Skip to content

King of Gods 764

King Of Gods

บทที่ 764 จ้าวเฟิง หรือ จ้าวเฟิง?

“ทางเหนือของดินแดนเทียนเฟิง…ตระกูลจ้าวแห่งเขาเมฆา…..จ้าวเฟิง?”

ปรากฎความทรงจำของเด็กหนุ่มแปลกหน้าคนหนึ่งขึ้นในหัวของจ้าวเฟิง

เวลานี้ ทะเลวิญญาณรับเอาเสี้ยวความทรงจำของเศษเสี้ยวดวงวิญญาณนี้มา

สิ่งที่บังเอิญก็คือ เด็กหนุ่มผู้นี้มีแซ่เดียวกันกับจ้าวเฟิง รวมไปถึงการอ่านออกเสียงของชื่อด้วย[1]

ด้วยพลังการควบคุมจากดวงตาเทพเจ้าของจ้าวเฟิง จึงทำให้สามารถยึดครองร่างนี้ได้อย่างรวดเร็ว

“แย่แล้ว! อวัยวะภายในได้รับบาดเจ็บอย่างรุนแรง และยังเสียเลือดมาก…..”

จ้าวเฟิงสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย ถึงแม้เขาจะแฝงวิญญาณเกิดใหม่ แต่ก่อนที่จะเข้ายึดครอง ร่างกายของเด็กหนุ่มคนนี้ส่วนใหญ่ได้ตายไปแล้ว

เช่นนี้ก็นับว่าเป็นเรื่องดี จ้าวเฟิงจะได้ไม่รู้สึกผิดมากนัก เพราะถ้าหากว่าเขาไม่มา เด็กหนุ่มผู้มีนามว่าจ้าวเฟิงก็คงจะตายไปแล้ว

ในขณะนั้นเอง จ้าวเฟิงจึงโคจรพลังของเจตจำนงที่ไม่ถึงหนึ่งในสิบส่วนเพื่อสมานบาดแผลที่อยู่ทั่วร่างกาย แล้วยังกระตุ้นพลังชีวิตในร่างกายขึ้นอีกครั้ง

เนื่องจากร่างกายนี้กำลังจะตาย พลังชีวิตยังไม่สูญสลายไป จึงทำให้ทุกขั้นตอนยังนับว่าราบรื่นดีอยู่

ร่างนี้นับได้ว่าค่อนข้างเหมาะสม จ้าวเฟิงเองก็ไม่อยากจะอยากหาร่างใหม่อีก

ถัดมา มีเรื่องสำคัญอย่างยิ่งที่จ้าวเฟิงจะต้องแน่ใจ

ดวงตาเทพเจ้าของจ้าวเฟิงกวาดผ่านทั่วร่างกายและดวงวิญญาณอย่างคร่าวๆ

“ฺฮู่! ยังดี…คำสาปมรณะถูกตัดขาดอย่างสมบูรณ์แล้ว” จ้าวเฟิงถอนหายใจออกมา

วิธีจักจั่นลอกคราบที่เขาใช้ทำได้เพียงรักษาส่วนต้องห้ามอย่างดวงตาเทพเจ้าเอาไว้ พลังดวงวิญญาณมากกว่าครึ่งที่เหลืออยู่ รวมไปถึงกายเนื้อ ล้วนแต่โดนคำสาปมรณะกัดกร่อน

ที่ผ่านๆ มาวิธีการถือกำเนิดใหม่มีอยู่สามอย่าง

วิธีแรกคือ ยึดร่างถือกำเนิดใหม่ วิธีนี้ถือว่าง่ายแต่มีอันตรายค่อนข้างมาก

วิธีที่สองคือ หยดเลือดชุบชีวิต เป็นวิธีของเด็กน้อยครึ่งเซียน ถือว่าค่อนข้างสูงส่ง จำเป็นต้องมีพื้นฐานของพลังและร่างกายที่แข็งแกร่ง

วิธีที่สามคือ เกิดใหม่ตามสังสารวัฏ วิธีนี้ยากเกินควบคุมได้ จะเก็บรักษาความทรงจำได้หรือไม่ก็ยากเกินเอ่ย หากว่าโชคดีอาจถือกำเนิดในร่างที่มีสายเลือดรายชื่อหมื่นเผ่าพันธุ์ หรือร่างของทายาทตระกูลใหญ่ ถ้าหากโชคร้ายอาจถือกำเนิดในร่างสุนัขหรือสุกร

