บทที่ 756 ศัตรูที่แข็งแกร่งจากนอกดินแดน
“ผู้ใดกัน!” จ้าวลัทธิหงและเถี่ยหมัวตกใจจนเหงื่อโทรมร่าง
ลองดูถามว่าภายในดินแดนบุปผาครามนี้ มีใครบ้างที่สามารถปรากฏกายขึ้นเบื้องหน้าของผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสองในฉับพลันโดยไม่มีปี่มีขลุ่ย
ใต้แสงเทียน
บุรุษหนุ่มเรือนผมสีม่วงท่าทางซูบผอมอ่อนแอไปเล็กน้อย เงาของเขาปรากฏขึ้นตรงกลางระหว่างคนทั้งสอง
“จ้าว…จ้าวเฟิง!” จ้าวลัทธิหงและเถี่ยหมัวมีท่าทีราวกับเห็นผีอย่างนั้น
ระยะเจ็ดปีผ่านไป ผู้ถูกเลือกไร้คู่ต่อสู้ที่ไปยังต่างแดนผู้นั้นพลันปรากฏกายขึ้นเบื้องหน้าคนทั้งสอง ก็คล้ายกับ ‘ศพ’ ที่จู่ๆ ลุกขึ้นมาให้คนตกใจ
“จ้าวลัทธิหง รองจ้าวลัทธิ ที่ผ่านมาสบายดีหรือไม่” จ้าวเฟิงยิ้มในพริบตา
เขายอมรับว่าตนเองจงใจทำให้คนทั้งสองตกใจเล่น
“จ้าวเฟิง เจ้ามาได้ทันเวลาพอดี! พวกข้ากำลังขาดยอดฝีมือระดับสูงพอดี”
สีหน้าของจ้าวลัทธิหงและเถี่ยหมัวเผยแววตื่นตะลึงระคนดีใจ
ทั้งสองคนไม่สงสัยในพลังของจ้าวเฟิง เมื่อเทียบจากเมื่อครู่ที่เขาเข้าใกล้คนในระดับผู้สูงศักดิ์โดยไม่มีใครรู้เนื้อรู้ตัว
เห็นได้ว่าจ้าวเฟิงน่าจะบรรลุถึงขอบเขตแก่นก่อกำเนิดเป็นอย่างน้อย
“แน่นอนว่าพวกท่านน่าจะเผชิญกับความยุ่งยากส่วนหนึ่ง เดิมทีข้าเตรียมตัวไปที่หอคอยลิ่วอู ในระหว่างทางเจอพวกท่านพอดี รวมไปถึงกำลังคนของลัทธิมารจันทราชาดด้วย”
จ้าวเฟิงอธิบายเหตุผล
เรื่องที่เกี่ยวข้องของลัทธิมารจันทราชาด จ้าวเฟิงยกให้กับเจ้าหอโครงกระดูก
แต่พูดอย่างไรเขาก็เป็นรองจ้าวลัทธิโลหะเลือด จะให้ทำตัวเป็นทองไม่รู้ร้อนไม่ได้
“เจ้าเองก็ค้นพบว่าฐานที่ตั้งของจันทราชาดไม่ปกติ?” เถี่ยหมัวเอ่ยอย่างประหลาดใจ
“เหมือนว่าจะมีกลิ่นอายของขอบเขตแก่นก่อกำเนิดสองสามส่วน” จ้าวเฟิงไม่ค่อยมั่นใจนัก
ในขณะที่โบยบินมาเขาไม่ได้ตั้งใจมองสอดส่อง จึงสัมผัสได้แค่พอประมาณ
“ขอบเขตแก่นก่อกำเนิด…สามส่วน?” จ้าวลัทธิหงและเถี่ยหมัวมองสบตากัน อดสูดลมหายใจอย่างตื่นตระหนกไม่ได้
ในทวีปบุปผาคราม ผู้สูงศักดิ์ในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดถือได้ว่าเป็นบุคคลระดับสูงแล้ว
ทั่วทั้งอาณาจักรนภามีจ้าวลัทธิหงเป็นยอดฝีมือในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดเพียงคนเดียว
ส่วนรองจ้าวลัทธิอย่างเถี่ยหมัวอยู่ในขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตแก่นก่อกำเนิด กำลังรบเพียงเข้าใกล้ผู้สูงศักดิ์ในขอบเขตเดียวกัน
เมื่อได้ยินข่าวคราวนี้แล้ว จ้าวลัทธิหงและเถี่ยหมัวก็เคร่งขรึมลงไป
ถอยทัพขอความช่วยเหลือ!
