภูเขาต้นไม้ขนาดเล็กแห่งนี้เป็นประเภทเดียวกับเขาปาฮวง มิติที่ดำรงอยู่มีขนาดเทียบเท่าได้กับพื้นที่ของแคว้นเมฆาและสิบสามแคว้น

ในดินแดนแห่งนี้ ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดเป็นเพียงแค่ยอดผู้สูงศักดิ์ในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูง

การระเบิดตนเองในระดับนี้ มีกลิ่นอายน่ากลัวที่ทำให้ผู้สูงศักดิ์ในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดบางส่วนภายในดินแดนแห่งนี้หวาดกลัวจนใจเต้นระรัว

ฝุ่นธุลีที่ปกคลุมเป็นรัศมีพันลี้ยังไม่สลายตัวไปแม้จะผ่านไปเป็นเวลานาน

“จ้าว…เฟิง…”

ในใจกลางของระเบิด หุบเขาที่ถูกทำลายจนราบเป็นหน้ากลองมีเสียงที่ทำให้ใจเย็นวาบลอยแว่วมา

น้ำเสียงนั้นต่ำและเย็นเยียบยิ่ง เหมือนลอยออกมาจากนรกขุมที่ลึกที่สุด

เห็นเพียงแค่ร่างเงามรณะที่สวมมงกุฎสีทองยืนนิ่งไม่ไหวติง ชุดคลุมสีดำตัวใหญ่บนร่างพลิ้วไหวไปกับสายลมพัด

จักรพรรดิแห่งความตายที่ยืนอยู่ตรงนั้นดูไปแล้วไม่บาดเจ็บเลยแม้แต่ปลายเล็บ

แต่ทว่าสีหน้าของเขากลับเขียวคล้ำอย่างยิ่ง ดวงตาสีดำที่ลึกไร้ก้นบึ้งหรี่เล็กลง

อาณาเขตทั่วทั้งหุบเขาในครรลองสายตา นอกจากจักรพรรดิแห่งความตายแล้ว องครักษ์แห่งความตายสองสามคนแม้กระทั่งกระดูกก็สูญสลายกลายเป็นธุลี

ในจุดที่จักรพรรดิแห่งความตายยืนอยู่เหมือนมีพลังไร้รูปร่างอบอวลอยู่ ขนาดพื้นที่ใต้เท้าของเขายังไม่เหลือร่องรอยอะไรเลย

พลังที่น่าสะพรึงกลัวเช่นนี้ มากพอที่จะทำให้จักรพรรดิในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ส่วนหนึ่งต้องอกสั่นขวัญแขวน

“ป๋าย…ป๋ายหลิน!”

จักรพรรดิแห่งความตายพลันคิดอะไรขึ้นมาได้ หน้าจึงเปลี่ยนสี

ถ้าหากว่าเด็กน้อยนัยน์ตาขาวโพลนอยู่ในรัศมีหลายร้อยลี้นั้นด้วยก็จะต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย

นางไม่มีพลังในการรักษาชีวิตไว้และความสามารถอย่างองครักษ์แห่งความตาย

การตายของเวินลั่วอันผู้เป็นลูกศิษย์คนที่สามนำความอัปยศอย่างยิ่งมาสู่จักรพรรดิแห่งความตาย

ต้องมองดูลูกศิษย์ที่ฟูมฟักมานานหลายปีระเบิดตนเองตายไปต่อหน้าต่อตา แต่กลับขัดขวางไว้ไม่ทัน ช่างอับอายและน่าหัวร่ออะไรเพียงนี้

แล้วทั้งหมดนี้เป็นจ้าวเฟิงนั่นที่ลงมือทำ

แต่ถ้าหาก ‘เด็กหญิงนัยน์ตาขาว’ ที่มีเนตรทำนายตายอยู่ในเหตุการณ์ระเบิดด้วยแล้วล่ะก็ การสูญเสียที่เกิดขึ้นก็จะหนักหนาสาหัสกว่ามาก

เมื่อนึกถึงตรงนี้แล้ว จักรพรรดิแห่งความตายแค่นเสียงหัวเราะออกมา สีหน้าเปลี่ยนเป็นดูไม่ได้

การระเบิดตัวเองเมื่อครู่นี้ ถึงแม้จะไม่ได้สร้างความเสียหายใดๆ ให้แก่เขา แต่ด้วยร่างกายที่อ่อนแอ แล้วยังฝืนกระตุ้นเคล็ดวิชาทำการป้องกัน จึงโดนผลสะท้อนกลับมาไม่น้อย

สำหรับจักรพรรดิแห่งความตายที่ต้องฟื้นฟูร่างกายแล้วเป็นการเพิ่มน้ำค้างแข็งบนหิมะ[1]อย่างไม่ต้องสงสัย

“ป๋ายหลิน!”