แต่ถ้าหากสามารถควบคุมวิธีที่สามได้แล้วล่ะก็ เช่นนั้นจึงจะเป็นวิธีการที่สมบูรณ์แบบที่สุด

เมื่อเปรียบกันแล้ว วิธีการที่จ้าวเฟิงเลือกใช้เป็นวิธีใน ‘ระดับต่ำ’ ที่สุด แต่ว่านี่เป็นเพียงวิธีเดียวที่เขาสามารถใช้ได้

หยดเลือดชุบชีวิตเป็นวิธีที่สูงส่งลึกล้ำ จ้าวเฟิงมิอาจทำได้ จักรพรรดิแห่งความตายก็อาจจะทำไม่ได้เช่นกัน

ต้องแข็งแกร่งดั่งเด็กน้อยครึ่งเซียนที่อยู่ในขั้นครึ่งเซียนช่วงสุดยอด

‘กายศักดิ์สิทธิ์ปฐพีทอง’ บรรลุถึงระดับขั้นที่สูงมาก จึงจะสามารถบำเพ็ญได้สำเร็จ ด้วยหยดเลือดชุบชีวิตต้องฝึกบำเพ็ญให้สำเร็จในช่วงชีวิตก่อน

อีกทั้งหยดเลือดชุบชีวิตก็ไม่เหมาะกับจ้าวเฟิงเท่าไหร่นัก เพราะว่าเลือดเนื้อของเขาไม่มีทางลบล้างพลังของคำสาปมรณะได้ ในทันทีที่เขาถือกำเนิดใหม่จากหยดเลือด พลังของคำสาปมรณะก็จะถือกำเนิดใหม่อีกครั้ง

วิธีที่เหมาะที่สุดสำหรับจ้าวเฟิงกลับกลายเป็น ‘การช่วงชิงร่างถือกำเนิดใหม่’ อันเป็นวิธีขั้นต่ำที่สุด หรือเรียกว่าการหยิบยืมร่างเปลี่ยนดวงวิญญาณ

“ร่างกายนี้ยังอายุแรกรุ่นนัก เพิ่งจะทะลวงผ่านขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงได้ไม่นาน นับว่าเหมาะสมอย่างยิ่ง”

จ้าวเฟิงตรวจตราอีกรอบ พึงใจมากทีเดียว

ถ้าหากว่าพลังของเป้าหมายแข็งแกร่งเกินไป ก็จะไม่เหมาะสมกับจ้าวเฟิง

ไม่ใช่ว่าจ้าวเฟิงไม่คิดจะช่วงชิงร่างที่แข็งแกร่งกว่านี้

แต่หากคิดจะลบล้างคำสาปมรณะ จ้าวเฟิงจำเป็นต้องสละพลังดวงวิญญาณมากกว่าเก้าส่วนขึ้นไป และถึงขั้นจะต้องสละกายเนื้อทิ้งไปด้วย พึ่งพาเพียงพลังดวงวิญญาณที่เหลืออยู่ไม่ถึงหนึ่งส่วน จะให้ไปช่วงชิงร่างของราชันก็คงเป็นไปไม่ได้ ถึงเป้าหมายจะอยู่ในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดขึ้นไปก็จะเกิดการดิ้นรนขึ้น

หากเป็นขอบเขตจิตวิญญาณแท้จริงก็จะง่ายดายอย่างยิ่ง

เจ้าของร่างกายคนก่อนเพิ่งจะหมดลมหายใจ ถือว่าลดปัญหาของจ้าวเฟิงลงไป

ในเวลานี้ ใจของจ้าวเฟิงโล่งไปมาก

อย่างแรก คำสาปมรณะถูกกำจัดไปแล้ว

อย่างที่สอง คุณสมบัติของร่างกายนี้แข็งแกร่งกว่าชีวิตก่อนมาก เหมาะสมในการฝึก ‘กายศักดิ์สิทธิ์อัสนีปฐพีทอง’ และ ‘วิชาวายุอัสนีห้าสาย’ อีกครั้ง

เสียดายเพียงอย่างเดียวก็คือไม่สามารถย้ายสายเลือดเผ่าพันธุ์เกล็ดมังกรเหมันต์มายังร่างนี้ได้

แต่สิ่งในโลกนี้ล้วนเป็นอนิจจัง มีได้มาย่อมมีเสียไป ไม่มีทางที่จะสมบูรณ์แบบตามใจปรารถนา