คนทั้งสองช่วยกันออกความคิด
ฝ่ายศัตรูมีผู้สูงศักดิ์ในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูงสามคน และฐานที่ตั้งก็ลึกล้ำเกินจะคาดเดา
พลังอำนาจเช่นนี้เกรงว่าจะอยู่เกินขอบเขตความสามารถที่อาณาจักรรับมือไหว
“ต้องรีบไปขอความช่วยเหลือจากสหพันธ์ดินแดนศักดิ์สิทธิ์หรือสิบยอดสำนักโดยเร็วที่สุด” จ้าวลัทธิหงเอ่ย
ชายผมแดงเถี่ยหมัวกลับมองไปที่จ้าวเฟิงเป็นเชิงขอความเห็น
เขาค้นพบรายละเอียดอย่างหนึ่ง ในขณะที่จ้าวเฟิงเอ่ยถึงผู้สูงศักดิ์ทั้งสาม ท่าทีของเขาช่างเรียบเฉย
เถี่ยหมัวเคยเห็นจ้าวเฟิงเติบโตดังปฏิหาริย์ที่ดินแดนด้วยตาตนเอง
ในเวลาดังกล่าวเขารู้สึกว่าพลังของจ้าวเฟิงยากจะคาดเดาได้ ย่อมต้องไม่ธรรมดาเป็นแน่
“กำลังเสริมคงไม่ต้องใช้ ในเมื่อผ่านพื้นที่ดังกล่าว ข้าก็จะถือโอกาสจัดการปัญหาของพวกเขาเพื่อคืนความสงบให้กับอาณาจักรด้วยเลย”
จ้าวเฟิงเอ่ยพลางส่ายศีรษะ
ถือโอกาสจัดการปัญหา? ถือโอกาส?
จ้าวลัทธิหงและเถี่ยหมัวอดมองไปยังจ้าวเฟิงอย่างแปลกประหลาดไม่ได้ ลอบเอ่ยในใจว่า ช่างสามหาวเหลือเกิน
เมื่อฟังน้ำเสียงนั้นแล้วเหมือนว่าจะไม่ใส่ใจแม้แต่น้อย
“จ้าวเฟิง ไม่ใช่ว่าข้าสงสัยในพลังของเจ้า แต่เจ้าในตอนนี้เหมือนป่วยอยู่ รับมือผู้สูงศักดิ์สองคนไหวจริงๆ หรือ?”
จ้าวลัทธิหงเอ่ยตรงๆ
ผู้สูงศักดิ์ในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูงสามคนไม่ใช่เล่นๆ เลยทีเดียว ไม่แน่ว่าชื่อของลัทธิโลหะเลือดอาจจะถูกลบไปจากดินแดนก็เป็นได้
“จ้าวเฟิง เจ้าคุยโวเช่นนี้ได้ มีแต่เจ้าต้องมีกำลังรบของ ‘ระดับขั้นผู้สูงศักดิ์’ เท่านั้น?”
ชายผมแดงเถี่ยหมัวดวงตาเป็นประกาย เขาเข้าใจดีว่าจ้าวเฟิงไม่ได้เป็นคนหยิ่งยโสลำพองตน
“ป่วย? ข้าป่วยอยู่จริงๆ ในยามอยู่ที่ต่างแดน ข้าเคยสังหารยอดผู้สูงศักดิ์ส่วนหนึ่งมาก่อน น่าจะไม่ยากอะไร” จ้าวเฟิงเอ่ยอย่างขมขื่นเล็กน้อย แล้วยักไหล่อย่างจนใจ
เคยสังหารยอดผู้สูงศักดิ์?
