Skip to content

King of Gods 758

King Of Gods

บทที่ 758 วิธีการแก้ไข

ดวงตาจ้าวเฟิงพลันเป็นประกาย ตั้งแต่ที่เขาจัดการ ‘คำสั่งล่าสังหาร’ ได้ คนผู้นี้เป็นคนแรกที่มอง ‘คำสาปมรณะ’ บนร่างเขาออก หนำซ้ำยังมองออกตั้งแต่แรกเห็นด้วย

จ้าวเฟิงจึงเกิดความคาดหวังขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ ตนเองมาหาคนไม่ผิดจริงๆ

เห็นได้ชัดว่าอย่างน้อยๆ ปราชญ์ลิ่วอูต้องมีความเข้าใจใน ‘คำสาปมรณะ’ อย่างแน่นอน

แต่ทว่าในขณะที่ปราชญ์ลิ่วอูเอ่ยถึง ‘คำสาปมรณะ’ สีหน้าดูเคร่งเครียดขึ้นหลายส่วน

“ท่านนักปราชญ์ ท่านพอจะรู้อะไรเกี่ยวกับคำสาปมรณะชนิดนี้ใช่หรือไม่?” จ้าวเฟิงอดถามไม่ได้

ปราชญ์ลิ่วอูตกอยู่ในภวังค์ไปชั่วขณะหนึ่ง เหมือนว่ากำลังคิดพิจารณาอะไรอยู่

หลังจากนั้นสักพัก นัยน์ตาพร่าเลือนที่เห็นโลกมาอย่างยาวนานของเขาก็มองไปยังฟากฟ้ากว้างใหญ่

“คำสาปมรณะ เดิมทีเกิดจาก ‘เผ่าพันธุ์แม่มดโบราณ’ ที่จัดอยู่ในลำดับที่สองของรายชื่อหมื่นเผ่าพันธุ์ สิ่งแลกเปลี่ยนของการใช้วิชาดังกล่าวก็คือความตาย ยิ่งร่างคนใช้แข็งแกร่งเท่าไหร่ พลังก็ยิ่งแกร่งกล้าเท่านั้น ในยุคบรรพกาล คำสาปที่เผ่าพันธุ์แม่มดสร้างขึ้น ขนาดเทพบรรพกาลหรือเผ่าพันธุ์ในตำนานของรายชื่อหมื่นเผ่าพันธุ์ยังไม่อาจจะหนีรอดได้”

จ้าวเฟิงได้ยินเช่นนี้ก็รู้สึกตกใจอย่างยิ่ง

‘คำสาปมรณะ’ นี้น่ากลัวยิ่งกว่าที่เขาคาดคิดเอาไว้หลายเท่า กระทั่งเทพเจ้าในยุคบรรพกาลหรือหรือเผ่าพันธุ์ในตำนานของรายชื่อหมื่นเผ่าพันธุ์ยังไม่อาจหนีรอดไปได้

มิน่าล่ะ สายเลือดร่างกาย ‘เผ่าพันธุ์เกล็ดมังกรเหมันต์’ ของเขาถึงกำลังถดถอยลงอย่างช้าๆ โดยไม่อาจหยุดยั้งได้

“ผืนพสุธาในตอนนี้ เผ่าพันธุ์แม่มดโบราณสาบสูญหายไปหมดแล้ว แต่ว่าในยุคหลังยังมีคนบางส่วนวิจัยค้นคว้าวิชาลับศาสตร์วิญญาณอย่างลึกซึ้ง จนสามารถใช้วิชาดังกล่าวได้ อาจจะด้อยกว่าเผ่าพันธุ์แม่มดโบราณอยู่มาก แต่ก็ไม่สามารถมองข้ามได้”

เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ ปราชญ์ลิ่วอูมองไปทางจ้าวเฟิงอย่างประหลาดใจเล็กน้อย