จักรพรรดิแห่งความตายฝืนกระตุ้นห้วงความคิดให้ครอบคลุมรัศมีหลายพันลี้

“ท่าน…ท่านอาจารย์!”

น้ำเสียงขลาดกลัวดังขึ้นจากบนฟ้าที่อยู่ไกลๆ เมื่อแหงนศีรษะมองก็เห็นเด็กหญิงนัยน์ตาขาวที่มีสีหน้าซีดขาวท่าทีกลัวค่อยๆ ร่อนลงบนพื้น

“ไม่ตายก็ดีแล้ว!” จักรพรรดิแห่งความตายอดถอนใจยาวไม่ได้

เด็กน้อยนัยน์ตาขาวไม่เสียทีที่มี ‘ดวงตาทำนาย’ จึงมีประสาทสัมผัสที่ไวต่ออันตรายอย่างยิ่ง

ก่อนที่เวินลั่วอันจะระเบิดตัวเอง เด็กหญิงนัยน์ตาขาวก็ ‘บังเอิญ’ หนีไปเล่นพอดิบพอดี

โชคชะตาก็เป็นส่วนหนึ่งของชีวิต

แต่สำหรับ ‘เด็กหญิงนัยน์ตาขาว’ ที่มี ‘เนตรทำนาย’ แล้ว นางถึงขั้นที่น่าจะมีความสามารถในการควบคุมดวงชะตาได้

“จ้าวเฟิง…เกรงว่านี่ถึงจะเป็นเป้าหมายที่แท้จริงของเจ้าสินะ”

นัยน์ตาลึกไร้ก้นบึ้งของจักรพรรดิแห่งความตายจ้องไปยังทิศทางของดินแดนศักดิ์สิทธิ์โจรสลัด มุมปากของเขายกรอยยิ้มเย็น

เพียงแค่เนตรทำนายยังอยู่ฝั่งเดียวกับเขา จักรพรรดิแห่งความตายก็จะมีโอกาสชนะมากกว่านัก

“ศิษย์พี่สาม…ข้าจะล้างแค้นให้ท่าน”

ในดวงตาของเด็กน้อยนัยน์ตาขาวฉายอารมณ์โกรธแค้นที่หาได้ยากยิ่งออกมา

ช่วงเวลาที่ศิษย์พี่เวินอยู่เคียงข้างนางเหมือนปรากฏชัดในดวงตา บุรุษหนุ่มผู้อบอุ่นที่มีรอยยิ้มสดใสเสมอและดูแลนางไม่ห่าง ยังวนเวียนอยู่ในหัวของนางไม่จางหาย

บนใบหน้าของเด็กหญิงนัยน์ตาขาวโพลน ค่อยๆ มีวี่แววตั้งใจจริงและเคร่งเครียดยิ่งขึ้น

“ป๋ายหลิน การคาดเดาของเจ้าพัฒนาเป็นอย่างไรบ้าง?” จักรพรรดิแห่งความตายเอ่ยถาม

เด็กหญิงผู้มีเนตรทำนายผู้นี้มีท่าทีเอื่อยเฉื่อยไม่สนใจต่อสิ่งใด น้อยครั้งนักที่จะเห็นนางเอาจริงเอาจัง

“ข้อมูลกับเบาะแสเพิ่มขึ้นทีละน้อย ข้าหาร่องรอยที่อยู่ของเขาได้แน่” เด็กน้อยนัยน์ตาขาวโพลนจับพู่กันแล้วกัดริมฝีปาก

ตามเส้นทางการหลบหนีของจ้าวเฟิงและการปะทะกับราชาจิตวิญญาณมรณะ จำนวนข่าวสารที่เล็ดลอดออกมานับวันยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ

ทะเลความว่างเปล่าที่ห่างไกลอีกฟากหนึ่ง

สวบ!