ดวงตาของจ้าวลัทธิหงและชายผมแดงเถี่ยหมัวจ้องเขม็ง
ถ้าหากว่าเป็นคนอื่น บางทีพวกเขาอาจจะนึกว่าคุยโวโอ้อวดอยู่ด้วยซ้ำไป
“ได้! จ้าวเฟิง พวกเราเชื่อเจ้า” จ้าวลัทธิหงและเถี่ยหมัวตัดสินใจ
ต่อจากนั้น คนทั้งสองและจ้าวเฟิงก็ปรึกษาเกี่ยวกับปัญหาพวกกลยุทธ์บุกโจมตีและเวลาในการจู่โจม
“เอาแบบนี้แล้วกัน เริ่มโจมตีในตอนนี้เลย ข้าต้องรีบไปหอคอยลิ่วอู” จ้าวเฟิงเสนอแนะ
“ในตอนนี้เลย?”
จ้าวลัทธิหงและชายผมแดงเถี่ยหมัวใบหน้ากระตุกเล็กน้อย
ตอนนี้เป็นยามกลางวันแสกๆ หากยึดตามแผนการเดิม ลัทธิโลหิตเลือดเตรียมจะลอบโจมตีจุดยุทธศาสตร์ที่ตั้งของลัทธิมารจันทราชาดตอนกลางคืนเพื่อให้ตั้งตัวรับมือไม่ทัน
“ตอนนี้เลย”
จ้าวเฟิงเอ่ยอย่างหนักแน่นยิ่ง แล้วชะงักไปขณะหนึ่ง “หากไม่เช่นนั้นแล้ว ให้ข้าจัดการเพียงคนเดียวก็ย่อมได้”
จ้าวลัทธิหงและเถี่ยหมัวมองหน้ากัน รู้สึกพูดไม่ออกอยู่บ้าง
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าจ้าวเฟิงมาได้ตรงเวลาพอดีจริงๆ
“ตกลง” จ้าวลัทธิหงและเถี่ยหมัวไม่มีทางเลือก
ทันใดนั้น จ้าวลัทธิหงและเถี่ยหมัวจึงเริ่มเรียกประชุมใหม่อีกครั้ง และเรียกรวมยอดฝีมือระดับสุดยอดจากที่ต่างๆ ของอาณาจักรนภาเพื่อหารือกลยุทธ์ในการรับมือใหม่
แต่ทว่าในการประชุมครั้งนี้ปรากฏ ‘บุคคล’ ใหม่อีกคนหนึ่ง
“จ้าว…จ้าวเฟิง!”
“หนึ่งในสามกำลังหลักของลัทธิโลหะเลือด รองจ้าวลัทธิจ้าว!”
“เขา? คือราชาของผู้ถูกเลือกที่มีชื่อเสียงกระฉ่อนทั่วบุปผาคราม”
เสียงฮือฮาดังขึ้นในการประชุม
“จ้าวลัทธิจ้าว!”
คนส่วนหนึ่งมีสีหน้าปีติยินดี อย่างเช่นเจียงซานเฟิงและคนอื่นๆ ที่รู้สึกยินดีและอุ่นใจ
แต่คนจำนวนน้อยมีสีหน้าไม่น่ามอง ดังเช่นฉินหวางเฟยและผู้นำตระกูลหลิวเป็นต้น
“เฟิงเอ๋อร์” หลิวจิ่วเทียนเจ้าเมืองหงหูร่างกายแข็งค้าง
เขาได้ยินข่าวมานนานแล้วว่า จ้าวเฟิงละทิ้งโอกาสในการเข้าร่วมสำนักสองดาวและไปต่างแดนเพื่อตามหาข่าวคราวของหลิวฉินซิน โดยไม่สนใจการคัดค้านของลัทธิโลหะเลือดแม้แต่น้อย
เพียงพริบตาเดียวเวลาก็ผ่านไปเจ็ดปีแล้ว
หลายปีที่ผ่านมานี้ไม่มีข่าวคราวของจ้าวเฟิงแม้แต่น้อย อัจฉริยะขั้นนายเหนือแท้คนหนึ่งเข้าไปภายในทะเลความว่างเปล่านอกดินแดน นั่นย่อมเป็นเรื่องอันตรายอย่างยิ่ง
“เจ้าเมืองหลิว”
จ้าวเฟิงพูดคุยกับเจ้าเมืองหงหูเพียงลำพังครู่หนึ่ง เมื่อเห็นท่าทางอึกๆ อักๆ ของเจ้าเมืองหงหู เขาก็รู้ได้เลยว่าอีกฝ่ายมีอะไรอยากจะถาม