“คนผู้นั้นคือจักรพรรดิแห่งความตาย” จ้าวเฟิงกล่าวออกมาทันใด

“จักรพรรดิแห่งความตาย เป็นเขาดังคาด ในชางไห่มีเพียงเขาที่ลึกซึ้งในศาสตร์วิญญาณถึงระดับสุดยอด และที่สำคัญก็คือเนตรมรณะ หรือหนึ่งในแปดเนตรเทพเจ้าซึ่งเป็นมรดกสายเลือดศาสตร์วิญญาณ นี่เป็นร่างผู้ใช้คำสาปมรณะที่แข็งแกร่งอย่างยิ่ง”

ปราชญ์ลิ่วอูทอดถอนใจ

จ้าวเฟิงจำต้องยอมรับอย่างเสียไม่ได้ว่าความลึกซึ้งในศาสตร์วิญญาณของจักรพรรดิแห่งความตายเหนือกว่าตนเองหลายระดับขั้น

เสียดายก็เพียงแต่ เขาถูกดวงตาเทพเจ้าของจ้าวเฟิงที่เป็นสายเลือดดวงตาในระดับ ‘เนตรเทพเจ้า’ ควบคุมเอาไว้อยู่หมัด

มิฉะนั้นหากเปลี่ยนเป็นจักรพรรดิคนใดก็ตามของดินแดนชางไห่ ก็ไม่สามารถชนะจักรพรรดิแห่งความตายได้ ยิ่งไม่จำเป็นต้องพูดถึงเรื่องที่โหดร้ายกว่านั้นอย่างการไล่ล่าสังหารเลย

ถึงจะเป็นเซียนก็ไม่อยากเข้าไปมีเรื่องกับจักรพรรดิแห่งความตาย

“เช่นนั้นขอถามท่านนักปราชญ์ มีวิธีใดบ้างที่พอจะสามารถลบล้างคำสาปมรณะได้?”

จ้าวเฟิงเอ่ยถามอย่างเคร่งเครียด

“วิธีก็มีอยู่บ้าง แต่ว่าโดยมากแล้วล้วนแต่ทำได้ยากยิ่ง” นักปราชญ์ลิ่วอูนิ่งชะงักไป

จ้าวเฟิงจึงต้องรวบรวมสมาธิ ตั้งใจฟังทันที

เขามาหานักปราชญ์ลิ่วอู่ครั้งนี้ ไม่ได้คาดหวังถึงขั้นว่าอีกฝ่ายจะสามารถช่วยแก้คำสาปมรณะของเขาได้

แต่ปราชญ์ลิ่วอูได้สมญาว่าเป็นผู้ฉลาดหลักแหลม ในเวลาเดียวกันเขาครอบครองมรดกต่างๆ มากมาย เช่น ศาสตร์โชคชะตา ศาสตร์ดนตรี ศาสตร์แห่งมนต์เสน่ห์ เป็นต้น แค่มองเพียงเล็กน้อยก็รับรู้เรื่องราวทั้งหมดได้แล้ว

จ้าวเฟิงเพียงคาดหวังว่า ปราชญ์ลิ่วอูจะสามารถชี้แนะวิธีและเปิดทางสว่างให้ตนเองได้บ้าง

“วิธีที่หนึ่ง ไปหาเนตรสังสารวัฏให้เจอ มรดกสายเลือดของเนตรเทพเจ้าชนิดนี้สามารถควบคุม ‘คำมรณะต้องสาป’ ได้ในระดับหนึ่ง”

เนตรสังสารวัฏ!

หนึ่งในแปดมรดกเนตรเทพเจ้า

จ้าวเฟิงปีติยินดี อย่างน้อยๆ ในโลกนี้ก็ยังมีสิ่งที่สามารถควบคุมคำสาปมรณะได้

แต่ว่า ดินแดนชางไห่เหมือนเคยปรากฏผู้สืบทอดของเนตรมรณะและเนตรทำนายเท่านั้น ในส่วนของเนตรสังสารวัฏไม่เคยปรากฎตัวมาก่อน

และว่ากันว่าเนตรสังสารวัฏหายากที่สุดในมรดกแปดเนตรเทพเจ้า

“วิธีที่สอง…สรรพสิ่งในโลกล้วนมีความสมดุล มีคำสาปมรณะ เช่นนั้นก็ต้องมีพรหลังความตาย”

นักปราชญ์ลิ่วอูแย้มยิ้มออกมาเล็กน้อย

พรหลังความตาย?

