Skip to content

King of Gods 761

King Of Gods

บทที่ 761 เจ้าหอโครงกระดูก ปะทะ เจ้าลัทธิจันทราชาด

“จักรพรรดิจ้าวเฟิง ขอท่านยั้งมือด้วย!”

ใบหน้านวลเนียนราวหยกของเฉิงเยว่เซียนกูซีดขาว ส่วนโครงกระดูกสีทองตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อไปหมดแล้ว

“พลังของจักรพรรดิ? เหตุใดจึง…”

ราชันลัทธิมารผู้นั้นสีหน้าซีดขาวราวแผ่นกระดาษ ผิวกายมีรอยไหม้ ท่าทางตื่นกลัวจนขวัญกระเจิง

ไม่ไกลกันนัก ทั้งร่างของจงหวานเอ๋อร์ค้างแข็งไปเสียแล้ว

ในเวลาสั้นๆ เพียงหนึ่งถึงสองช่วงลมหายใจ กลุ่มของราชันทั้งสามพินาศย่อยยับแล้วเอ่ยยอมแพ้

การเปลี่ยนแปลงทั้งหมดนี้ทำลายสามัญสำนึกของจงหวานเอ๋อร์จนหมดสิ้น

เมื่อมองเห็นผู้อาวุโสสูงสุดของสำนักตนตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อ ราชันอีกสองคนก็มีสีหน้าหวาดกลัวยำเกรง จงหวานเอ๋อร์ไม่อยากเชื่อสายตาตนเอง

ท่านทั้งสามนั้นเป็นราชันในขอบเขตปราณเทวะที่สูงส่งมิใช่หรอกหรือ?

“พลังของจักรพรรดิ…” หยูทียนฮ่าวตกใจ ระยะนี้เขาเพิ่งฝืนพยายามฝึกจนสำเร็จพลังของครึ่งก้าวสู่ราชันได้เท่านั้น

แต่ว่าจ้าวเฟิงที่อยู่ใกล้ๆ ผู้นี้กลับลึกซึ้งในพลังของจักรรพดิ

ทันทีที่พลังของจักรพรรดิถูกสาดซัดออกมา ราชันทั้งสามก็สูญเสียจิตต่อสู้ไป และยอมแพ้แต่โดยดี

“จักรพรรดิจ้าว ท่านมีเงื่อนไขอะไรจงรีบแจ้งมาเถิด” เฉิงเยว่เซียนกูพยายามสงบนิ่ง สีหน้าเคารพนบนอบ

แววตาของจ้าวเฟิงยังคงจับจ้องไปที่ราชันลัทธิมารแห่งตำหนักมารจันทรา

จ้าวเฟิงสำแดงพลังออกมาเมื่อครู่นี้ ราชันทั้งสามได้สัมผัสแล้วอย่างลึกซึ้ง

เพียงความคิดเดียวก็สามารถสร้างอาการบาดเจ็บต่อดวงวิญญาณของราชันระดับลึกซึ้ง ในขณะที่ยกมือขึ้นก็สร้างอาการบาดเจ็บแก่ราชันลัทธิมารทั้งใจและกาย

ไม่ว่าจ้าวเฟิงจะมีพลังฝึกตนในขั้นจักรพรรดิปราณเทวะหรือไม่ก็ตาม เพียงแค่กลวิธีเมื่อครู่ ต่อให้ราชันทั้งสามร่วมมือกันก็ไม่อาจะเป็นคู่ต่อสู้ของเขา

จักรพรรดิคนหนึ่งมีกำลังรบที่แข็งแกร่งขนาดไหนกัน?