“ข่าวคราวของฉินซินข้าได้เบาะแสมาแล้ว รอให้จัดการเรื่องฐานที่ตั้งของลัทธิจันทราชาดเสร็จสิ้น ข้าจะเดินทางไปที่หอคอยลิ่วอูกับท่านเจ้าเมืองหลิว” จ้าวเฟิงอธิบาย
“ได้!” เจ้าเมืองหงหูมีสีหน้ายินดี
ด้วยคิดไม่ถึงว่าจ้าวเฟิงจะหาข่าวคราวของฉินซินจากดินแดนทะเลความว่างเปล่าได้
แต่ว่าประเด็นสำคัญของการประชุมก็คือเรื่องเข้าโจมตีฐานที่มั่นของลัทธิจันทราชาด
เมื่อรู้ว่าจะต้องเข้าโจมตีฐานที่มั่นของลัทธิจันทราชาด คนในที่แห่งนั้นก็ส่งเสียงอื้ออึง
คนทั้งหมดคาดเดาได้ไม่ยากเลยว่าความเปลี่ยนแปลงทั้งหมดเป็นเพราะการมาถึงของจ้าวเฟิง
ทุกการกระทำทุกอริยาบถของจ้าวเฟิงถูกจับตามอง
ยอดฝีมือระดับสุดยอดของอาณาจักรในที่ประชุมไม่อาจจะมองระดับพลังของเขาได้ปรุโปร่งเลย
แต่ก็คาดเดาไว้ว่า จ้าวเฟิงมีความเป็นได้อย่างยิ่งว่าจะมีพลังฝึกตนอยู่ในขอบเขตแก่นก่อกำเนิด หรือไม่ก็มีกำลังรบขั้นยอดผู้สูงศักดิ์ มิฉะนั้นลัทธิโลหะเลือดคงไม่แข็งแกร่งขนาดตรงดิ่งเข้าไปโจมตีที่มั่นของลัทธิจันทราชาด
ฝูงชนไม่ได้ล่วงรู้เลยว่า ลัทธิจันทราชาดมีขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูงอย่างน้อยๆ สามคน ด้วยเหตุนี้จึงได้ข้อคิดเห็นออกมาเป็นหนึ่งเดียวกันอย่างรวดเร็ว
สวบ สวบ สวบ!
ยอดฝีมือภายในหุบเขาแหวกอากาศมาทีละคน มีบางส่วนที่นั่งบนสัตว์วิเศษประเภทสัตว์ปีก
สองชั่วยามต่อมา
ยอดฝีมือทั้งหลายของอาณาจักรก็มาถึงสถานที่ที่เต็มไปด้วยคุ้งน้ำสลับซับซ้อน
ณ บริเวณคุ้งน้ำ ในละแวกใกล้เคียงของน้ำตกที่ซ่อนเร้นอยู่
“ฮึ เป็นแค่ผู้สูงศักดิ์คนหนึ่งก็หาญกล้าโจมตีฐานที่มั่นลับของพวกเรา”
ด้านหน้าของน้ำตก ผู้เฒ่าร่างสูงผอมในชุดและผมสีแดงยืนเอามือไพล่หลัง แล้วจ้องไปที่ท้องฟ้าเวิ้งว้างเบื้องหน้า
“เหอะเหอะ พวกเขาต้องคาดไม่ถึงแน่ว่า ‘ผู้อาวุโสเสวี่ยลี่’ จะมาเยือนที่อาณาจักรนภา ทั้งยังมียอดฝีมือจากต่างแดนซึ่งอยู่ในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดอีกสองคน แผนการหลอกล่อศัตรูของพวกเราประหยัดแรงไปมาก”
ชายอ้วนชุดสีทองในขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตแก่นก่อกำเนิดเอ่ยอย่างชื่นชมยินดี
เพียงแค่ครู่เดียวเท่านั้น
ด้านหน้าของน้ำตกก็ปรากฏกลิ่นอายโหดเหี้ยมทารุณของลัทธิมารจันทราชาดจำนวนมาก
นอกจากนี้ อีกด้านของน้ำตกยังมีผู้เฒ่าลึกลับในชุดคลุมยาวพระจันทร์สีเลือด และหญิงใบหน้างดงามในชุดกระโปรงสีแดงอ่อน
โฉมสะคราญนางนี้เรียกได้ว่างามพร้อมสมบูรณ์!