จ้าวเฟิงเหม่อลอยไปชั่วขณะ แล้วจึงเอ่ยอย่างดีใจว่า “พรหลังความตายและคำสาปมรณะก็เปรียบเหมือนการเผชิญหน้ากันของน้ำกับไฟ ความเป็นและความตาย”

“ถูกต้อง” ปราชญ์ลิ่วอูพยักหน้า

พรหลังความตายเป็นวิธีคลายคำสาปมรณะอย่างตรงจุดที่สุด

“แต่ว่า หลักการของพรหลังความตายเหมือนกับคำสาปมรณะ ล้วนแต่เกิดจากคำสาปแช่งของเหล่าแม่มด คำที่ว่า ‘มรณะ’ ย่อมเกิดขึ้นหลังจากความตาย…”

ปราชญ์ลิ่วอูส่ายศีรษะเล็กน้อย

จ้าวเฟิงเข้าใจ แต่กลับส่ายศีรษะอย่างลำบากใจ

หากจะกระตุ้นพรหลังความตาย ต้องใช้ ‘ความตาย’ ของผู้ใช้เป็นพื้นฐานในการกระตุ้นมัน และด้วยเหตุนี้ เคล็ดวิชาคำสาปจึงขัดต่อฟ้าดินเช่นนี้

อาจพูดได้ว่า ผู้ใช้วิชานี้จะต้องลึกซึ้งในศาสตร์วิญญาณเทียบเท่ากับจักรพรรดิแห่งความตาย หรือกระทั่งแข็งแกร่งกว่า ร่างจะต้องไม่ด้อยไปกว่าจักรพรรดิและเนตรมรณะ ใช้ความตายเป็นใบเปิดทางเพื่อกระตุ้น ‘พรหลังความตาย’ ถึงจะคลี่คลายคำสาปบนร่างของจ้าวเฟิงได้

เงื่อนไขข้อนี้เรียกได้ว่ายากจะทำให้เกิดขึ้นได้

คาดว่าทั่วทั้งชางไห่ก็ยากจะเจอคนที่สอดคล้องกับเงื่อนไขข้อนี้

และถึงจะมีคนเช่นนั้น ใครจะยอมเสียสละตนเองเพื่อกระตุ้นใช้ ‘พรหลังความตาย’ กัน

“ข้อที่สามจักจั่นลอกคราบ เป็นวิธีที่ข้าคิดว่าเจ้าอาจพอจะสามารถทำได้ ”

ปราชญ์ลิ่วอูมองจ้าวเฟิงอย่างประเมิน

“หืม?” ดวงตาของจ้าวเฟิงเกิดประกายความหวังขึ้นมาอีกครั้ง

“วิธีจักจั่นลอกคราบ จะต้องใช้ตำแหน่งหวงห้ามบนร่างเจ้าที่ไม่โดนกัดกร่อนและได้รับผลกระทบจากคำสาปมรณะ…”

ปราชญ์ลิ่วอูอธิบาย

ตำแหน่งหวงห้าม?

จ้าวเฟิงฟังเพียงกึ่งหนึ่งก็เข้าใจในหลักการของ ‘กลยุทธ์จักจั่นลอกคราบ’ ในทันที

ร่างของเขาย่อมมีตำแหน่งหวงห้ามแน่นอน

คุณสมบัติของดวงตาเทพเจ้าไม่ได้รับผลกระทบจากคำสาปมรณะแต่อย่างใด

สิ่งที่ถดถอยลงมีเพียงพลังวิญญาณและพลังดวงตาที่เกิดขึ้นภายหลัง

ทะเลสาบที่อยู่ตรงใจกลางสุดของดวงตาเทพเจ้าเชื่อมโยงกับพื้นที่ของห้วงฝันบรรพกาล ทั้งหมดเป็นเขตหวงห้ามทั้งสิ้น