เรือหุ่นเชิดศพโบยบินไปยังทิศทางหนึ่งด้วยความเร็วคงที่

ภายในห้องหัวหน้าเรือ

“เสียดาย…”

จ้าวเฟิงนั่งขัดสมาธิ สีหน้าเผยแววเสียดาย

วินาทีที่เวินลั่วอันระเบิดตัวเอง จ้าวเฟิงเองก็เห็นภาพที่เลือนรางผ่านทางตราผนึกดวงใจทมิฬ

ความแข็งแกร่งของจักรพรรดิแห่งความตายเกินกว่าที่คิดไว้มาก

อีกทั้งในอาณาเขตที่ระเบิดตนเองไม่มีกลิ่นอายของเด็กหญิงนัยน์ตาขาวโพลนผู้นั้น

แต่ทว่า การระเบิดตนเองของเวินลั่วอันนับเป็นครั้งแรกที่จ้าวเฟิงลงมือโต้กลับอย่างแท้จริงหลังจากต้องเผชิญหน้ากับคำสั่งล่าสังหาร

ในอดีตที่ผ่านมา เมื่อจ้าวเฟิงเผชิญหน้ากับคำสั่งล่าสังหารล้วนเป็นการหนีจากการโดนจู่โจมหรือไม่ก็สู้หลังชนฝา

แต่ว่าในครั้งนี้ จ้าวเฟิงไม่เพียงแต่สร้างความเสียหายอย่างหนักต่อมือซ้ายมือขวาของจักรพรรดิแห่งความตาย ทั้งยังโจมตีกลับใส่ฝ่ายนั้นด้วย

“เจ้าหอโครงกระดูก เปลี่ยนเส้นทางเดินเรือเล็กน้อยแล้วกัน” จ้าวเฟิงเปิดปากเอ่ยในทันที

ผู้ครอบครองดวงตาทำนายส่งสัญญาณเตือนมาให้เขา

เขาไม่สามารถเดินทางตามเส้นทางและตรงดิ่งไปที่ตำหนักเซียนพิณสวรรค์เสียแล้ว

ต่อมา จ้าวเฟิงให้เจ้าหอโครงกระดูกเปลี่ยนเส้นทางการเดินเรือระหว่างทางอย่าง ‘ไร้รูปแบบ’

จุดหมายปลายทางไม่เปลี่ยน แต่ว่าเส้นทางระหว่างนั้นกลับมีการเปลี่ยนแปลงอย่างไร้รูปแบบ จ้าวเฟิงอาศัยความรู้สึกของตนเองในการเลือกกระทำเช่นนี้

“นายท่าน ตามเส้นทางการเดินเรือเส้นใหม่ ระยะทางจะยาวไกลกว่าเดิมอยู่ส่วนหนึ่ง ต้องใช้เวลาอีกปีหนึ่งถึงจะไปถึงตำหนักเซียนพิณสวรรค์” เจ้าหอโครงกระดูกเอ่ย

“ทำตามนี้ได้เลย” จ้าวเฟิงผงกศีรษะ

เวลาหนึ่งปีต่อมา เขาต้องสงบจิตใจฝึกตน จ้าวเฟิงปิดเปลือกตาลงและเริ่มปิดด่านฝึกบำเพ็ญ

ในวันนี้ นอกเหนือจากจำนวนปราณที่แท้จริงของจ้าวเฟิง ด้านต่างๆ ล้วนแข็งแกร่งกว่าราชันในขอบเขตปราณเทวะธรรมดา

จ้าวเฟิงจัดแจงสิ่งของที่ยึดมาได้จากคู่ต่อสู้ส่วนหนึ่งภายในแหวนเหล็กโบราณ เพื่อที่จะเพิ่มความเร็วในการเพิ่มปราณที่แท้จริง

ในความเป็นจริงแล้ว หลังจากได้รับโอกาสที่เผ่าพันธุ์ความลับสวรรค์ ต้นทุนในมือของจ้าวเฟิงก็ใช้ไปจนเกือบหมดแล้ว

ทรัพยากรล้ำค่าส่วนหนึ่งที่เหลืออยู่ของเขาล้วนแต่แย่งชิงมาได้ในภายหลัง

แต่ว่าเมื่อมาถึงระดับขั้นนี้แล้ว ทรัพยากรที่สามารถกระตุ้นผลักดันจ้าวเฟิงนับวันยิ่งน้อยลงไปทุกที

เวลาสองเดือนผ่านไป

จ้าวเฟิงดื่มสุราเพลิงมังกรและสุราเมฆาอัสนีที่เหลือเพียงเศษเสี้ยวจนหมด แต่ว่าผลลัพธ์ของมันก็ไม่ได้เห็นอย่างชัดเจน

ในเมื่อปราณที่แท้จริงพิฆาตสีชาดของจ้าวเฟิงไปถึงระดับความแข็งแกร่งของขั้นราชัน แล้วยังเหนือกว่าขอบเขตปราณเทวะทั่วไปอยู่เล็กน้อย

“ยังเหลือสุราเซียนมายาครึ่งแก้วสุดท้าย” ในมือของจ้าวเฟิงปรากฏแก้วผลึกสีม่วงใบหนึ่ง

อึก อึก!