หลังจากนั้นจ้าวเฟิงก็เริ่มกำจัดเศษซากความทรงจำที่หลงเหลืออยู่ในร่างกายนี้

‘จ้าวเฟิง’ เจ้าของร่างคนก่อนเป็นคนในตระกูลระดับกลางตระกูลหนึ่งของดินแดนเกาะใหญ่ มีนามว่าตระกูลจ้าวแห่งเขาเมฆา

ตระกูลจ้าวกับ ‘ตระกูลอิน’ ซึ่งอยู่เขาเมฆาเช่นเดียวกัน มีบุญคุณความแค้นต่อกันอย่างลึกซึ้ง แก่งแย่งชิงดีกันอย่างดุเดือด

หนำซ้ำ ‘จ้าวเฟิง’ ยังเป็นอัจฉริยะชั้นยอดที่ในรอบหนึ่งพันปีจะพบเจอของตระกูลจ้าว อีกทั้งในครึ่งปีก่อนยังทดสอบเข้าสู่ ‘สำนักศักดิ์สิทธิ์วั่น’ ได้สำเร็จ

สำนักศักดิ์สิทธิ์วั่นเป็นสำนักระดับสามดาวที่รุ่งเรืองในอดีตของราชวงศ์แห่งดินแดนทวีป

ถึงแม้ว่าในวันนี้สำนักศักดิ์สิทธิ์วั่นตกไปอยู่ในระดับสองดาวแล้ว แต่ว่ารายละเอียดลึกล้ำ สืบต่อมายาวนาน แข็งแกร่งกว่าสำนักระดับสองดาวส่วนหนึ่งที่ตั้งอยู่ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์เจินอู่

ไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่สร้างความหวาดวิตกให้แก่บ้านสกุลอินอย่างยิ่ง

บังเอิญที่ในครั้งนี้ ‘จ้าวเฟิง’ ผู้นั้นได้มาทำภารกิจร่วมกับศิษย์ของสำนักคนอื่นๆ เนื่องด้วยนิสัยรักสันโดษของเขา ความสัมพันธ์กับคนในสำนักไม่ค่อยดีนัก จึงทำภารกิจเพียงลำพัง ทำให้บ้านสกุลอินสบโอกาส

“น่าสนใจอย่างยิ่ง ร่างนี้มีคุณสมบัติของกายจิตวิญญาณดินระดับสูง แล้วยังมีมรดกสายเลือดด้วย แต่ว่าบิดามารดาของเขาล้วนแต่ตายไปแล้วทั้งคู่ กำพร้ามาตั้งแต่เยาว์วัย มีเพียงผู้เป็นปู่เท่านั้นที่ผูกพันดูแล”

จ้าวเฟิงขุดคุ้ยข้อมูลลึกลงไป จนรู้เรื่องราวที่น่าสนใจมากมาย

ยังรวมไปถึงเรื่องที่ร่างนี้ยังมี ‘คู่หมั้น’ ที่ทางตระกูลหมั้นหมายเอาไว้ อีกฝ่ายเป็นคนในตระกูลใหญ่ที่มีอำนาจอย่างยิ่ง

สามารถพูดได้ว่าเด็กผู้นี้แบกความหวังอันยิ่งใหญ่ของตระกูลจ้าวแห่งเขาเมฆาอยู่

“ในเมื่อข้าได้สืบทอดร่างนี้แล้ว ก็จะช่วยให้เจ้าบรรลุความปรารถนาในใจยามมีชีวิตอย่างแน่นอน เว้นก็แต่เรื่องคู่หมั้นคนนั้น…”

มุมปากจ้าวเฟิงเหยียดยิ้มออกมาอย่างเฉยชา

ร่างนี้ของเด็กหนุ่มหล่อเหลาองอาจมากกว่าจ้าวเฟิงคนก่อน ข้อด้อยเพียงอย่างเดียวที่มีก็คือนิสัยของเขาที่รักสันโดษมากเกินไป

สวบ สวบ สวบ!

ในเวลานี้เอง มีเสียงแหวกอากาศดังมาจากจุดที่ไม่ไกล

“ศิษย์น้องจ้าวเฟิง!”

