Skip to content

King of Gods 736

King Of Gods

บทที่ 736 การตายของหลิวฉินซิน

ชั้นที่สี่สิบแปดในตำหนักฟั่นหลุนกู่อิน

จ้าวเฟิงคาดคิดไม่ถึงเลยว่าจะพบหญิงงามผู้โดดเดี่ยวที่ตนตามหามาถึงเจ็ดปีในรูปแบบนี้

หลิวฉินซินในภาพเบื้องหน้ามีใบหน้าและมนต์เสน่ห์เหมือนดั่งในความทรงจำของเขาไม่มีผิดเพี้ยน แต่ว่าท่าทางที่นางแสดงออกมาสูงส่งถือตัวกว่ายามที่อยู่เมืองหงหู

สตรีนางนั้นสวมชุดกระโปรงสีขาวสง่ายาวระพื้น บริสุทธิ์ไร้ซึ่งมลทิน สุขุมงดงามประหนึ่งเซียนในภาพวาด เหมือนอยู่เหนือกาลเวลา อยู่เหนือทุกสรรพสิ่ง

“เฟิง เป็นเจ้า…” สตรีผู้ดูภูมิฐานราวเซียนตกใจจนหน้าถอดสี

ตึง!

สายของพิณโบราณข้างกายหลิวฉินซินขาดไปเส้นหนึ่งทันที

“เจ้า…พวกเจ้ารู้จักกันงั้นรึ?” สามีภรรยาของตำหนักพิณสวรรค์ หลีเสวี่ยอี้ เด็กน้อยครึ่งเซียนและคนอื่นๆ ต่างตกตะลึง

เมื่อบุกทะลวงมาถึงชั้นที่สี่สิบแปด บุคคลในภาพล้วนเป็นผู้ที่ดำรงอยู่ราวกับตำนานที่ขัดขืนต่อชะตาสวรรค์

สตรีที่อยู่เบื้องหน้าเองก็ย่อมเป็นเช่นนั้นด้วย

แต่ที่เกินความคาดหมายก็คือบุคลลที่ปรากฏตัวขึ้นครานี้รู้จักกับจ้าวเฟิง

“นาง…นี่คือคนที่เจ้าตามหางั้นหรือ?” หลีเสวี่ยอี้ใจสั่นสะท้าน

สตรีที่อยู่ตรงหน้านี้ลึกซึ้งในศาสตร์ดนตรีสูงส่งกว่าผู้ใด ท่วงท่าแช่มช้อยงดงาม ราวกับว่าไม่ได้อยู่ในโลกมนุษย์อย่างนั้น

ที่แท้ผู้ที่จ้าวเฟิงต้องการตามหาเป็นสตรีที่สมบูรณ์พร้อมเหนือใครในยุคสมัยนี้

“เจ้าก็คือฉินซิน?” จ้าวเฟิงยากจะเชื่อสายตา ทำไมหลิวฉินซินจึงกลายเป็นคนในภาพวาดฝาผนังไปได้

หลิวฉินซินมีสีหน้าเกินหยั่งถึง จ้องจ้าวเฟิงเงียบๆ ดวงตาที่เอ่อคลอน้ำตามีระลอกความรู้สึกผุดขึ้นชั้นแล้วชั้นเล่า ในความปีติยินดีมีความทุกข์ระทมและความรักลึกซึ้งแฝงอยู่

“เจ้าเป็นใครกันแน่?” ดวงตาเทพเจ้าของจ้าวเฟิงเปิดออกโดยสมบูรณ์ ดวงตาซ้ายเป็นดั่งอัสนีมายาสีม่วง ผมสีเดียวกันโบกสะบัด

เจตจำนงดวงตาที่แข็งแกร่งอย่างยิ่งสั่นสะเทือนไปทั่วที่ดังกล่าว

“นี่…จึงจะเป็นพลังที่แท้จริงของเขา!” คู่สามีภรรยาของตำหนักพิณสวรรค์และหลีเสวี่ยอี้ตื่นตระหนกอย่างยิ่ง จนเกิดความรู้สึกคล้ายหายใจไม่ออก

“เฟิง ข้าคือหลิวฉินซิน แต่ไม่ใช่ฉินซินผู้นั้นที่เจ้าต้องการตามหา…”

หลิวฉินซินจ้องไปที่จ้าวเฟิงอย่างลึกล้ำ หยาดน้ำตาสองสายไหลออกมาอย่างไม่รู้ตัว

จ้าวเฟิงผงะ นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?