นอกเหนือจากนี้ พื้นที่ดวงวิญญาณของจ้าวเฟิงที่ได้ดูดซึมพลังอัสนีเทวะก็สามารถควบคุมและป้องกันคำสาปมรณะได้

“ให้ตำแหน่งหวงห้ามของเจ้าเกิดขึ้นใหม่ พวกส่วนที่เหลือก็ให้ตายไปกับคำสาปมรณะ นี่ก็คือวิธีจักจั่นลอกคราบ มีเพียงคนจำนวนน้อยนิดที่พิเศษอย่างยิ่งจึงจะสามารถใช้วิธีการนี้ เชื่อเถอะว่าผู้ครอบครองเนตรเทพเจ้าดวงที่เก้าอย่างเจ้าลองใช้ดูได้” ปราชญ์ลิ่วอูเอ่ยยิ้มๆ

ทั้งหมดนี้คือวิธีทั้งสามของปราชญ์ลิ่วอู

สองวิธีแรกล้วนต้องอาศัยปัจจัยภายนอก ส่วนวิธีที่สามจ้าวเฟิงทดลองได้ด้วยตนเอง

“วิธีการที่สามสามารถเรียนรู้จากจักรพรรดิแห่งความตายที่ช่วงชิงร่างเพื่อเกิดใหม่ผ่าน ‘เนตรมรณะ’ แต่ว่าวิธีนี้จะเสี่ยงกว่า เพราะต้องเสียสละสายเลือดร่างกายและพลังฝึกตน”

จ้าวเฟิงลอบถอนใจ

วิธีการที่ดีที่สุดคือวิธีที่สอง…พรหลังความตาย วิธีนี้มีความเฉพาะเจาะจง คลี่คลายได้ถึงรากถึงโคน แต่ในทางกลับกัน เงื่อนไขของมันก็ยากเกินจะเป็นจริงที่สุดเช่นกัน

แต่ไม่ว่าจะพูดอย่างไร จ้าวเฟิงก็มีแนวทางการคลี่คลายคำสาปมรณะที่ชัดเจนในใจ ไม่ได้ว่างเปล่าไม่รู้เรื่องอะไรอีกแล้ว

“ขอบคุณสำหรับคำชี้แนะของท่านนักปราชญ์”

จ้าวเฟิงตื้นตันใจ ถ้าเป็นคนอื่นคงหายากจะมีวิธีกำจัดรอบด้านเช่นนี้

“สหายผู้น้อยกล่าวเกินไปแล้ว”

นักปราชญ์มีสีหน้ากลัดกลุ้มเล็กน้อย ส่ายศีรษะพลางเอ่ย “เจ้ามีความสามารถที่ไร้ขีดจำกัดจากเนตรเทพเจ้าดวงที่เก้า ถ้าหากว่าไม่มีเจ้า ฉินซินจะไม่มีทางเปลี่ยนชะตาชีวิต เกรงว่านางน่าจะตายก่อนอายุสิบหกปีด้วยซ้ำไป”

“ฉินซิน?” จ้าวเฟิงและเจ้าเมืองหงหูต่างใจเต้น รับรู้ถึงอีกเป้าหมายหนึ่งของการมาเยือนหอคอยลิ่วอูในครั้งนี้

ตอนนี้จ้าวเฟิงจึงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้น ณ ‘ตำหนักฟั่นหลุนกู่อิน’ ให้นักปราชญ์ลิ่วอูฟัง

“หากข้าคาดการณ์ไม่ผิด ฉินซิน นางน่าจะเกิดใหม่ไปแปดปีแล้ว”

บนใบหน้าของปราชญ์ลิ่วอูเผยแววยินดีที่ไม่ได้ปรากฏมานาน

ได้ยินเช่นนี้แล้ว จ้าวเฟิงจึงค่อยเข้าใจรางๆ ว่าการเกิดใหม่เป็นอย่างไร

“คนที่เกิดใหม่ด้วยวิธีการเช่นนี้ เจ้าน่าจะเคยเห็นมาก่อน แต่ว่าคนผู้นั้นไม่มีทางเหมือนฉินซินที่เข้าใจในวัฏจักรของเทพผู้สร้างจนเปลี่ยนแปลงโชคชะตาได้” น้ำเสียงของนักปราชญ์ลิ่วอูมีนัยลึกลับซ่อนอยู่