“ศิษย์น้องจ้าวได้รับบาดเจ็บสาหัส! ศิษย์น้องวั่นรีบรักษาเขาเร็ว…”

ศิษย์ทั้งหมดห้าหกคนล้วนแต่เป็นเด็กชายเด็กหญิง พลังฝึกตนที่ต่ำที่สุดอยู่ในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริง

ผู้นำเป็นบุรุษหนุ่มชุดคลุมสีดำ หน้าเขาเปลี่ยนสี

เขาเป็นผู้นำกลุ่มของภารกิจในครั้งนี้ พลังฝึกตนสูงส่งในขั้นนายเหนือแท้

จ้าวเฟิงเอนกายบนพื้น เด็กสาวชุดสีฟ้าท่าทางสุขุมอ่อนโยนปลดปล่อยพลังธาตุวารี กำลังรักษาบาดแผลให้เขา

ในความทรงจำปรากฎเรื่องราวของศิษย์ร่วมสำนักขึ้นในหัวอย่างรวดเร็ว

บุรุษหนุ่มในชุดดำก็คือศิษย์พี่ก่วง นามว่าก่วงเถียน เป็นคนกว้างขวางอย่างยิ่งในบรรดาลูกศิษย์คนสำคัญ

ดรุณีชุดฟ้าท่าทางอ่อนหวานแบบบางมีนามว่าวั่นหรง พลังฝึกตนทะลวงผ่านไปยังขั้นผู้วิเศษแท้

ในกลุ่มนี้ พลังฝึกตนของ ‘จ้าวเฟิง’ ต่ำที่สุด เป็นเพราะว่าอายุเขายังน้อย ระยะเวลาที่เข้าสำนักก็สั้นเช่นกัน

ในความทรงจำของเขา ลูกศิษย์สืบทอดทั้งสิบที่แข็งแกร่งที่สุดในสำนักศักดิ์สิทธิ์วั่นล้วนอยู่เหนือขอบเขตแก่นก่อกำเนิดขึ้นไป ผู้ที่ทะลวงผ่านขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูงมีสองสามคน

ระดับขั้นของศิษย์ในสำนักศักดิ์สิทธิ์วั่นแบ่งเป็น ศิษย์ชั้นนอก ศิษย์คนสำคัญ และศิษย์ผู้สืบทอด

ศิษย์หลายคนที่อยู่ในเหตุการณ์คือศิษย์คนสำคัญเป็นอย่างน้อย

“แปลกเสียจริง ศิษย์น้องจ้าวได้รับบาดเจ็บสาหัสเช่นนี้แต่ยังสามารถรักษาเอาตัวรอดได้” ศิษย์พี่วั่นในชุดฟ้า เกิดความประหลาดใจในขณะที่กำลังรักษาบาดแผล

ร่างนี้ของจ้าวเฟิงได้รับบาดเจ็บถึงอวัยวะภายในช่องท้องและหัวใจ อีกทั้งบาดเจ็บหนักหนาสาหัสอย่างยิ่ง

แต่ว่าบาดแผลที่รุนแรงถึงแก่ชีวิตเหล่านี้กลับประสานสนิท เลือดก็ไม่ไหลซึมออกมาอีก

ในขณะที่กำลังรักษานั้น ศิษย์พี่วั่นก็ยังให้จ้าวเฟิงกินโอสถวิญญาณล้ำค่าที่รักษาบาดแผลเม็ดหนึ่ง

จ้าวเฟิงค่อยๆ โคจรพลังให้ผลของยากระจายไปยังจุดบาดเจ็บหนักเหล่านั้น เพื่อให้ความร่วมมือกับการรักษาของศิษย์พี่วั่น

หลังจากนั้นไม่นาน บาดแผลของจ้าวเฟิงก็ดีขึ้นจนน่าประหลาดใจ

“ดีขึ้นแล้ว”

จ้าวเฟิงปัดฝุ่นที่ติดบนร่างกาย ชันตัวยืนขึ้นมาด้วยสีหน้าปกติ ก่อนมองสำรวจรอบๆ ตัว

ศิษย์พี่วั่นผู้อ่อนโยนเผยแววประหลาดใจออกมาอย่างอดไม่ได้

‘จ้าวเฟิง’ ในยามนี้ทำให้ความรู้สึกของนางไม่เหมือนเดิม

บุรุษหนุ่มชุดคลุมสีดำอย่าง ‘ศิษย์พี่ก่วง’ ขมวดคิ้วเล็กน้อย ปรากฎความเยือกเย็นพาดผ่านในแววตา