สตรีเบื้องหน้าไม่ว่าจะรอยยิ้มหรือสีหน้า แล้วไหนจะยังความอัดอั้นใจที่ปรากฏในดวงตา เหมือนกับหลิวฉินซินขณะที่จากลากันในยามก่อนไม่มีผิดเพี้ยน

“ฉินซิน! นี่มันเรื่องอะไรกันแน่? เจ้าตายแล้วหรือยังมีชีวิตอยู่?” จ้าวเฟิงสูดลมหายใจลึก

ตำหนักฟั่นหลุนกู่อิน ลี้ลับซับซ้อนเป็นที่สุด แม้แต่ดวงตาเทพเจ้ายังไม่อาจจะมองทะลุปรุโปร่งได้

“มีเพียงผู้ที่ตายไปแล้วถึงจะสามารถปรากฏกายขึ้นบนภาพวาดฝาผนังได้ ข้าคือหลิวฉินซิน แต่ก็ไม่ใช่ด้วยเช่นกัน พูดให้ถูกต้องคือข้าเป็นส่วนหนึ่งของหลิวฉินซิน มีความสามารถ ความทรงจำ และแบกรับอารมณ์ทั้งหมดของนางขณะที่ก้าวเข้ามาภายในชั้นที่สี่สิบเก้า…” หลิวฉินซินเอ่ย

“คนที่ตายไปแล้ว?” ใจของจ้าวเฟิงเต้น ‘ตุบ ตุบ’ เสียงดัง แล้วพลันเย็นชืด

หลิวฉินซิน…นางตายแล้วอย่างงั้นหรือ?

คู่สามีภรรยาเจ้าตำหนักพิณสวรรค์และเด็กน้อยครึ่งเซียนมีสีหน้าครุ่นคิด

หลิวฉินซินที่อยู่เบื้องหน้านี้ดำรงอยู่อย่างไรกันแน่ พวกเขาพอจะคาดเดาได้บ้างแล้ว

“หลิวฉินซินผู้นี้น่าจะเกิดจากพลังความทรงจำของ ‘ตำหนักฟั่นหลุนกู่อิน’ ที่สุดแล้วจะเป็นเพียงภาพมายาหรือว่าร่างที่มีชีวิต ก็ยังต้องรอดูต่อไป” เด็กน้อยครึ่งเซียนคาดเดาไว้ในใจ

“มีเพียงคนที่จากไปจึงจะปรากฏในภาพวาดฝาผนังได้ ดูท่าทางหลิวฉินซินตัวจริงที่จ้าวเฟิงกำลังตามหาอยู่น่าจะตายไปแล้ว”

หลีเสวี่ยอี้รู้สึกทนไม่ได้และเห็นอกเห็นใจอยู่บ้าง

จ้าวเฟิงยืนนิ่งไม่ไหวติงอยู่นาน กำมือทั้งสองข้างแน่น สั่นสะท้านอยู่เล็กน้อย

“เฟิง เจ้าต้องหักห้ามใจ” หลิวฉินซินที่อยู่ในภาพวาดเอ่ยเสียงสั่น

นางปรากฏกายอีกได้ด้วยพลังของตำหนักฟั่นหลุนกู่อิน แต่ว่าความรู้สึกในความทรงจำที่มีต่อจ้าวเฟิงเหมือนกับหลิวฉินซินตัวจริงไม่มีผิดเพี้ยน

“ฉินซิน เจ้าตายอย่างไรกัน?”

จ้าวเฟิงสงบสติลง

เขามักรู้สึกว่ายังมีความจริงที่ไม่ได้ค้นหาให้กระจ่างแจ้งอยู่

หลิวฉินซินไม่พูดอะไร ทำแค่เพียงจ้องมองมาที่จ้าวเฟิงอย่างลึกล้ำ

พรึ่บ!

