Skip to content

King of Gods 765

King Of Gods

บทที่ 765 วิหคนิลกาฬ

หนึ่งคนหนึ่งแมวเดินมุ่งหน้าตรงไปยังส่วนลึกของป่าไร้เลือนราง

จ้าวเฟิงมีแผนการสำหรับตนเอง หากเดินทางตามลำพังจะทำให้คนอื่นมองเห็นสิ่งผิดปกติได้ยาก ทั้งยังสอดคล้องกับนิสัยรักสันโดษของ ‘จ้าวเฟิง’ คนเก่า

นี่เป็นอย่างแรก

อย่างที่สอง จ้าวเฟิงอยากจะลองดูว่าหลังจากเปลี่ยนร่างชุบชีวิตครั้งนี้ จะยังหลงเหลือกำลังรบเท่าไหร่

สัตว์อสูรอย่างพวกที่อยู่ในขั้นต่ำกว่าขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงทั่วๆ ไป จ้าวเฟิงยังไม่สนใจจะลงมือทำอะไร

แต่ทว่ายังคงมีสัตว์อสูรจำนวนเล็กน้อยที่เข้ามาโจมตีจ้าวเฟิง

แกรก! ตู้ม!

ต้นไม้ใหญ่หลายต้นในละแวกใกล้เคียง ถูกพลังมหาศาลบางอย่างพุ่งชนจนล้มลง

เห็นเพียงวัวปีศาจที่มีหางเพลิงสีแดงตรงดิ่งไปหาจ้าวเฟิง

“สัตว์อสูรที่เพิ่งถึงขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริง?”

จ้าวเฟิงไม่มองแม้แต่น้อย สะบัดมือข้างหนึ่ง ปราณที่แท้จริงสีแดงอ่อนลอยทะลักออกมา เกาะกลุ่มกลายเป็นคมมีดไฟด้ามหนึ่ง มีขนาดยาวหนึ่งถึงสองจั้ง

พลั่ก! ตุ้บ!

ร่างขนาดใหญ่โตของปีศาจวัวถูกมีดนั้นตัดขาด หัวใจก็ถูกสับ แล้วตายลงในที่สุด

หลังจากที่จัดการกับเจ้าวัวปีศาจเสร็จ จ้าวเฟิงมุ่งหน้าเข้าไปในส่วนลึกของป่าไร้เลือนรางอย่างใจเย็น

ว่ากันว่า ในส่วนลึกของป่าไร้เลือนราง มีกระทั่งสัตว์อสูรในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดที่ฉลาดปราดเปรื่องส่วนหนึ่งด้วย

เมื่อเงาของจ้าวเฟิงเพิ่งจะจากไปไม่นานนัก

สวบ สวบ สวบ!

เงาใส่หน้ากากหลายร่างเข้ามาใกล้อย่างรวดเร็ว

“พลังของวัวป่าอัคคีอยู่เหนือกว่าพวกระดับขั้นเดียวกัน ถูกโจมตีครั้งเดียวก็ถึงแก่ชีวิตได้”

ผู้เฒ่าที่เป็นผู้นำดวงตาเป็นประกายวิบวับ

“ด้วยร่างกายที่อาการบาดเจ็บเพิ่งจะมั่นคงของเด็กคนนั้น เหตุใดจึงทำเช่นนี้ได้?”

“ไม่มีกำลังรบของขั้นนายเหนือแท้ก็ยากที่จะทำได้”

ชายสวมหน้ากากสองสามคนถกกันเสียงเบา ยังตื่นตระหนกไม่หาย

เดิมทีพวกเขาสามารถกำจัดจ้าวเฟิงได้ แต่บาดแผลของเจ้าวัวป่าอัคคีกลับช่วยหนุนนำธาตุไฟ

“น่าจะมีอีกคนหนึ่งอยู่ และอย่างน้อยต้องเป็นนายเหนือแท้”