“ศิษย์น้องจ้าว! ถ้าหากเจ้ายังคงไปไหนมาไหนคนเดียวทุกครั้ง คงจะไม่โชคดีช่วยชีวิตเจ้ากลับมาได้เช่นนี้หรอกนะ”

ศิษย์พี่ก่วงไม่ได้ถามถึงสาเหตุที่จ้าวเฟิงได้รับบาดเจ็บ

ข้างกายมีสัตว์อสูรในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงตัวหนึ่ง พวกเขาจึงถือเอาว่าจ้าวเฟิงต่อสู้กับมันจนร่างกายได้รับบาดเจ็บสาหัส

มีเพียงศิษย์พี่วั่นผู้เป็นคนรักษาอาการบาดเจ็บที่พอจะมองสาเหตุออก

น้ำเสียงของศิษย์พี่ก่วงเต็มไปด้วยร่องรอยของการตำหนิติเตียน

จ้าวเฟิงไม่พูดอะไร ในแววตามีเพียงความเย็นชาน้อยๆ พาดผ่าน

ด้วยความสามารถในการวิเคราะห์และแยกแยะของเขาก็มองออกไม่ยากนัก เขาต้องเผชิญหน้ากับการลอบสังหารจากบ้านสกุลอินเพียงลำพังในครานี้ ย่อมต้องเกี่ยวข้องกับศิษย์พี่ก่วงผู้นี้อย่างแน่นอน

ในขณะที่ทำภารกิจ ศิษย์พี่ก่วงกับจ้าวเฟิงคนก่อนได้ถกเถียงกัน จ้าวเฟิงเป็นคนนิสัยรักสันโดษอยู่แล้วเมื่ออารมณ์หงุดหงิดจึงตัดสินใจออกไปทำภารกิจโดยลำพัง

แต่ว่าเท่าที่จ้าวเฟิงรู้ ศิษย์พี่ก่วงผู้นี้เป็นคนกว้างขวาง เป็นที่รักของกลุ่มศิษย์ในสำนัก

ทว่าการทำภารกิจในครั้งนี้ ศิษย์พี่ก่วงกับจ้าวเฟิงที่รักสันโดษกลับเกิดปัญหากัน

หลังจากจ้าวเฟิงแยกตัวอยู่เพียงลำพัง ก็ต้องประสบกับการสังหารของตระกูลอินอย่างประจวบเหมาะ

ถ้าหากไม่ใช่เพราะศิษย์พี่วั่นทนปล่อยจ้าวเฟิงออกมาเพียงลำพังไม่ได้ เกรงว่าน่าจะหาศพของเขาไม่เจอด้วยซ้ำ

“ศิษย์พี่วั่น ข้าติดหนี้บุญคุณท่าน” จ้าวเฟิงไม่ได้สนใจศิษย์พี่ก่วง ผงกศีรษะเล็กน้อยให้กับศิษย์พี่วั่น

“เจ้า…เจ้าเด็กไม่รู้ดีชั่ว” ศิษย์พี่ก่วงเอ่ยอย่างหงุดหงิด

เมี้ยว เมี้ยว!

ในเวลานี้เอง มีแมวตัวน้อยสีเทาเงินกระโดดออกมาจากมุมหนึ่งของป่า

“เจ้าแมวน้อยน่ารักจัง” ดวงตาศิษย์พี่วั่นฉายแววชื่นชอบ

เจ้าแมวตัวน้อยท่าทางหยิ่งยโส ดวงตาสองข้างโตกลมเหมือนหินสีดำ จิตวิญญาณหัวขโมยแรงกล้า รู้แจ้งถึงจิตใจของผู้คน

เมี้ยว เมี้ยว!

เจ้าแมวขโมยตัวน้อยกระโดดเบาๆ ไปยังไหล่ของจ้าวเฟิง และถูไถไปมาอย่างสนิทสนม

“เจ้าแมวขโมยตัวน้อย” จ้าวเฟิงยื่นมือไปลูบที่ขนของมันด้วยสีหน้าปลื้มปีติ

ชีวิตคนเปลี่ยนไป สิ่งของยังเหมือนเดิม แต่คนไม่เหมือนเคยอีกแล้ว

แต่ว่าพลังดวงวิญญาณของคนหนึ่งคนถึงจะเป็นส่วนที่สำคัญ ร่างกายเป็นเพียงผิวที่ห่อหุ้มเท่านั้น

