บทที่ 766 วิชาวายุอัสนีห้าสาย
ชายสามหญิงหนึ่งมองจ้าวเฟิงที่นั่ง ‘วิหคนิลกาฬ’ บินผ่านไปจนลับสายตา แต่ว่าความสงสัยบนใบหน้าก็ยังไม่จางหายไป
ความเร็วในการโบยบินของวิหคนิลกาฬ ทำให้นำหน้าคนทั้งสามไปจนไม่เห็นฝุ่น
“นักฝึกสัตว์ที่ทั้งอายุน้อยและมีฝีมือสูงส่งเช่นนี้ เสียดายที่ยังไม่ทันได้ทำความรู้จัก…”
ดรุณีน้อยผู้งดงามมองไปยังทิศทางที่วิหคนิลกาฬโบยบินจากไป สีหน้าของนางมีความเสียดาย
ผู้ที่สามารถควบคุมวิหคนิลกาฬที่อยู่ในแขนงวิญญาณมรณะได้อย่างสบายเช่นนี้ ทั่วทั้งดินแดนเกาะเทียนเฟิง เกรงว่าจะหาได้ไม่กี่คน
ยิ่งไปกว่านั้น นักฝึกสัตว์ผู้นั้นยังเยาว์วัยและหล่อเหลาเช่นนี้
“ท่านหญิงวางใจเถิด” ยอดผู้สูงศักดิ์ในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูงที่เป็นผู้นำยิ้มแย้มเล็กน้อย “ด้วยความสามารถที่โดดเด่นของเด็กหนุ่มผู้นั้น เพียงแค่เขายังอยู่ที่ดินแดนเกาะเทียนเฟิง เชื่อว่าในวันหน้าจะต้องมีโอกาสได้พบเขาอีก”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น คนหลายคนต่างผงกศีรษะแสดงความเห็นด้วย
ทองไม่ว่าจะเร็วหรือช้าก็เปล่งแสงอยู่ดี ยอดฝีมือที่มีอายุน้อยเช่นนี้ย่อมต้องมีชื่อเสียงลือกระฉ่อนไปทั่วดินแดนเกาะแน่
ในเวลาเดียวกันนั้นเอง
ในละแวกใกล้เคียงที่มีระยะไม่เกินสิบลี้ของชายสามหญิงหนึ่ง มีองครักษ์ลึกลับที่แฝงตัวอยู่ประหนึ่งเงา
กลิ่นอายพลังฝึกตนของทั้งสองล้วนแต่แตะไปถึงขั้นครึ่งก้าวสู่ราชัน
“แปลกประหลาดเสียจริง เด็กผู้นั้นอยู่ในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงชัดๆ แต่กลับสาดซัดคลื่นดวงวิญญาณที่ซับซ้อนลึกล้ำออกมา แล้วยังสามารถกำราบ ‘วิหคนิลกาฬ’ ได้อย่างสบายๆ”
หนึ่งในองครักษ์เดาะลิ้นอย่างแปลกใจ
“ภารกิจของพวกเราคือคอยแอบปกป้องท่านหญิงอย่างลับๆ เราไม่จำเป็นต้องใส่ใจอะไรกับความประหลาดของเด็กนี่” องครักษ์อีกคนเอ่ยอย่างไร้ความรู้สึกใดๆ
ในก้อนเมฆ
จ้าวเฟิงและเจ้าแมวขโมยตัวน้อยนั่ง ‘วิหคนิลกาฬ’ บินอยู่เหนือป่าไร้เลือนรางเป็นระยะทางหลายพันลี้
“ความเร็วของวิหคนิลกาฬตัวนี้ไม่เลวนัก ถ้าหากไม่ใช่เพราะว่าในดวงวิญญาณของข้ามีพลังอัสนีเทวะ ก็คงไม่อาจควบคุมวิหคตัวนี้ได้แน่” จ้าวเฟิงอดจะยินดีไม่ได้
ต้องรู้ว่า ‘มรดกวายุอัสนี’ ที่เขาฝึกในช่วงชีวิตก่อนมีชื่อเสียงโด่งดังด้านความเร็วเป็นอันดับหนึ่งในขั้นจักรพรรดิ
ได้รับคำชมจากจ้าวเฟิงว่า ‘ไม่เลว’ ก็เห็นถึงความเร็วของวิหคนิลกาฬตัวนี้ได้
แน่นอนว่าถึงแม้ว่านกตัวดังกล่าวจะว่องไว แต่ว่าก็ยังมีจุดด้อยอยู่เช่นกัน นั่นคือความสามาถในการแบกรับน้ำหนักที่ยังด้อยกว่าวิหคประเภทอื่นๆ
เพราะว่าร่าง ‘วิหคนิลกาฬ’ มีเพียงส่วนหนึ่งเป็นรูปธรรม ส่วนอีกส่วนหนึ่งอยู่ในสภาวะเพลิงวิญญาณ จึงทำให้มีน้ำหนักไม่มาก
และด้วยเหตุนี้วิหคนิลกาฬจึงสามารถหดเล็ก ขยายใหญ่ หรือจะพรางกายก็ย่อมได้
สำหรับจ้าวเฟิงในตอนนี้แล้ว นกตัวนี้เป็นพาหนะที่ไม่เลวนัก ในเวลาเดียวกันยังเป็นลูกน้องเขาได้ด้วย
วิหคนิลกาฬอยู่ในแขนงวิญญาณมรณะที่หาได้ยากยิ่ง บวกกับมีความเร็วที่เหนือใคร มิน่าล่ะจึงทำให้จ้าวเฟิงไม่หวั่นเกรงในอันตราย และทุ่มเทจับวิหคตัวนี้มาเป็นพวก