ผู้เฒ่าที่เป็นผู้นำกล่าวอย่างมั่นใจ

ส่วนชายสวมหน้ากากที่เหลือหลายคนมองอย่างขอความเห็น

“อย่างแรก คนที่ลงมือแทบจะไม่สนใจศพของ ‘วัวป่าอัคคี’ ลองคิดดู ถ้าหากเป็นจ้าวเฟิง ส่วนประกอบของร่างศพของวัวป่าอัคคีนี้มีจุดสำคัญคือเลือดหัวใจ ซึ่งสำหรับผู้ฝึกตนธาตุอัคคีแล้วมีประโยชน์มหาศาล…” ผู้เฒ่าเอ่ยยิ้มๆ

เมื่อเอ่ยจบ หลายคนก็เออออเห็นด้วย

จริงด้วย หากว่าเป็นจ้าวเฟิงแล้วล่ะก็ ย่อมต้องสนใจในซากศพของวัวป่าอัคคีตัวนี้อย่างแน่นอน

“ตาม!” เหล่าชายสวมหน้ากากไล่ตามจ้าวเฟิงจากร่องรอยที่เหลืออยู่ด้วยความรวดเร็ว

เวลาจิบชาครึ่งถ้วยผ่านไป

เงาของหนึ่งคนหนึ่งแมวก็สะท้อนขึ้นในครรลองสายตา

“ทางสะดวก ไป!”

ชายสวมหน้ากากทั้งหมดสี่ห้าคนนำโดยผู้เฒ่าคนนั้นบินตรงไปหาจ้าวเฟิง

จ้าวเฟิงหันกลับมาเหมือนว่าจะรู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่าง ที่น่าแปลกคือชายผู้นั้นยิ้มเหมือนไม่ยิ้มขณะจ้องชายสวมหน้ากากพวกนั้น

“รอยยิ้มนั่น…” ผู้เฒ่าตื่นตะลึง รู้สึกกระวนกระวายใจ

เด็กหนุ่มที่อยู่ตรงหน้านี้ ถึงแม้จะเหมือนกับ ‘จ้าวเฟิง’ ทุกกระเบียดนิ้ว แต่ความรู้สึกที่เขาสัมผัสได้กลับเป็นคนละคนกันอย่างสิ้นเชิง

“ฮ่าฮ่าฮ่า..ผู้เยาว์! คิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าจะหนังเหนียวขนาดนี้ น่าเสียดาย คงจะไม่โชคดีซ้ำอีก!”

ชายสวมหน้ากากหลายคนหัวเราะออกมาเสียงดัง

ก่อนหน้านี้พวกเขามั่นใจอย่างยิ่งว่าเด็กหนุ่มถูกพวกตนโจมจู่ฆ่าสังหารไปแล้ว

“พวกเจ้ารู้หรือว่าข้ายังไม่ตาย?” จ้าวเฟิงเผยสีหน้าประหลาด รอยยิ้มสว่างไสว แล้วสะบัดมือออกช้าๆ

วืด!

คมมีดเพลิงเกาะตัวรวมกันราวกับปลายแหลม จากนั้นแหวกอากาศไปพร้อมกับเสียงของสายอัสนีบาตแปลกประหลาดที่ดังตามมาด้วย

“ระวัง!” ผู้เฒ่าที่เป็นผู้นำในครั้งนี้หน้าเปลี่ยนสีไปอย่างมาก

แต่ทว่าจ้าวเฟิงลงมือรวดเร็วกว่ามาก ตำแหน่งของคนอีกหลายคนยังอยู่ตรงจุดเด็กหนุ่มที่ถูกสังหาร

“อ๊าก อ๊าก อ๊าก..!” เสียงร้องโหยหวนดังมา ชายสวมหน้ากากในขั้นมนุษย์แท้และขั้นผู้วิเศษแท้ทั้งสี่ต่างโดนฟันขาดเป็นสองท่อน ร่างกายถูกเผาไหม้

“เจ้า…เจ้าไม่ใช่จ้าวเฟิง!”