ในหัวของจ้าวเฟิงปรากฏภาพของสตรีในชุดสีขาวบางเบา นางผ่านด่านปริศนาของตำหนักกู่อินไปทีละขั้น และสืบเสาะค้นหาเสวียนอ้าวระดับสุดยอดของหลักการศาสตร์ดนตรี

ในระหว่างนั้น หลิวฉินซินเองเข้าใจลึกซึ้งในพลังและได้รับรางวัลต่างๆ มากมาย

แต่ทว่าจากการทะลวงผ่านในแต่ละขั้นทำให้ร่างกายนางแบกรับไม่ไหว

ความลึกซึ้งในสำนึกรู้ของหลิวฉินซินเหนือกว่าระดับขั้นชีวิตและพลังฝึกตนเป็นร้อยเท่าพันเท่า!

ขณะที่อยู่ในชั้นสี่สิบแปดนั่นเอง พลังชีวิตและวิญญาณของหลิวฉินซินถูกใช้ไปจนหมดสิ้น

ยามที่อยู่ใกล้กับชั้นสุดท้ายเป็นอย่างยิ่ง

นางขึ้นไปถึงชั้นสี่สิบเก้าโดยไม่เหลือพลังชีวิตและวิญญาณแม้สักนิด

ภาพความทรงจำจบลงที่ตรงนี้ทันที!

และหลิวฉินซินก็น่าจะตายตั้งแต่วินาทีนั้น

“หลิวฉินซินตัวจริงที่เจ้าตามหาตายในชั้นที่ชั้นสี่สิบเก้าเป็นแน่ หากไม่เช่นนั้นแล้วก็คงไม่ปรากฏเป็นข้าที่อยู่ในภาพวาดเช่นนี้” หลิวฉินซินในชุดขาวเอ่ยอย่างขมขื่น

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเอ่ยคำว่า ‘หลิวฉินซินตัวจริง’ ออกมา ใจของนางเจ็บปวดราวโดนของมีคมทิ่มแทง

จ้าวเฟิงใช้ความสงบนิ่งเพื่อทำความเข้าใจและยอมรับ ‘ความจริง’ ข้อนี้

หลังจากนั้นสักพัก

“ข้าต้องการเข้าไปในชั้นสี่สิบเก้าเพื่อยืนยันความจริง” จ้าวเฟิงมีสีหน้าแน่วแน่

หลิวฉินซินผู้อยู่ตรงหน้าน่าจะเป็นภาพวาดฝาผนังของตำหนักฟั่นหลุนกู่อิน เป็นภาพลวงตาอย่างหนึ่ง

ขนาดดวงตาเทพเจ้าของจ้าวเฟิงยังมองแก่นแท้ของมันไม่ปรุโปร่งด้วยซ้ำไป

“แต่ว่าพลังของพวกเจ้าไม่สามารถผ่านข้าไปได้” หลิวฉินซินเอ่ยเสียงเบา

ไม่อาจผ่านไปได้!

ทุกคนในที่แห่งนี้มองหน้ากันไปมา แต่กลับไม่สงสัยแม้แต่น้อย

จะต้องรู้ว่า หลิวฉินซินสามารถผ่านมาถึงชั้นสี่สิบแปดได้เพียงลำพัง ถึงขนาดสามารถไปถึงชั้นสูงสุดก็คือชั้นที่สี่สิบเก้า พลังศาสตร์ดนตรีที่นางมีอยู่บนจุดสุดยอดของยุคเลยทีเดียว

“หลิวฉินซิน ในเมื่อเจ้าและจ้าวเฟิงต่างรักใคร่ชอบพอ เหตุใดจึงไม่ผ่อนผันเสียหน่อยเล่า?” หลีเสวี่ยอี้ทนไม่ไหวจนเอ่ยขึ้น

“นี่เป็นกฎของ ‘ตำหนักฟั่นหลุนกู่อิน’ ข้าไม่อาจขัดขืนได้” สตรีในชุดโบราณส่ายศีรษะ

คนมากมายใจหนักอึ้ง

จ้าวเฟิงยืนนิ่งไม่ไหวติง มองไปยังทิศทางของชั้นที่สี่สิบกว่าๆ ในใจเต็มไปด้วยความไม่ยินยอมอันแรงกล้า

หากมีชีวิตต้องเห็นคน หากตายต้องเห็นศพ!