ยามก่อนขณะอยู่ที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์โจรสลัดสิบแปดยอด ราชาโจรสลัดจำนวนมากร่วมมือกันก็โดนจักรพรรดิมู่อวิ๋นกดข่มเอาไว้ในคราเดียว

กำลังรบของราชันสามคนเบื้องหน้านี้ยังอ่อนด้อยกว่าราชันระดับสุดยอดกับราชันระดับลึกซึ้งที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์โจรสลัดมาก

“จักรพรรดิจ้าว ข้าตำหนักมารจันทรา จะชดเชยความเสียหายที่เกิดขึ้นกับทวีปบุปผาคราม ข้าขอเป็นตัวแทนของลัทธิมารแสดงความขอโทษอย่างสุดซึ้งต่อท่านและพี่น้องของทวีปนี้”

ราชันลัทธิมารสูดลมหายใจลึก คุกเข่าข้างหนึ่งลงกับพื้น

ความเป็นตายของเขาขึ้นอยู่กับห้วงความคิดเดียวของจ้าวเฟิงเท่านั้น

หากจ้าวเฟิงคิดจะทำลายตำหนักมารจันทราก็ไม่ได้ยากเย็นเสียเท่าไหร่ เมื่อถึงเวลานั้นสำนักจิตวิญญาณจันทร์กระจ่างและ ตำหนักผาดำก็ไม่กล้าให้ความช่วยเหลือ

“นับว่าพอประมาณแล้ว”

จ้าวเฟิงพยักหน้าน้อยๆ สิ่งที่เขาต้องการคือความรับผิดชอบของตำหนักมารจันทรา รวมทั้งการไม่บิดพลิ้วในข้อตกลง

เมื่อได้ยินคำพูดดังกล่าวของจ้าวเฟิง ราชันทั้งสามก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก

ขณะเดียวกัน บรรดาผู้สูงศักดิ์ของสหพันธ์แดนศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ไกลๆ สีหน้าก็มีชีวิตชีวาขึ้นเมื่อเห็นเหตุการณ์เบื้องหน้า

กลางอากาศ ราชันทั้งสามมีท่าทีหวาดกลัวอย่างแท้จริงเมื่ออยู่ต่อหน้าจ้าวเฟิง

“ใครมีม้วนหนังสือพันธะสัญญาโลหิตบ้าง?”

จ้าวเฟิงเปิดปากเอ่ยในฉับพลัน น้ำเสียงของเขาสะท้อนกึกก้องในอากาศ

“ข้ามี!”

นักพรตไป๋หยุนของสหพันธ์แดนศักดิ์สิทธิ์เอ่ยตอบ แล้วส่งม้วนหนังสือพันธะสัญญาโลหิตที่ขาวสะอาดมา

หนังสือพันธะสัญญาโลหิตถูกสร้างขึ้นโดยเผ่าพันธุ์ความลับสวรรค์ ส่วนที่สืบทอดมาจนถึงทุกวันนี้ก็มีอยู่น้อยเต็มที โดยปกติแล้วจะใช้ม้วนสัญญานี้เฉพาะในเหตุการณ์ที่พิเศษจริงๆ

“พันธะสัญญาโลหิต?” ราชันทั้งสามสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย

จ้าวเฟิงจัดแจงเขียนเงื่อนไขของตนลงในกระดาษพันธะสัญญาโลหิตที่ว่างเปล่าขาวสะอาดแผ่นนั้น

หลังจากนั้นเพียงครู่หนึ่ง จ้าวเฟิงก็ลงนามพันธะสัญญาโลหิตดังกล่าวร่วมกับราชันทั้งสาม

เนื้อหาของสัญญาก็คือ

สำนักทั้งสามที่ราชันสังกัดอยู่ ในภายหน้าห้ามมารุกรานทวีปบุปผาครามอีก ไม่เพียงเท่านั้น ในยามที่ทวีปบุปผาครามต้องการความช่วยเหลือ ก็ยังต้องให้ความช่วยเหลืออย่างสุดความสามารถและให้การคุ้มครองด้วย

ในทางกลับกัน จ้าวเฟิงห้ามทำร้ายสามสำนักโดยไม่มีสาเหตุ อีกทั้งในยามที่สามสำนักตกอยู่ในสถานการณ์ยากลำบาก เขาก็ต้องให้ความช่วยเหลืออย่างสุดความสามารถเช่นกัน

ทั้งสองฝ่ายล้วนต้องรักษาและปฏิบัติตามพันธะสัญญาโลหิตอย่างเคร่งครัด

ความจริงแล้ว หลังจากที่ลงนามพันธะสัญญาโลหิตฉบับนี้ ทั้งสามสำนักไม่ได้เศร้าโศกแต่กลับยินดีเสียด้วยซ้ำไป