จ้าวเฟิงดื่มสุราเซียนมายาครึ่งแก้วสุดท้ายจนหมด

จากการต่อสู้อย่างหนักหน่วงในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ทำให้ระดับสำนึกรู้ของจ้าวเฟิงมั่นคงและพัฒนาขึ้น

หลังจากที่ดื่มสุราครึ่งเซียนไปแล้ว ฤทธิ์สุราที่รุนแรงก็เข้าครอบงำสตินึกคิดและดวงวิญญาณของจ้าวเฟิง

ในส่วนของแก่นแท้ ฤทธิ์ของสุราครึ่งเซียนโดนดวงวิญญาณดูดซึมไป ความเมามายส่งผลโดยตรงต่อสตินึกและคิดดวงวิญญาณ

สตินึกคิดของจ้าวเฟิงเข้าสู่สภาวะความว่างเปล่าที่ลี้ลับอย่างรวดเร็ว

ในช่วงไม่กี่ลมหายใจสั้นๆ

สำนึกรู้ในจิตวิญญาณของจ้าวเฟิงเพิ่มขึ้น ความสอดประสานเข้าใจในจักรวาลและฟ้าดินเพิ่มขึ้นอย่างมากมาย

แน่นอนว่าการเพิ่มขึ้นของสำนึกรู้เช่นนี้เป็นเรื่องเพียงชั่วคราวเท่านั้น

จ้าวเฟิงจึงรีบทำเวลา รวบรวมสตินึกคิดดำดิ่งเข้าไปในสภาวะความลึกซึ้ง

สิบช่วงลมหายใจต่อมา

ความเมามายก็ค่อยๆ ลดลงจากระดับสูงสุด

หลังจากช่วงเวลาจิบชาครึ่งถ้วย

สตินึกคิดของจ้าวเฟิงกลับมากระจ่างชัด เขาส่ายศีรษะแล้วถอนหายใจยาว

เมื่อมาถึงระดับขอบเขตของเขาในวันนี้ ผลลัพธ์ของสุราเซียนมายาต่างชั้นกว่าครั้งแรก และผลของมันก็น้อยนิดอย่างยิ่ง

การรับรู้เมื่อครู่ สำนึกรู้ในจิตวิญญาณของจ้าวเฟิงก็เพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

แต่ทว่าสำนึกรู้ในจิตวิญญาณอยู่ในกระบวนการเข้าใกล้ขอบเขตปราณเทวะอย่างสมบูรณ์ ถึงจะเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยก็ยังเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นยากอย่างยิ่ง

“การรับรู้ที่ข้ามีต่อสำนึกรู้ในฟ้าดินน่าจะเกินระดับขั้นราชันส่วนมากไปแล้ว” จ้าวเฟิงผงกศีรษะน้อยๆ

คิดๆ ดูแล้ว มีเพียงจักรพรรดิปราณเทวะที่สมบูรณ์เท่านั้นถึงจะสามารถกดข่มจ้าวเฟิงในด้านสำนึกรู้ได้

หลังจากที่สำนึกรู้เพิ่มขึ้น ความเร็วในการฝึกตนของจ้าวเฟิงก็เพิ่มขึ้นตามไปด้วย

เดือนสองเดือนต่อจากนั้น พลังฝึกตนของจ้าวเฟิงเพิ่มขึ้นอย่างสม่ำเสมอ เสียดายก็เพียงแต่ ทรัพยากรที่สามารถกระตุ้นให้เพิ่มพลังในมือนับวันยิ่งน้อยลงไปทุกที

ในเดือนที่สี่หลังเดินทางออกจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์โจรสลัด จำนวนปราณที่แท้จริงของจ้าวเฟิงก็ไปจนถึงขีดสุดของขอบเขตแก่นก่อกำเนิดช่วงสุดยอด

ต่อจากนี้จ้าวเฟิงก็อาจสามารถทะลวงผ่านไปยังขอบเขตปราณเทวะได้ทุกเมื่อ

“เพิ่มระดับขึ้นเป็นราชัน ถึงแม้ไม่สามารถทำให้พลังของข้าเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด แต่ว่าส่วนแฝงในพลังฝึกตนของข้าก็จะลึกล้ำอย่างยิ่ง และไม่ยุ่งยากอีกต่อไป…” จ้าวเฟิงเอ่ยพึมพำ