ผู้เฒ่าที่เป็นผู้นำตกใจจนพูดไม่ออก พลังและฝีมือเช่นนี้น่าจะต้องบรรลุขั้นนายเหนือแท้ไปแล้ว

จ้าวเฟิงคนนั้นย่อมไม่มีเสวียนอ้าวสำนึกรู้เช่นนี้แน่นอน

“บอกข้ามา พวกเจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้ายังไม่ตาย?” จ้าวเฟิงสาวเท้าเข้าไปหาผู้เฒ่าอย่างสบายๆ

ผู้เฒ่าเลิกลั่ก เอ่ยอย่างโกรธเกรี้ยวว่า “เจ้าเด็กนี่ ถึงพลังของเจ้าจะบรรลุถึงขั้นนายเหนือแท้ แต่อย่างมากก็แค่พอๆ กับข้าเท่านั้น”

สิ้นคำ ในมือของผู้เฒ่าปรากฎมีดหักๆ ที่เก่าแก่ขึ้นแล้วฟันฉับปานสายฟ้า เกิดสำนึกรู้พลังที่รุนแรงกลุ่มก้อนหนึ่ง ตาเนื้อสามารถมองเห็นเป็นระลอกคลื่นดาบดั่งเกล็ดสีทอง

ตู้ม โครม โครม!

ต้นไม้ใหญ่หลายต้นที่อยู่ในบริเวณถูกทำลายจนกลายเป็นเถ้าถ่านไปในพริบตา

“หืม? ที่แท้ผู้สูงศักดิ์กลับเคยใช้ชิ้นส่วนอาวุธชั้นพิภพ” จ้าวเฟิงรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย

เห็นได้ชัดว่า ชิ้นส่วนอาวุธชั้นพิภพชิ้นนี้เป็นไม้ตายและที่พึ่งสำคัญที่สุดของผู้เฒ่า

ผู้เฒ่ามีความรู้สึกว่าจ้าวเฟิงคนนี้ไม่ธรรมดาเลย ทำให้เขารู้สึกกระวนกระวายใจไม่หาย

“เหอะ!” จ้าวเฟิงหัวเราะเสียงเย็น แล้วจึงก้าวเท้าเดินขึ้นเบื้องหน้าเล็กน้อย

ทันใดนั้น พลังที่ไร้เทียมทานกลุ่มหนึ่งก็ทะลวงขึ้นบนฟ้า

“อ๊าก!”

มีดสั้นที่อยู่ในมือของผู้เฒ่าร่วงลงพื้นในทันที ก่อนจะกระอักเลือดออกมา

ใบหน้าของเขาซีดเผือด จิตวิญญาณได้รับบาดเจ็บสาหัส ถูกพลังที่ไร้รูปร่างกดตรึงไว้

ถึงแม้จ้าวเฟิงจะมีพละกำลังและพลังดวงวิญญาณที่ไม่ถึงหนึ่งในสิบส่วน แต่นั่นก็ไม่ใช่สิ่งที่คนในขั้นนายเหนือแท้จะต้านทานได้

“พลังของเจตจำนง?”

ผู้เฒ่ายากที่จะเชื่อ สำนึกรู้ของอีกฝ่ายอยู่ในระดับขั้นที่แม้แต่เขายังไม่อาจจะสอดส่องได้

พรึ่บ!

มือข้างหนึ่งโจมตีไปที่ส่วนศีรษะอย่างรุนแรง

“วิชาสืบวิญญาณ!”

ในดวงตาซ้ายของจ้าวเฟิงปรากฎลำแสงมายาสีม่วงที่มีหมอกเลือนรางหมุนวนไปมา

ชายชราใจสั่นสะท้าน เมื่ออยู่ต่อหน้าพลังดวงวิญญาณและอานุภาพที่แข็งแกร่งอย่างยิ่งของอีกฝ่าย เขาไม่มีแรงจะต้านทานได้เลย

“เป็นไปอย่างที่คิดไว้จริงๆ”

จ้าวเฟิงดึงมือกลับมาเมื่อได้รับคำตอบที่ตนเองต้องการแล้ว

เป็นไปตามที่เขาเดาเอาไว้ ‘ศิษย์พี่ก่วง’ ที่เป็นผู้นำกลุ่มในครั้งนี้มีปัญหา

การตายของจ้าวเฟิงในยามก่อนก็น่าจะเป็นเพราะศิษย์พี่ก่วงจงใจหาเรื่องเขา ทำให้เขาอยู่ตามลำพังและโดนลอบสังหาร

แถมในครั้งที่สองก็เป็นเพราะการติดต่อกันระหว่างศิษย์พี่ก่วงและผู้เฒ่าสกุลอิน

ผู้เฒ่าคนนี้เป็นคนของบ้านสกุลอินนี่เอง

“ก่วงเถียน”