แต่พวกเขาไหนเลยจะรู้ว่า หลังจากที่จ้าวเฟิงแก้ไขปัญหาที่ทวีปบุปผาครามได้แล้วจะเดินทางไปที่ดินแดนทวีป

ในเนื้อหาของพันธะสัญญามีข้อกำหนดว่า ‘อย่างสุดความสามารถ’ แต่พอถึงเวลานั้นแล้วตัวของจ้าวเฟิงก็จะอยู่ที่ดินแดนทวีป ย่อมไม่สามารถกลับมาที่นี่ได้

หลังจากที่ทำพันธะสัญญาโลหิตกันเสร็จ ราชันทั้งสามจึงจากไปอย่างเหงาหงอย

ราชันทั้งสามกลับไปยังกลุ่มดินแดนเทียนหลูแล้วรีบถ่ายทอดคำสั่งให้ทวีปบุปผาครามกลายเป็นพื้นที่ต้องห้าม

หลังเรื่องนี้จบลงไปแล้วครึ่งเดือน

สามราชันได้รับข่าวสารที่น่าตื่นตกใจว่ามียอดฝีมือผู้หนึ่งนาม ‘เทพราชาดวงตาซ้าย’ ไล่ตามสังหารจักรพรรดิแห่งความตาย ภายหลังการต่อสู้ครั้งยิ่งใหญ่เกินจะเปรียบ ก็ลงมือสังหารจักรพรรดิแห่งความตายด้วยมือของตนเอง

ราชันทั้งสามต้องขนหัวลุกตัวชาวาบจนนั่งไม่ติด

ต่อให้พวกเขาจะหัวช้าอย่างไรก็สามารถแน่ใจได้ว่าเทพราชาดวงตาซ้ายคือจ้าวเฟิง

เมื่อทราบข่าวนี้แล้ว สามราชันก็ไม่กล้าคิดอะไรอีก

ในเวลาเดียวกัน การสู้รบของลัทธิมารจันทราชาดและและทวีปบุปผาครามในเวลาครึ่งเดือนที่ผ่านมานี้ก็ค่อยๆ ปิดฉากลง

อำนาจห้าส่วนของลัทธิมารถูกเจ้าหอโครงกระดูกกำราบไว้แล้วเรียบร้อย ส่วนที่เหลืออีกห้าส่วนก็ตายจากการโดนสังหารหรือไม่ก็ในระหว่างการต่อสู้

เพียงแต่หลังจากที่ลัทธิจันทราชาดสูญสิ้นไปแล้ว บนทวีปก็ยังคงไม่มีข่าวคราวของเจ้าลัทธิมารจันทราชาด

เจ้าหอโครงกระดูกรวมไปถึงสหพันธ์แดนศักดิ์สิทธิ์ล้วนแต่กระตือรือร้นในการไล่ตาม ‘เจ้าลัทธิจันทราชาด’

และแล้วความพยายามก็เกิดผล

วันหนึ่ง ณ พื้นที่ที่หนาวเหน็บทางดินแดนเหนือ มีผู้สูงศักดิ์ผู้หนึ่งหาเบาะแสของเจ้าลัทธิจันทราชาดมาได้

เจ้าหอโครงกระดูกมาถึงในทันที

ยอดฝีมือในระดับสูงส่วนหนึ่งสหพันธ์แดนศักดิ์สิทธิ์ก็มาถึงอาณาเขตเหนือสุดนี้ แล้วจึงค่อยๆ ลดอาณาเขตในการค้นหาลง

บริเวณใกล้เคียงกับธารน้ำแข็งในขั้วโลกเหนือ

สวบ สวบ สวบ!

ยอดฝีมือที่มาจากดินแดนต่างๆ ล้อมรอบรัศมีร้อยลี้ ยอดฝีมือพวกนี้มีพลังฝึกตนต่ำสุดอยู่ในขั้นนายเหนือแท้

“เจ้าลัทธิจันทราชาด! ยังไม่ออกมารับความตายอีก!”