จ้าวเฟิงรู้สึกว่าตนช้ากว่าความจริงไปก้าวหนึ่งเสมอ

“เฟิง” สตรีในชุดโบราณเอ่ยปากขึ้นมาในฉับพลัน “ที่นี่มีเพียงเจ้าที่เอาชนะข้าได้ อีกทั้งมีเพียงวิธีการเดียวเท่านั้น เจ้าเองก็คิดออก”

มีวิธีอยู่วิธีหนึ่ง?

จ้าวเฟิงกลับคืนสู่สภาวะนิ่งสงบ ความคิดหมุนวนไปมา

เขาฝึกฝน ‘วิชาหมื่นห้วงคิดเซียน’ ห้วงความคิดสามารถแปรผันเป็นพันส่วน ความสามารถในการครุ่นคิดยอดเยี่ยมยิ่งนัก

วิธีการนั้นเอง

เขาคิดออกในทันที ทว่ามุมปากกลับยกขึ้นเป็นรอยยิ้มที่ขมขื่น

ในสมองปรากฏภาพเขากับหลิวฉินซินกำลังเดิมพันกันแถวเมืองหงหู

หลิวฉินซินในตอนนั้นคลายผนึกพลังฝึกตนในขอบเขตจิตวิญญาณแท้จริง จ้าวเฟิงไม่ใช่คู่ต่อสู้ของนางแม้แต่น้อย

แต่ว่าสุดท้ายแล้วจ้าวเฟิงก็เอาชนะไปได้

เมื่อระลึกได้ถึงตรงนี้ ก้าวแรกที่จ้าวเฟิงเดินเข้าไป ดวงตาเทพเจ้าก็ทะลักเอาเจตจำนงดวงตาที่ยิ่งใหญ่สะเทือนฟ้าดินออกมา

ในทันใดนั้นเอง พลังที่ราวกับเป็นมายาเลือนรางก็แทรกซึมผ่านไปในอากาศ

“ฉินซิน เจ้ารู้หรือไม่ ตั้งแต่ครั้งแรกข้าเห็นวงหน้างามของเจ้า ใจที่เย็นชาของข้าก็อ่อนไหวเพราะเจ้าจนสิ้น”

จ้าวเฟิงค่อยๆ เดินไปหา ‘หลิวฉินซิน’ ด้วยท่าทีอบอุ่น

ในแสงมายาสีม่วง ภาพตรงหน้ากลายเป็นพื้นที่เปล่าเปลี่ยวในละแวกใกล้เคียงของเมืองหงหูไป

“นี่เป็นเรื่องจริงหรือ?”

ขอบตาของสตรีในชุดโบราณสีขาวแดงระเรื่อ เกิดเป็นละอองน้ำที่เลือนราง

“ฉินซิน ข้าตัดสินใจแล้วว่าแต่งงานกับเจ้า!”

เสียงของจ้าวเฟิงเต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึก ไม่เพียงแต่หลอมรวมพลังมายาของดวงตาเทพเจ้า ความรู้สึกของตัวเขาก็สาดซัดออกมาราวสายน้ำหลาก

ในตำหนักฟั่นหลุนกู่อิน จ้าวเฟิงและหลิวฉินซินกอดกันอย่างแนบแน่น

“เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร…” จ้าวเฟิงสัมผัสได้ถึงกลิ่นกายที่คุ้นเคย ผิวนุ่มเนียนขาวผ่องและอุณหภูมิที่รู้สึกได้เหมือนของจริงไม่ผิดเพี้ยน

จากการมองผ่านของดวงตาเทพเจ้า หลิวฉินซินที่อยู่เบื้องหน้านี้เป็นร่างที่มีเลือดเนื้ออย่างแท้จริง

“ถ้าหากเป็นห้วงฝันมายา นี่จะสมจริงเกินไปแล้วกระมัง” จ้าวเฟิงตื่นตระหนก

“ขอบเขตระดับสูงสุดของมายาคือกลายเป็นจริง”

ความสับสนในแววตาของโฉมงามในอ้อมกอดค่อยๆ เลือนหายไป แต่ว่ายังคงจ้องมองจ้าวเฟิงด้วยความรู้สึกลึกล้ำ

“เจ้ามีชีวิตอยู่จริงๆ หรือว่าเป็นเพียงมายาเท่านั้น?”