เรียวขาขาวราวหยกสลัก ไหล่บอบบางราวแก้วผลึกสีแดงเรื่อ นางปรากฏกายเลือนรางในอากาศ ทุกรอยยิ้มและสีหน้าเต็มไปด้วยพลังมารที่รุนแรงถึงชีวิต ราวกับดอกบัวดำสนิทที่สาดซัดความอ่อนเยาว์อันลึกลับออกมา
ระหว่างคิ้วของดรุณีน้อยมีตรารูปพระจันทร์เสี้ยวสีดำมืด เรือนผมสีม่วงโบกสะบัดในสายลม ราวกับเป็นวิญญาณท่ามกลางลมราตรี
ขนาดชายหนุ่มของลัทธิจันทราชาดส่วนหนึ่งด้านหน้าน้ำตก แววตายังล้วนแต่โดนดึงดูดให้จับจ้องที่กลิ่นอายลี้ลับของโฉมสะคราญนางนั้น จนอดกลืนน้ำลายอึกหนึ่งไม่ได้
ทว่าเมื่อเผชิญหน้ากับโฉมสะคราญและผู้เฒ่าลี้ลับ ในดวงตาของคนจำนวนมากมีแววเคารพยำเกรงยิ่งขึ้น
ขนาดคำพูดคำจาที่ ‘ผู้อาวุโสเสวี่ยลี่’ ผู้นั้นเอ่ยกับคนทั้งสองก็ยังเกรงอกเกรงใจอย่างยิ่ง
สวบ สวบ สวบ!
เวลานี้เอง เสียงแหวกอากาศดังขึ้นติดๆ กันกลางอากาศ
ยอดฝีมือและเหล่าคนชั้นนำของอาณาจักรนภาบุกทะลวงมาใกล้บริเวณน้ำตกโดยมีลัทธิโลหะเลือดเป็นแกนนำ
“ล้อมรอบ!”
“สังหารพวกคนชั่วของลัทธิมาร”
วีรบุรุษยอดฝีมือของอาณาจักรนภาใช้ข้อได้เปรียบด้านจำนวนคนล้อมรอบที่แห่งนั้นเอาไว้ทันที
ด้านหน้าของน้ำตก
มุมปากของผู้อาวุโสเสวี่ยลี่ปรากฏรอยยิ้มเยาะ ดวงตาของโฉมสะคราญและผู้เฒ่าลี้ลับฉายแววนึกสนุก
การฆ่าล้างครานี้ ที่สุดแล้วใครจะเป็นผู้ล่าหรือผู้ถูกล่ากันแน่?
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า…จ้าวลัทธิหง! พวกเจ้ารนหาที่เอง ชื่อของลัทธิโลหะเลือดจะต้องหายไปจากแผ่นดิน!”
ผู้อาวุโสเสวี่ยลี่แหงนศีรษะพลางหัวเราะเสียงดังกึกก้อง เรือนผมสีเลือดโบกสะบัดอย่างบ้าคลั่ง
พริบตานั้น กลิ่นอายเพลิงโลหิตของขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับต่ำช่วงปลายก็ย้อมความว่างเปล่าในที่นั้นจนเป็นสีโลหิต
“เป็นผู้อาวุโสเสวี่ยลี่ของลัทธิมารจันทราชาด! คนผู้นี้กระหายเลือดยิ่งนัก”
ระดับสูงของอาณาจักรนภาหน้าเปลี่ยนสีกันหมด
บุคคลผู้อาวุโสจะต้องเป็นคนระดับสูงของลัทธิมารจันทราชาดแน่นอน
“เหอะเหอะ ทำให้วีรบุรุษของอาณาจักรพวกนี้พินาศไปในคราเดียวเสีย แล้วลัทธิจันทราชาดจะยืนหยัดมั่นคงอยู่ที่ดินแดนเหนืออย่างแท้จริง!”