ระดับความแข็งแกร่งของปราณที่แท้จริง ระดับขั้นดวงวิญญาณ สำนึกรู้ในจิตวิญญาณ ไม่ว่าจะด้านใดๆ จ้าวเฟิงก็อยู่ในขอบเขตปราณเทวะทั้งสิ้น สิ่งที่เขาขาดไปก็คือจำนวนปราณที่แท้จริงเท่านั้น

การต่อสู้ครั้งใหญ่ของขั้นราชันในยามก่อน จ้าวเฟิงล้วนต้องรีบสู้และรีบเอาชนะให้เสร็จสิ้น ในทันทีที่ใช้เวลายาวนานก็จะทำให้พลังสำรองไม่เพียงพอ

ภายในห้องหัวหน้าเรือ

จ้าวเฟิงอยู่ห่างจากขอบเขตปราณเทวะเพียงแค่กำแพงบางๆ กั้น แต่ว่าทรัพยากรล้ำค่าที่สามารถใช้ได้ในมือของเขาล้วนถูกใช้ไปเกือบหมดแล้ว

ในวันนี้ จ้าวเฟิงปิดเปลือกตาลง แล้วปล่อยให้สตินึกคิดของเขาดำดิ่งลงไปในน้ำวนไร้รูปร่างที่ใจกลางทะเลวิญญาณสีม่วง

พรึ่บ!

จ้าวเฟิงเข้าไปภายในพื้นที่เก่าแก่ดั้งเดิมแห่งนี้อีกครั้ง

จนถึงในเวลานี้ แรงต่อต้านที่ห้วงฝันบรรพกาลมีต่อจ้าวเฟิงนับวันยิ่งน้อยลงไปทุกที โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลังจากที่หลอมรวมสายเลือด ‘เผ่าพันธุ์เกล็ดมังกรเหมันต์’ ของรายชื่อหมื่นเผ่าพันธุ์โบราณเข้าไปแล้ว แรงต่อต้านก็ลดลงไปอย่างยิ่ง

เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว พลังรบที่จ้าวเฟิงจะสำแดงออกในห้วงฝันบรรพกาลนั้นก็แข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิมมาก

ตุบ ตับ! ตุบ ตับ!

จ้าวเฟิงสาวเท้าเร็วๆ เหยียบลงบนพื้น ตรงดิ่งเข้าไปใกล้ป่าไม้ด้านหน้า

ผ่านไปสักพัก

ตุบ!

จ้าวเฟิงกระโดดเข้าไปภายในป่าไม้

ภายในป่ามีสัตว์อสูรเฉพาะที่ในห้วงฝันบรรพกาลจำนวนมากมาย อันตรายมีมากมายรอบด้าน

จ้าวเฟิงจึงเบิกเนตรเทพเจ้าเพื่อหลบหลีกสัตว์อสูรขนาดใหญ่ส่วนหนึ่งก่อน

ในตอนนี้ เลือดเนื้อของสัตว์อสูรธรรมดาหรือว่าน้ำพุก็ล้วนแต่ช่วยอะไรจ้าวเฟิงไม่ได้มากนัก

เขาต้องหาทรัพยากรใหม่!

หลังจากที่เข้าสู่ภายในป่าพฤกษาแล้ว ความเร็วของจ้าวเฟิงก็ค่อยๆ ลดลง

ในระยะเวลานี้ จ้าวเฟิงพบกับงูพิษสีดำตัวหนึ่ง เสือดาวทองตัวหนึ่ง และได้จัดการอย่างง่ายดายไร้ปัญหา

สำรวจอยู่ครึ่งค่อนวัน

จ้าวเฟิงสมดั่งใจปรารถนา มองเห็นต้นไม้ใหญ่สูงเสียดฟ้าที่ออกผล

บางทีอาจเป็นเพราะสภาพอากาศจึงทำให้ต้นไม้ในป่าต้นอื่นๆ ไม่ออกผล แม้แต่ใบไม้ยังเหลืองแห้งกรอบอยู่ส่วนหนึ่งด้วย

มีเพียงต้นไม้สูงเสียดฟ้าต้นนี้ที่มีกลิ่นอายไม่ธรรมดา มีผลไม้สีเหลืองอ่อนและสีแดงหลายสิบลูกขึ้นอยู่

แต่ว่าพื้นที่เวิ้งว้างในละแวกของต้นไม้ใหญ่กลับมีกลิ่นอายที่ทำให้คนกระวนกระวายใจ

………………………………………….

[1] หมายถึง เคราะห์ซ้ำกรรมซัด

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!