จ้าวเฟิงทวนชื่อของ ‘ศิษย์พี่ก่วง’ ด้วยดวงตาที่เป็นประกาย

ในเมื่อเขาอาศัยร่างของจ้าวเฟิงถือกำเนิดใหม่ เช่นนั้นผู้ร้ายที่สังหารจ้าวเฟิงรวมไปถึงความปรารถนาของเด็กหนุ่ม เขาย่อมพยายามจัดการให้สำเร็จลุล่วงอย่างสุดความสามารถ

แต่ว่าศิษย์พี่ก่วงเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอด ท่านอาจารย์ของเขาเป็นราชันในขอบเขตปราณเทวะ

เท่าที่จ้าวเฟิงรู้ สำนักศักดิ์สิทธิ์วั่นในยุครุ่งเรืองเคยเป็นสำนักระดับสามดาวที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วดินแดน

ถึงในตอนนี้จะร่วงหล่นลงมาแล้ว แต่ว่าสำนักดังกล่าวก็ยังมีราชันสิบกว่าคนและจักรพรรดิจำนวนหนึ่งดูแลสำนักอยู่

ต่อให้เป็นสำนักสองดาวสามแห่งในดินแดนเกาะเทียนหลู ฝีมือก็อยู่คนละขั้นกับสำนักศักดิ์สิทธิ์วั่นอยู่ดี

สำนักศักดิ์สิทธิ์วั่นโดดเด่นในกลุ่มสำนักสองดาวระดับสุดยอด

“ก็ดี มีสำนักเช่นนี้ข้าจะเก็บเกี่ยวทรัพยากรได้มากยิ่งขึ้น และมีสภาพแวดล้อมที่ค่อนข้างดีในการฝึกตนใหม่” จ้าวเฟิงพยักหน้าเบาๆ

พรึ่บ!

ห้วงความคิดของจ้าวเฟิงขยับเล็กน้อย แล้วสวมแหวนเหล็กโบราณบนนิ้วมือ

“ทรัพยากรเหล่านี้พอให้ข้าบำเพ็ญถึงขั้นครึ่งก้าวสู่ราชันอีกครั้ง แต่ว่าคงไม่เพียงพอสำหรับการฝึกเหนือขั้นราชันขึ้นไป อีกทั้ง ‘กายสายฟ้าปฐพีทอง’ ถือว่าเป็นวิชาฝึกฝนร่าง สิ้นเปลืองทรัพยากรมาก ส่วน ‘วิชาอัสนีห้าสาย’ ก็ยิ่งต้องการทรัพยากรธาตุประเภทต่างๆ…”

จ้าวเฟิงคิดคำนวณแผนการในการบำเพ็ญใหม่อีกครั้งของตนเอง

พูดโดยรวมก็คือ ทั้งสถานภาพและสภาพแวดล้อมเช่นนี้ล้วนเหมาะสมกับการฝึกตนใหม่อีกครั้งของเขา

จ้าวเฟิงค่อยๆ เดินเข้าไปส่วนลึกของป่าไร้เลือนรางต่อไป

สัตว์อสูรที่จะพบต่อจากนี้ พลังของมันจะยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ

ที่แห่งนี้มักจะพบสัตว์อสูรในสามสวรรค์ของขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงบ่อยๆ ส่วนขั้นนายเหนือแท้ก็พอจะเจออยู่บ้างเช่นกัน

แต่สัตว์อสูรเหล่านี้ยังไม่ทันได้เข้าใกล้ก็ถูกจ้าวเฟิงและแมวขโมยตัวน้อยจัดการไปอย่างง่ายดาย

“ข้างกายข้ายังมีเจ้าแมวขโมยตัวน้อย ต่อให้เป็นราชันก็ยังพอจะปกป้องตัวเอง แต่ว่าเป้าหมายของข้าอยู่ในระดับขั้นที่สูงส่งกว่านั้น”

ใจจ้าวเฟิงแน่วแน่

เวลานี้ เขาพอจะมีความเข้าใจขั้นต้นในกำลังรบของตนเองหลังจากเปลี่ยนร่างถือกำเนิดใหม่