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะสำหรับจ้าวเฟิงหรือจักรพรรดิแห่งความตายก็ตาม พลังดวงวิญญาณถึงจะเป็นต้นกำเนิดและไม่มีทางสูญสลายไปอย่างแท้จริง

ถึงแม้จะเป็นการยึดร่างเพื่อถือกำเนิดใหม่ แต่จ้าวเฟิงก็ยังเป็นจ้าวเฟิง

เจ้าแมวขโมยตัวน้อยก็ยังคงอยู่เคียงข้างเขา

“เจ้าแมวตัวนี้…”

ศิษย์พี่ก่วง วั่นหรง และคนอื่นๆ มีสีหน้าตะลึง

‘จ้าวเฟิง’ ในเวลานี้ดูมั่นคงแน่วแน่ บนร่างมีรัศมีที่ยากจะบรรยายได้

“ลืมบอกไป ข้าเพิ่งจะได้สัตว์เลี้ยงแมวน้อยมาหนึ่งตัวจากที่ ‘ป่าไร้เลือนราง’ จ้าวเฟิงเอ่ยสำทับ

ศิษย์พี่ก่วงและคนอื่นไม่ซักไซ้อะไรอีก แมวตัวเล็กๆ เพียงเท่านี้ตัวหนึ่ง ดูไปแล้วก็ไม่ได้มีแรงต่อสู้อะไร

มีเพียงแต่คนนิสัยรักสันโดษอย่าง ‘จ้าวเฟิง’ หรืออิสตรีบางส่วน ถึงจะเลือกเลี้ยงแมวที่มีพลังโจมตีอ่อนแอและน่ารักเช่นนี้

เมื่อเอ่ยจบ หนึ่งคนหนึ่งแมวก็มุ่งหน้าเดินเข้าไปในส่วนลึกของป่าไร้เลือนราง

“จ้าวเฟิง นี่เจ้าจะทำอะไร!” ศิษย์พี่ก่วงตะโกนเสียงดัง

“ข้าจะไปคนเดียว” จ้าวเฟิงเอ่ยเรียบๆ ไม่แม้แต่จะหันหน้ากลับมามอง

“ศิษย์น้องจ้าว! ในส่วนลึกของป่าไร้เลือนรางแห่งนี้มีร่องรอยของสัตว์อสูรในขั้นผู้สูงศักดิ์ เจ้าไปคนเดียวอันตรายเกินไปนะ” ศิษย์พี่วั่นหรงเอ่ยขึ้นอย่างอดไม่ได้

ศิษย์พี่ก่วงและพวกกลับทำสีหน้ารังเกียจ ท่าทีราวกับมองคน ‘โง่งม’ อย่างนั้น

“เจ้าเด็กนี่ เมื่อครู่เดินทางคนเดียวก็เกือบจะเอาชีวิตไม่รอด กลับยังไม่เข็ดอีก” ศิษย์ในชุดฟ้าเอ่ยเสียงเย็น

“ศิษย์น้องจ้าว นี่เป็นความตั้งใจของเจ้าที่อยากเดินทางเพียงลำพัง จะมาโทษข้าที่เป็นผู้นำกลุ่มไม่ได้ หากตายที่ป่าไร้เลือนรางก็ไม่เกี่ยวข้องกับข้า” ศิษย์พี่ก่วงเอ่ยอย่างเย็นชา

ต่อให้จ้าวเฟิงรักษาชีวิตเอาไว้ได้ พลังของเขาเพียงคนเดียวเกรงว่าจะทำภารกิจของสำนักไม่สำเร็จ เมื่อกลับมาที่สำนักแล้ว มีความเป็นไปได้มากกว่าครึ่งที่จะโดนลงโทษ

แต่ทว่า เขาและแมวยังคงทำเป็นไม่ได้ยิน เดินมุ่งตรงเข้าไปยังส่วนลึกของป่าไร้เลือนราง

ศิษย์พี่วั่นผู้อ่อนหวานนุ่มนวลมองเงาที่เดินลับหายไป เกิดความรู้สึกกระวนกระวาย สัมผัสได้ถึงเสน่ห์ที่คล้ายตำนานหรือเรื่องลี้ลับจากแผ่นหลังนั้น

………………………………

[1] เฟิง (风) ในชื่อนี้หมายถึง สายลม ต่างจาก เฟิง (峰) ในชื่อตัวเอกของเรื่องที่หมายถึง จุดสูงสุดหรือยอดเขา

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!