“เจ้าลัทธิจันทราชาด! พวกเรารู้ว่าเจ้าอยู่ใต้ธารน้ำแข็ง”

ผู้สูงศักดิ์ที่มาถึงธารน้ำแข็งมีจำนวนมากถึงยี่สิบคน

ผู้สูงศักดิ์มากกว่าครึ่งหนึ่งของทั้งทวีปบุปผาครามต่างพากันมายังอาณาเขตเหนือสุดแห่งนี้

รวมทั้งเจ้าหอโครงกระดูกที่ลอยตัวอยู่กลางอากาศเหนือธารน้ำแข็ง ในดวงตาปรากฏแววสับสน

จากร่องรอยและเบาะแสต่างๆ ทำให้แน่ใจได้ว่าเจ้าลัทธิจันทราชาดซ่อนตัวอยู่ในพื้นที่บริเวณนี้

“มดปลวกฝูงหนึ่ง! นี่พวกเจ้า…รนหาที่ตายชัดๆ!”

น้ำเสียงเย็นยะเยียบดังสะท้อนกึกก้องเป็นรัศมีหลายร้อยลี้

กลางอากาศ เลือดสีแดงฉานวาววับพลันไหลระเรื่อยมา อากาศรอบธารน้ำแข็งในละแวกนั้นถูกย้อมด้วยระลอกเลือดชั้นหนึ่ง

โครม!

ธารน้ำแข็งทั้งลูกปริแตกออกท่ามกลางแสงสีโลหิตขนาดมหาศาล คลื่นก้อนน้ำแข็งจำนวนนับไม่ถ้วนกระจายออกไปหลายร้อยลี้

ยอดฝีมือในระดับขั้นนายเหนือแท้จำนวนไม่น้อยบาดเจ็บหนักจากการระเบิดครั้งนี้

มีเพียงยอดฝีมือในระดับผู้สูงศักดิ์เท่านั้นที่พอจะฝืนต้านทานการโจมตีระลอกนั้นได้

ในวินาทีต่อมา มารที่มีปีกโลหิตขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นกลางอากาศ กลางหว่างคิ้วมีจันทร์สีชาด นัยน์ตาเย็นชาจ้องมองไปยังท้องฟ้าเบื้องหน้า

มองจากไกลๆ แล้วเสมือนหนึ่งจอมมารผู้มีปีกสีชาด

“ระวัง!”

“เจ้าลัทธิจันทราชาดผู้นี้มีพลังฝึกตนใกล้ราชันอย่างยิ่ง!”

เหล่ายอดฝีมือในระดับสุดยอดที่อยู่ใกล้เคียงธารน้ำแข็งมีสีหน้าระแวดระวัง

คนที่พวกเขากำลังเผชิญหน้าเป็นถึงหัวหน้าลัทธิมารที่มีชื่อเสียงลือกระฉ่อนดินแดนบุปผาครามในระยะหลายร้อยปีที่ผ่านมา

เจ้าลัทธิจันทราชาดดูท่าทางมีอายุประมาณห้าสิบหกสิบปี แต่ร่างกายกลับสูงใหญ่ ปีกโลหิตด้านหลังยาวถึงยี่สิบจั้ง ดวงตาทั้งสองดุจดาวสีเลือด

ในทุกที่ที่แววตาของเขากวาดผ่าน เหล่าผู้สูงศักดิ์ในระดับสุดยอดต่างสั่นสะท้านทั้งใจและกาย

“จ้าวหอโบราณ! เจ้ากล้าทรยศข้า!”