อย่างแรก ถึงแม้ว่าพลังวิญญาณมีไม่ถึงหนึ่งในสิบส่วนของในช่วงสุดยอด แต่ก็ยังแข็งแกร่งกว่าครึ่งก้าวสู่ราชันทั่วๆ ไป

อีกทั้งพลังดวงตาเทพเจ้าของเขาก็ยังคงดำรงอยู่ รวมไปถึงทะเลวิญญาณสีม่วงที่ดูดซับพลังอัสนีเทวะไปเจ็ดแปดร้อยเส้นสาย ก็ยังคงเป็นไม้ตายของจ้าวเฟิงอยู่

“รีบคุ้มกันท่านหญิงเอาไว้!”

“ช่างโชคร้ายจริง! คาดไม่ถึงว่าจะเจอกับ ‘วิหคนิลกาฬ’ ที่ลึกลับที่สุดในป่าไร้เลือนราง”

มีเสียงร้องโหวกเหวกดังมาจากด้านหน้า

จ้าวเฟิงชะงักฝีเท้าไปชั่วขณะเมื่อสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายที่แปลกประหลาด

แล้วจึงเห็นวิหคตัวยักษ์ที่เป็นดังเงาทะมึน ขนทั่วร่างของมันมีลักษณะกึ่งโปร่งแสง ผุดเพลิงชั้นหนึ่ง กำลังไล่ล่าตามชายสามหญิงหนึ่ง

นกยักษ์ที่มืดทมิฬ ร่างของมันเป็นเหมือนเงาทะลวงผ่านแนวต้นไม้ใบหญ้า รวดเร็วดังสายอัสนี

กลุ่มของชายสามหญิงหนึ่งที่ถูกไล่ล่า ชายทั้งสามล้วนอยู่ขอบเขตแก่นก่อกำเนิด และหนึ่งในนั้นอยู่ในขั้นยอดผู้สูงศักดิ์

ส่วนหญิงสาวอีกคนสวมชุดกระโปรงยาวสีม่วงที่สวยสดงดงาม อายุราวๆ สิบสี่สิบห้าปี แต่กลับมีวงหน้าสะสวย ขาวเนียนราวกระเบื้องเคลือบ มีกลิ่นอายของชนชั้นสูงแผ่กระจายออกมาน้อยๆ

สิ่งที่ทำให้จ้าวเฟิงตื่นตะลึงก็คือ ดรุณีที่อายุน้อยผู้นี้กลับมีพลังฝึกตนอยู่ในขั้นผู้วิเศษแท้ช่วงสุดยอด ห่างจากขั้นนายเหนือแท้แค่เพียงครึ่งก้าว

เดาได้เลยว่าดรุณีผู้นี้ไม่เพียงแต่มีคุณสมบัติที่งามพร้อม ทว่ายังถือกำเนิดจากตระกูลสูงศักดิ์ด้วย

สิ่งที่ทำให้จ้าวเฟิงประหลาดใจมากก็คือ ‘วิหคนิลกาฬ’ ที่ไล่ตามเบื้องหลัง มีพลังฝึกตนในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับต่ำเท่านั้น แต่กลับสามารถโจมตีกลุ่มของหนึ่งยอดผู้สูงศักดิ์และสองผู้สูงศักดิ์จนถอยร่นไม่เป็นกระบวน

วูบ วูบ วูบ~

ปีกของวิหคนิลกาฬตัวนั้นเหมือนเงาดำกึ่งโปร่งแสง ความเร็วสะเทือนเลือนลั่น ลมพายุมืดมิดตรงดิ่งมายังคนทั้งสาม

“การโจมตีดวงวิญญาณก็เป็นแขนงมรณะ…”

จ้าวเฟิงมองออกในทันที

พูดง่ายๆ เลยคือ วิหคนิลกาฬตัวนี้จัดอยู่ในแขนงเดียวกันกับจักรพรรดิแห่งความตาย

เมี้ยว เมี้ยว!

เจ้าแมวขโมยตัวน้อยโบกกรงเล็บไปมา ท่าทีผิดปกติเล็กน้อยขณะจ้องมองวิหคนิลกาฬตัวนั้น

จ้าวเฟิงสังเกตเห็นความผิดปกติในมรดกสายเลือดของวิหคนิลกาฬตัวนี้

พรึ่บ!