เขาเคยพบคนผู้นั้นแล้วงั้นรึ? แต่ว่าจ้าวเฟิงยังคิดไม่ออกในทันใด

“ท่านนักปราชญ์ ท่านพอจะบอกข้าได้หรือไม่ว่าตอนนี้ฉินซินอยู่ที่ใด?”

ท่านเจ้าเมืองหงหูเอ่ยถามอย่างอดไม่ได้

จ้าวเฟิงเองก็ร้อนรนต้องการจะรู้ข่าวคราวที่แน่ชัดของฉินซินเช่นกัน

“จ้าวเฟิง ถ้าหากยังมีวาสนาต่อกันอยู่ ในที่สุดแล้วเจ้าก็จะได้พบเจอกับฉินซินอีกครั้ง แล้วเจ้าก็ไม่จำเป็นต้องหาที่อยู่ที่ชัดเจนของนาง เพียงแค่หา ‘เนตรสังสารวัฎ’ เจอก็พอแล้ว”

ในแววตาของปราชญ์ลิ่วอูเต็มไปด้วยแววขบขัน

จ้าวเฟิงมักรู้สึกว่าปราชญ์ลิ่วอูรู้ข้อมูลมากกว่านี้แต่ไม่ยินยอมบอกตน

“เนตรสังสารวัฎอีกแล้วงั้นรึ?”

เมื่อจ้าวเฟิงนึกถึงหนึ่งในแปดมรดกของเนตรเทพดวงนี้แล้ว ก็ไร้ซึ่งคำพูดใดอยู่บ้าง

“เมื่อหมื่นปีที่แล้วเนตรสังสารวัฎเคยปรากฏที่ดินแดนทวีปมาก่อน แต่ปรากฏเพียงไม่นานก็หายไปอย่างรวดเร็ว”

ปราชญ์ลิ่วอูเอ่ย

“ดินแดนทวีปหรือ?” จ้าวเฟิงพึมพำเสียงเบา เขารู้เลยว่าที่แห่งนั้นเป็นที่ที่ตนเองต้องไป

บนหอคอยลิ่วอู จ้าวเฟิงรั้งอยู่ที่นั่นครู่หนึ่ง ไม่ได้รบกวนอะไรเพิ่มเติมอีกแล้ว จึงเอ่ยลาปราชญ์ลิ่วอูแล้วจากไป

เขามักรู้สึกเสมอว่าตัวของปราชญ์ลิ่วอูมีเรื่องลึกลับมากมาย จนถึงตอนนี้ก็ยังมีบางส่วนที่เขามองไม่ออก

บนหอคอยสูงชั้นที่สี่สิบเก้า

นักปราชญ์ลิ่วอูมองส่งเงาร่างที่จากไปของจ้าวเฟิง

เมี้ยว~

แมวขี้เกียจตัวใหญ่ร้องอย่างเกียจคร้านออกมายาวๆ

“ทวีปบุปผาครามเล็กๆ เป็นแหล่งกำเนิดดวงชะตาที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ แต่ว่าที่นี่ไม่ใช่ใจกลางสำคัญของโชคชะตา”

ปราชญ์ลิ่วอูพึมพำ

ในวันเดียวกันนั้นเอง ปราชญ์ลิ่วอูก็ปลีกตัวออกจากหอคอย แล้วพาแมวขี้เกียจตัวใหญ่บินจากไป

นับแต่นั้นมา ปราชญ์ลิ่วอูกลายเป็นเรื่องที่เล่าสืบต่อกันมาของทวีปบุปผาคราม อีกทั้งการจากไปในครานี้ก็ไม่ได้ย้อนกลับมาอีกเลย