ยามที่แววตาของเจ้าลัทธิจันทราชาดหยุดลงบนร่างของเจ้าหอโครงกระดูก นัยน์ตาคู่นั้นเป็นประกายแวววาว

น้ำเสียงเย็นเยียบทำให้เจ้าหอโครงกระดูกใจชาวาบ

ในยามก่อน ชื่อเสียงของเจ้าลัทธิจันทราชาดในใจของเขายังคงตราตรึงอยู่ไม่เลือนหาย

กลิ่นอายบนร่างของเจ้าลัทธิจันทราชาด ถึงแม้ว่าพลังฝึกตนยังไม่ถึงขอบเขตปราณเทวะ ทว่ากำลังรบไม่ต่างจากราชันธรรมดาทั่วไปเสียเท่าไร

ถ้าหากสู้แบบตัวต่อตัว เกรงว่าโอกาสที่เจ้าหอโครงกระดูกจะชนะก็นับว่าค่อนข้างน้อยนิดนัก

“เจ้าลัทธิ! ข้าจะเตือนเจ้าไว้ ยอมแพ้แต่โดยดีเถอะ ถ้าหากว่าเป็นไปได้ข้าจะอ้อนวอนนายท่านให้ไว้ชีวิตเจ้า”

เจ้าหอโครงกระดูกถอนหายใจเบาๆ

ไม่ว่าจะพูดอย่างไรก็ตาม เจ้าลัทธิจันทราชาดเองก็เคยเป็นบุคคลที่ตนเคารพยำเกรงในยามก่อน

แต่ในวันนี้ต่างฝ่ายอยู่กันคนละฝั่ง

เจ้าหอโครงกระดูกเองรู้ว่าในขณะนี้จ้าวเฟิงก็กำลังจับตาดูสถานการณ์ในฝั่งนี้

ถ้าหากว่าเจ้าลัทธิจันทราชาดต่อต้านขึ้นมา ต่อให้ทะลวงฝ่าวงล้อมก็ไม่มีโอกาสลงมือโต้กลับ

“นายท่าน? ต่อให้ข้าต้องตายก็ไม่มีทางเป็นทาสมัน!” เจ้าลัทธิจันทราชาดหัวเราะเสียงเย็น

เมื่อเอ่ยจบ แสงปีกสีโลหิตบนหลังเขาโบกสะบัดอย่างบ้าคลั่งรุนแรง กลายเป็นพายุเงาโลหิตที่สั่นสะเทือนฟ้าดินตรงดิ่งไปบนฟากฟ้า

แต่ว่าหากเขาต้องการฝ่าวงล้อมออกไป คนที่จะโดนโจมตีเป็นคนแรกคือเจ้าหอโครงกระดูกที่ลอยอยู่กลางอากาศ

ในฝูงชนที่อยู่ในเหตุการณ์นั้น มีเพียงเจ้าหอโครงกระดูกที่มีฝีมือและพลังฝึกตนใกล้เคียงกับเขาที่สุด

ขอเพียงสามารถทำร้ายเจ้าหอโครงกระดูกให้บาดเจ็บสาหัส โอกาสหนีรอดไปได้ก็จะเพิ่มขึ้นมาก

“ถอยไปให้หมด!” เจ้าหอโครงกระดูกตะโกนเสียงเย็น แล้วปรากฏธงค่ายกลผืนหนึ่งในมือ

กลางอากาศในวินาทีนั้น จึงเหลือเพียงแค่การปะทะกันอย่างซึ่งๆ หน้าของเจ้าหอโครงกระดูกและเจ้าลัทธิจันทราชาด

สวบ พู่ว~

หมอกเพลิงหุ่นเชิดศพที่หนาแน่นคละคลุ้งชั้นหนึ่งโผล่มากลางอากาศ สาดซัดพลังอาฆาตและปราณศพมหาศาลที่สะเทือนฟ้าดิน

มีดวงตาสีแดงก่ำอำมหิตนับร้อยคู่อยู่ภายในหมอกเพลิงหุ่นเชิดศพ

“ร้อยศพต้องสาป! เจ้ากล้าเอามาจากแดนต้องห้ามร้อยหลุมศพ…”

เจ้าลัทธิจันทราชาดหน้าถอดสี

ในหมอกเพลิงหุ่นเชิดศพ พลังอาฆาตและปราณศพที่สาดซัดออกมาแข็งแกร่งยิ่งกว่าแดนต้องห้ามร้อยหลุมศพในยามก่อนพันเท่า

ในทุกร่างของหุ่นเชิดศพต้องสาป มีพลังและกลิ่นอายเข้าใกล้ขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูง

เพียงแค่นัยน์ตาสีแดงก่ำอำมหิตร้อยคู่นั้น ก็เกือบจะทำให้เจ้าลัทธิจันทราชาดดวงวิญญาณแตกกระเจิง

เจ้าลัทธิจันทราชาดตกใจอย่างยิ่ง นี่ไม่ใช่วิชาทั้งหมดที่เจ้าหอโครงกระดูกมีแน่นอน

แต่ทว่า

ท้ายที่สุดแล้วเขาก็ประเมินพลังของค่ายกลร้อยศพต่ำไป ค่ายกลนี้ดูดซึมจิตและวิญญาณของราชันไปไม่น้อย และกลืนกินคนในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดจำนวนหลักร้อยขึ้นไป

พู่ว! ภายในหมอกควันหุ่นเชิดศพ มือซีดเผือดขนาดยักษ์ที่ชโลมไปด้วยเลือดปลดปล่อยแรงอาฆาตและปราณศพที่สะเทือนฟ้าดินออกมา

แล้วจึงเอื้อมมือคว้า ‘เจ้าลัทธิจันทราชาด’ ในชั้นที่ตามองไม่เห็น

“อ๊าก——” เจ้าลัทธิจันทราชาดกรีดร้องโหยหวน เมื่อถูกมือปีศาจนั้นพันธนาการเอาไว้

เห็นเพียงร่างของเจ้าลัทธิจันทราชาดแห้งเหี่ยวเน่าเปื่อยไปด้วยความเร็วที่ตาเปล่ามองเห็นได้

ภายในไม่กี่ช่วงลมหายใจ

เจ้าลัทธิจันทราชาดที่น่าสะพรึงกลัวมาจนถึงทุกวันนี้ก็กลายป็นกองเลือด เศษเลือดเนื้อล้วนแต่โดนค่ายกลร้อยศพดูดซึมไป

เฮือก!

ในละแวกของภูเขาน้ำแข็ง เหล่าบุคคลชั้นยอดและยอดฝีมือระดับสูงสุดจากส่วนต่างๆ ของทวีปสูดหายใจเย็นเยือกเข้าปอด

พวกระดับสูงของสหพันธ์แดนศักดิ์สิทธิ์ตัวสั่นเทาอย่างหวาดกลัว ในแววตาฉายแววหวาดกลัวมาจากส่วนลึก

พวกบุคคลชั้นยอดของลัทธิจันทราชาดที่โดนเจ้าหอโครงกระดูกกำราบมาเป็นพวกเกิดความยำเกรงและหวาดกลัวอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน

ยากที่จะคิดได้เลยว่า เจ้าลัทธิจันทราชาดผู้มีชื่อเสียงกระหึ่มยังไม่มีแม้แต่แรงจะตอบโต้ และถูกค่ายกลของเจ้าหอโครงกระดูกสังหาร

หลังจากการต่อสู้นี้ครานี้ ชื่อเสียงของเจ้าหอโครงกระดูกก็โด่งดังไปทั่วแผ่นดินใหญ่

เขาผู้ซึ่งจัดระบบระเบียบลัทธิมารจันทราชาดสร้าง ‘ตำหนักจันทราชาด’ ขึ้นมา กลายเป็นบุคคลต้องห้ามของทวีปบุปผาคราม

แต่ว่ามีคนจำนวนน้อยนิดที่จะรู้ว่าเจ้าหอโครงกระดูกเป็นข้ารับใช้ของจ้าวเฟิง

ลัทธิโลหะเลือด ณ อาณาจักรนภา

ในม่านแสงหนาวเย็นสีฟ้าปรากฏภาพของเจ้าลัทธิจันทราชาดตั้งแต่เริ่มลงมือจนกลายเป็นกองเลือด

เจ้าลัทธิหงและเถี่ยหมัวมีสีหน้าตกตะลึง ใช้เวลานานกว่าจะกลับมาเป็นปกติ

“เรื่องของทวีปบุปผาครามใกล้จะจบลงแล้ว”

จ้าวเฟิงสะบัดมือแล้วภาพดังกล่าวก็หายไป

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!