วิหคนิลกาฬเกรี้ยวโกรธในทันที พุ่งปะทะไปยังจ้าวเฟิงและเจ้าแมวขโมยตัวน้อย

“เจ้าแมวขโมย เจ้าคุยอะไรกับนกตัวนี้!”

จ้าวเฟิงสีหน้าตึงเครียด

วิหคนิลกาฬตัวนั้นมีกำลังรบของขั้นยอดผู้สูงศักดิ์ แล้วยังมีศาสตร์ที่พิเศษอย่างศาสตร์มรณะ

ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้น

จ้าวเฟิงก็ไม่รีรอแต่อย่างใด เรือนผมสีดำของเขาเปลี่ยนเป็นสีม่วงอ่อนในฉับพลัน

ในทันใดนั้น

เขาหันหลังให้กับกลุ่มคนของหญิงหนึ่งชายสามที่กำลังหนีตายอยู่ ดวงตาซ้ายสีม่วงจับจ้องยังร่างของ ‘วิหคนิลกาฬ’

ภาพแปลกประหลาดเกิดขึ้นทันใด

หลังจากที่วิหคนิลกาฬเข้าใกล้ตัวจ้าวเฟิง มันก็พลันแข็งทื่อ กฎเผยอาการดิ้นรนขัดขืนออกมา

“หืม!”

ชายสามหญิงหนึ่งที่หลบหนีอยู่พบว่าจู่ๆ วิหคนิลกาฬก็ไม่สนใจพวกเขา แต่กลับบินตามหนุ่มผู้หนึ่งไปแทน

เด็กหนุ่มผู้นั้นหันหลังให้กับพวกเขา เรือนผมสีม่วงส่องประกายชวนฝัน เสี้ยวหน้าพอเห็นได้ว่าองอาจหล่อเหลา

“เป็นไปได้อย่างไรกัน!”

ยอดฝีมือในขั้นผู้สูงศักดิ์ฉายสีหน้าประหลาดใจออกมา

เห็นเพียงวิหคนิลกาฬยักษ์ตัวนั้น หลังจากที่เข้าไปใกล้จ้าวเฟิง ปีกที่เป็นดั่งเงาก็ลดความเร็วลงจนกลายมาเป็นนกตัวน้อยในฝ่ามือของเขา

นกทมิฬน้อยตัวนี้และเจ้าแมวขโมยที่อยู่ข้างกายแบ่งกันยืนบนไหล่ซ้ายขวาของจ้าวเฟิง ดูกลมเกลียวกันอย่างยิ่ง

วิหคนิลกาฬที่โหดเหี้ยมน่ากลัวเมื่อครู่ ในตอนนี้ถูไถที่ลำคอของจ้าวเฟิงอย่างว่าง่าย

“คาดไม่ถึงว่าจะมีนักฝึกสัตว์ที่เก่งกาจเช่นนี้ที่ดินแดนเกาะใหญ่เทียนเฟิง วิหคนิลกาฬถือว่าเป็นสัตว์อสูรหายาก และอยู่ในแขนงดวงวิญญาณมรณะ แทบจะไม่สามารถฝึกได้”

วงหน้าสะคราญของดรุณีในชุดสีม่วงเต็มไปด้วยความประหลาดใจ

สิ่งที่ยากเกินจะเชื่อก็คือ นักฝึกสัตว์ผู้นั้นยังมีอายุน้อยเช่นนี้

นางอยากจะเห็นดวงหน้าของเด็กหนุ่มผมสีม่วงผู้นั้นให้ชัดเจนเต็มตา แต่ว่าก็ทำไม่สำเร็จ

ขณะคนหลายคนกำลังคิดจะเข้าไปพูดคุยเจรจา

พรึ่บ!

วิหคนิลกาฬตัวนั้นขยายออกกลายเป็นวิหคยักษ์ขนาดยี่สิบจั้งในทันใด มันโบกสะบัดปีกนำจ้าวเฟิงและเจ้าแมวขโมยตัวน้อยบินผ่านป่าไร้เลือนราง แล้วทะยานขึ้นไปบนฟ้า

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!