แต่ว่าเรื่องราวที่ลึกลับของเขาก็ทำให้มีเรื่องเล่ามากสีสันในประวัติศาสตร์ดินแดนบุปผาคราม

ที่พอเหมาะพอเจาะก็คือ ในตอนที่ปราชญ์ลิ่วอูจากไปได้ครึ่งเดือน ผู้อาวุโสลัทธิมารจันทราชาดคนหนึ่งนำยอดฝีมือมากมายตรงดิ่งมาที่หอคอยลิ่วอู แต่กลับต้องพบแต่ความว่างเปล่า

“ไม่เสียทีที่เป็นปราชญ์ลิ่วอู เดิมข้าได้รับคำสั่งจากท่านเจ้าลัทธิให้มาจับเขา ไม่คิดเลยว่า…”

ผู้อาวุโสของลัทธิจันทราชาดยืนนิ่งอยู่บนหอคอยลิ่วอูอยู่นานถึงจากไป

ทว่าในขณะที่ทหารยอดฝีมือของลัทธิจันทราชาดกลุ่มนี้เพิ่งห่างไปหลายร้อยลี้

สวบ!

เมฆแสงสีส้มสุกสว่างสายหนึ่ง บินร่อนลงมาจากทะเลความว่างเปล่าภายนอกดินแดน กลิ่นอายแข็งแกร่งที่สาดซัดออกมาทำให้คนหายใจติดขัด

ผู้มาเยือนเป็นบุรุษหนุ่มผมดำ แววตาลึกล้ำราวฟ้ากระจ่างดาวที่มืดมิด

ในทุกอิริยาบท บนร่างเขามีพลังและความเชื่อมั่นที่เหนือกว่าผู้ใดจนทำให้คนเกิดความรู้สึกกดดัน

“เป็นใครกัน!” ผู้อาวุโสลัทธิจันทราชาดเพิ่งจะบินออกมาจากอาณาเขตก็พบกับบุรุษหนุ่มผมดำผู้นั้น

“เอ๋! คนผู้นี้มองดูแล้วรู้สึกคุ้นตาอยู่…”

“เป็นเขา… หยูเทียนฮ่าว! เป็นหนึ่งในผู้ถูกเลือกไร้ต่อสู้ของงานชุมนุมเซียนมังกรครั้งที่แล้ว”

คนหนึ่งในกลุ่มยอดฝีมือจันทราชาดเอ่ยออกมาเสียงเบา

“พวกเหลือเดนจันทราชาดงั้นรึ? ถือโอกาสจัดการเลยแล้วกัน!”

หยูเทียนฮ่าวยิ้มน้อยๆ แล้วจึงค่อยๆ ยกฝ่ามือขึ้นมา ลำแสงสีส้มสุกสกาวดังเพลิงอาทิตย์วิหคทองกลืนกินรัศมีหลายลี้ในชั่วพริบตา

“อ๊าก…”

ยอดฝีมือหลายสิบคนในกลุ่มของผู้อาวุโสจันทราชาด หลอมละลายเป็นฝุ่นธุลีอย่างรวดเร็วในลำแสงเพลิงสีส้ม

เพียงกระบวนท่าเดียวเท่านั้นก็สามารถทำลายยอดฝีมือจันทราชาดจำนวนมากที่อยู่ในกลุ่มของผู้อาวุโสผู้นี้

“จ้าวเฟิง เหมือนข้าจะสัมผัสถึงกลิ่นอายของเจ้าได้…” หยูเทียนฮ่าวยืนนิ่ง ผมสีดำปลิวไสว

ปฏิกิริยาจิตต่อสู้ที่มาจากสายเลือดสวรรค์ไร้เทียมทานทำให้เขามองไปยังทิศทางหนึ่ง

หากไปตามทิศทางดังกล่าว พุ่งผ่านระยะทางที่ยาวไกล ก็จะไปถึงดินแดนเหนืออันเป็นที่ตั้งของดินแดนเมฆา

ในเวลาดังกล่าว ตัวของจ้าวเฟิงอยู่ที่สิบสามแคว้นเมฆา

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!