ในใจของจ้าวเฟิงเกิดระลอกความหวาดกลัวและหวั่นไหว

ว่ากันว่าขอบเขตสูงสุดของศาสตร์ลวงตาคือ ภาพมายาที่เป็นความจริง

“เฟิง เจ้ามีดวงเนตรเทพเจ้าดวงที่เก้า เคยได้ยินตำนานเรื่อง ‘บรรพบุรุษดวงตา’ หรือไม่” หลิวฉินซินเอ่ย

ตำนานของบรรพบุรุษดวงตา!

จ้าวเฟิงเองก็คิดไม่ทัน หลิวฉินซินรู้ได้อย่างไรว่าตนเองมีดวงเนตรเทพเจ้าดวงที่เก้า

ตำนานว่าไว้ว่า เมื่อดวงเนตรเพทเจ้าทั้งแปดรวมตัวกันจะสามารถอัญเชิญ ‘บรรพบุรุษดวงตาสูงสุด’ เปลี่ยนแปลงสรรพสิ่งในโลก และเรียงลำดับสร้างจักรวาลขึ้นใหม่

แต่บรรพบุรุษดวงตาสูงสุดไม่อาจเบิกเนตรออกได้

เพราะจากเล่าลือกัน ทุกสรรพสิ่งในโลกใบนี้คือความฝันของเทพผู้สร้าง เมื่อบรรพบุรุษดวงตาเบิกเนตรออก ‘ฝัน’ นั้นก็จะสลายหายไป

หลิวฉินซินที่อยู่เบื้องหน้าเป็นตัวจริงหรือภาพมายากันแน่? จ้าวเฟิงเองก็ไม่แน่ใจ

“เฟิง! จงไปตามหาหลิวฉินซินตัวจริงของเจ้า นางคือผู้ที่เข้าใจในหลักการวัฏจักรของเทพผู้สร้าง ถึงแม้ว่าจะตายไปแล้ว แต่ชะตาชีวิตยังคงอยู่”

หลิวฉินซินในชุดสีขาวจ้องมองจ้าวเฟิงอย่างลึกล้ำเป็นที่สุด

แววตานั้นเหมือนแบกรับความรู้สึกและแก่นสำคัญของชีวิตทั้งหมดของนางเอาไว้

พรึ่บ!

ภาพเบื้องหน้าหายไป จ้าวเฟิงประสบความสำเร็จในการ ‘คลี่คลาย’ ภาพในด่านนี้

แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด จ้าวเฟิงมีความรู้สึกโหวงเหวงเหมือนมีอะไรหายไป

ในครั้งนี้เขาเอาชนะหลิวฉินซินในรูปภาพได้ ก็ยังใช้วิธีหยาบช้าดังเช่นครั้งก่อน คือโจมตีจุดอ่อนในจิตวิญญาณของอีกฝ่าย

“ผ่านชั้นที่สี่สิบสี่ไปได้แล้ว!”

หลีเสวี่ยอี้และคู่สามีภรรยาแห่งตำหนักพิณสวรรค์เผยสีหน้าปลื้มปิติ

เมื่อขึ้นไปอีกระดับขั้น ก็จะเป็นชั้นสูงสุดของ ‘ตำหนักฟั่นหลุนกู่อิน’

เมี้ยว~

แววตาของเจ้าแมวขโมยตัวน้อยหยุดบนภาพขนาดใหญ่บนผนัง

นอกเหนือจากมันแล้วก็ไม่มีใครเห็นเลยว่า หญิงงามอย่างโบราณที่เดิมอยู่ในภาพวาดฝาผนังจ้องมองจ้าวเฟิงอย่างลึกล้ำ แล้วเผยสีหน้าทรมานออกมา ก่อนจะกลายเป็นควันสีเขียวสลายหายไป