ผู้เฒ่าลึกลับสวมชุดสีโลหิตปรากฏกายขึ้นที่ชั้นเมฆในทันใด
แล้วจึงเห็นเขายกมือขึ้นช้าๆ ดวงจันทร์เลือดขนาดร้อยจั้งหลอมรวมเข้าไปในอากาศ สาดม่านแสงสีโลหิตที่สว่างเจิดจ้าปกคลุมไปสิบยี่สิบลี้
อากาศในฟ้าดินเกิดความรู้สึกประหลาดเหมือนถูกสับเปลี่ยนแทนที่
ยอดฝีมือของทั้งสองฝ่ายล้วนแต่ตกอยู่ในม่านท้องฟ้าของพระจันทร์สีเลือด
“วิธีการในระดับนี้ หรือว่าจะเป็นยอดผู้สูงศักดิ์ขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูง”
จ้าวลัทธิหงและเถี่ยหมัวสัมผัสได้ถึงความกดดันที่ชวนให้ว้าวุ่นใจ
นี่ขนาดว่าเป็นผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสองคน ส่วนยอดฝีมือสามสวรรค์ในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงที่เหลือ รู้สึกได้เพียงแค่ว่าร่างกายและพลังที่แท้จริงถูกพลานุภาพที่ไร้รูปร่างนั้นมัดเอาไว้
“นี่มันเรื่องอะไรกัน พลังที่แท้จริงกับจิตวิญญาณของข้าเพิ่มขึ้นแล้ว!”
เมื่อมองกลับมายังฝั่งของลัทธิมารจันทราชาด แสงศักดิ์สิทธิ์สาดออกมาจากแสงจันทร์สีเลือดทีละสาย กลิ่นอายพลังทะลักออกมาอย่างรุนแรง
“เหอะเหอะ การละเล่นเริ่มขึ้นแล้ว”
ผู้เฒ่าลี้ลับคอยรวบรวมและประคองจันทร์สีเลือดขนาดยักษ์ในมือ สีหน้าอยู่ในสภาวะที่ไม่ปกติ
ตอนนี้เอง
ผู้อาวุโสเสวี่ยลี่ที่กำลังรบเพิ่มขึ้นเมื่ออยู่ภายในแสงจันทร์สีเลือดก็ตะเบ็งเสียงออกมา จากนั้นตรงดิ่งไปหาจ้าวลัทธิหง
โครม!
เพียงแค่การประมือในรอบแรก จ้าวลัทธิหงก็โดนกระเทือนจนถอยหลังไป เลือดลมในร่างปั่นป่วน
ผู้อาวุโสเสวี่ยลี่เดิมเป็นยอดฝีมือในศาสตร์มาร เมื่ออยู่ภายในแสงจันทร์สีเลือดกำลังรบจะเพิ่มขึ้นอย่างมาก
ยอดฝีมือจำนวนมากของอาณจักรนภาใจชาวาบ ต่างสัมผัสได้ถึงความอันตราย
ฉินหวางเฟยและคนอื่นๆ สายตามองไปด้านหลังเพื่อหาเส้นทางหลบหนีโดยจิตสำนึก
“แม้แต่คนเดียวก็ไปไม่ได้”
หญิงงามลึกลับในชุดสีแดงขัดขวางทางหนีของทุกคน
“ขอบเขตแก่นก่อกำเนิด!”
“เป็นขอบเขตแก่นก่อกำเนิดที่มีอายุน้อยอะไรเช่นนี้!”
ฉินหวางเฟยและพวกสัมผัสได้ถึงพลังอำนาจของผู้สูงศักดิ์ ร่างกายสั่นสะท้านอย่างหวาดกลัว
บรรดายอดฝีมือของอาณาจักรมีสีหน้าท้อแท้ คิดไม่ถึงเลยว่าฐานที่มั่นของลัทธิจันทราชาดจะมีผู้สูงศักดิ์ถึงสามคน
หนึ่งในนั้นน่าจะเป็นยอดผู้สูงศักดิ์ในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูงเสียด้วย
“จ้าวเฟิง”
ชายผมแดงเถี่ยหมัวเอ่ยเสียงต่ำ สถานการณ์ในตอนนี้อันตรายอย่างยิ่งยวด
อย่างไรก็ตาม
บุรุษหนุ่มผมสีม่วงกลางกลุ่มคนจับจ้องไปที่สตรีผู้มีวงหน้างดงาม ก่อนเอ่ยเสียงเรียบว่า “จงหว่านเอ๋อร์”