“จ้าวเฟิง เข้าไปในชั้นที่สี่สิบเก้า พวกเราก็จะได้รู้ความจริงสักที” หลีเสวี่ยอี้เอ่ย

คู่สามีภรรยาเจ้าตำหนักพิณสวรรค์ล้วนแต่มีท่าทีคาดหวังรอคอย

“ตกลง!” จ้าวเฟิงผงกศีรษะ แล้วจึงเดินนำเข้าไปภายในชั้นที่สี่สิบเก้า

แต่ทว่าสุดทางของชั้นสี่สิบเก้าไม่มีขั้นบันไดคดเคี้ยวอีกต่อไป ด้านบนเป็นท้องฟ้าผืนใหญ่ที่มีดวงดาวกระจ่าง

ภายใต้ผืนดวงดาวเป็นตำหนักรูปวงแหวนขนาดใหญ่

วัสดุของตำหนักแห่งนั้นเหมือนกับตำหนักฟั่นหลุนกู่อินที่มองเห็นจากด้านนอกไม่มีผิดเพี้ยน

แต่คนที่อยู่ภายในตำหนักนี้สามารถดูผืนฟ้าดวงดาวผ่านใจกลางของยอดทรงโค้งด้านบน

ผืนฟ้ากระจ่างดาวที่ลี้ลับนั้นมีพลังรุนแรงเกินจะต้านทาน

“พรมลิขิตงั้นรึ?” จ้าวเฟิงรู้สึกได้ว่าทั้งตำหนักรูปทรงวงแหวนกำลังเคลื่อนไหวช้าๆ ท่ามกลางฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว

“ที่แห่งนี้ก็คือเสวียนอ้าวระดับสูงสุดของตำหนักแห่งศาสตร์ดนตรีงั้นรึ?”

คู่สามีภรรยาพิณสวรรค์และคนอื่นล้วนสัมผัสได้ถึงพลังแห่งโชคชะตาที่ไม่อาจจะต้านทานได้จากผืนฟ้านั้น

ทันใดนั้นเอง

พื้นที่จุดหนึ่งของตำหนักวงแหวนมีชั้นแสงดวงดาวผุดขึ้นมาเลือนราง

“นั่นคือ…”

แววตาของบรรดาผู้คนถึงค่อยย้ายจากผืนฟ้าดวงดาวไปจับจ้องอยู่ร่างของ ‘คน’

พูดให้ชัดๆ ก็คือสตรีนางหนึ่ง ผิวพรรณขาวสะอาดราวหยกหิมะ ไร้ริ้วรอยใด ชุดสีขาวเบาบาง นางนั่งขัดสมาธิอยู่ภายในชั้นแสงศักดิ์สิทธิ์ และเชื่อมโยงอย่างประหลาดกับฟ้ากระจ่างดาวด้านบน

“ฉินซิน!”

จ้าวเฟิงมองเพียงเงาด้านหลังก็รู้ได้ในทันทีว่านั่นคือหลิวฉินซิน

แซ่ด เพี๊ยะ!

เงาร่างของจ้าวเฟิงมาอยู่ข้างกายหลิวฉินซิน เห็นบนใบหน้าของนางมีรอยยิ้มปลอบโยนราวบุปผา

ร่างของเขากลับค้างแข็งไปแล้วขณะจ้องเขม็งยังเงาร่างที่ไม่ขยับเขยื้อนนั้น

“นี่คือศพร่างหนึ่ง ไม่มีกลิ่นอายของชีวิตใดๆ” เจ้าตำหนักพิณสวรรค์เอ่ย

“นางตายแล้ว!”

ในดวงตาของเด็กน้อยครึ่งเซียนมีแววประหลาดพาดผ่าน

เจ็ดปีต่อมา ร่างศพร่างนี้ไม่เพียงแต่ไม่เน่าเปื่อย ผิวพรรณยังคงขาวเนียนไร้จุดด่างพร้อยดังเก่าก่อน กระทั่งยังส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ ชวนหลงใหลอีกด้วย

ในขณะที่คนทั้งหลายตกสู่ห้วงภวังค์ ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!