ในขณะที่จับวิหคนิลกาฬมาเป็นพวก จ้าวเฟิงเองก็สัมผัสได้ถึงครึ่งก้าวสู่ราชันสองคนที่อยู่ใกล้เคียง
ดังนั้นในยามที่เขาลงมือจึงพยายามเก็บกักกลิ่นอายของตนเอาไว้อย่างสุดความสามารถ
“ก่อนจะกลับไปที่สำนักศักดิ์สิทธิ์วั่น ต้องจัดแจงทำภารกิจของสำนักให้สำเร็จก่อน” จ้าวเฟิงนึกถึงเรื่องหนึ่งออก
ในครั้งนี้ กลุ่มลูกศิษย์คนสำคัญที่มีจ้าวเฟิงเป็นหนึ่งในนั้นรวมกลุ่มกันเพื่อทำภารกิจนอกสำนัก
ในภารกิจนั้นจะต้องรวบรวมชิ้นส่วนต่างๆ ของสัตว์อสูรหลายประเภทมาให้ได้ภายในเวลาที่กำหนด
พลังของสัตว์อสูรไม่กี่ประเภทนี้สูงส่งอย่างยิ่ง คนในขั้นมนุษย์แท้คนสองคนก็ยากที่จะทำภารกิจนี้ให้สำเร็จ
ครึ่งวันต่อมา จ้าวเฟิงทำภารกิจสำเร็จได้อย่างสบายๆ แล้วจึงนั่ง ‘วิหคนิลกาฬ’ กลับไปยังสำนัก
ในครรลองสายตา
ปรากฏทิวเขาสูงตระหง่าน มีเมฆขาวลอยละล่องไปมา ตั้งอยู่ท่ามกลางชั้นแสงสีทองอ่อน สะท้อนกับรัศมีเจิดจ้าร้อนแรงของวิหคทองบรรพกาล
สวบ สวบ!
บริเวณอากาศเหนือเมฆหมอกบนบริเวณทิวเขาดังกล่าว บางทีก็มีเงาแสงต่างๆ แหวกอากาศมา เป็นพาหนะสัตว์วิเศษประเภทต่างๆ ที่มีอยู่ดาษดื่น
ภายในดินแดน ยอดฝีมือในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดช่วงสุดยอดปรากฏตัวอยู่เป็นครั้งคราวเหนือบริเวณของสำนักศักดิ์สิทธิ์วั่น ไม่นับว่าหายากอะไรมากมายนัก
“เอ๋!”
‘วิหคนิลกาฬ’ ของจ้าวเฟิงดึงดูดความสนใจของคนระดับสูงส่วนหนึ่งภายในสำนัก
วิหคนิลกาฬประเภทนี้นับว่าเป็นสิ่งหายาก ถึงจะเป็นยอดผู้สูงศักดิ์ในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูงไปจนถึงขั้นครึ่งก้าวสู่ราชันก็ยังถือว่ายากจะได้มาครอบครอง
นอกจากนี้ วิหคนิลกาฬก็ยังเติบโตยากกว่าสัตว์วิเศษจำพวกสัตว์ปีกประเภทอื่นๆ อีกด้วย
กลางอากาศ แววตาลุกโชนของยอดฝีมือในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดส่วนหนึ่งมองไปยังวิหคนิลกาฬของจ้าวเฟิง
แต่จ้าวเฟิงกลับไม่สะทกสะท้านแต่อย่างใด
เขาสังกัดในสำนัก จึงไม่เชื่อว่าจะมีใครกล้าแย่งพาหนะของเขา
จ้าวเฟิงใช้สถานะของร่างกายใหม่เพื่อฝึกตนอีกครั้ง และไม่ได้มีแผนที่จะถ่อมตนแต่อย่างใด
จะต้องเล่นใหญ่สักหน่อย เพื่อที่ยามอยู่ในสำนักวั่นจะได้รับอภิสิทธิ์พิเศษและทรัพยากรมากยิ่งขึ้น
ภายในตำหนักขนาดใหญ่ ณ สำนักศักดิ์สิทธิ์วั่น
ลูกศิษย์ภายในสำนักส่วนหนึ่งกำลังต่อแถวเพื่อรายงานภารกิจ
“ศิษย์น้องจ้าว?”
น้ำเสียงตกใจหลายเสียงดังออกมาจากมุมหนึ่งของตำหนัก
เจ้าของน้ำเสียงเป็นกลุ่มของศิษย์พี่ก่วงและศิษย์พี่หญิงวั่น
เมื่อได้ยินเสียงเรียก จ้าวเฟิงจึงสาวเท้าไปอย่างเรื่อยเฉื่อย
ด้วยเพราะภารกิจของสำนักจะรับผิดชอบร่วมกันโดยกลุ่มเล็กๆ และแต่ละคนล้วนแต่มีส่วนแบ่งแน่ชัด
ศิษย์พี่ก่วงมองเห็นจ้าวเฟิงเดินทางกลับมาอย่างปลอดภัย ในดวงตาก็ฉายแววประหลาด
“ศิษย์น้องจ้าว!”
ศิษย์พี่ก่วงรีบกลบเกลื่อนอารมณ์ของตนเองอย่างรวดเร็ว แล้วจึงเอ่ยเรียบๆ ว่า “เป็นเพราะเจ้าตั้งใจจะเดินทางเพียงลำพัง แยกตัวออกจากกลุ่ม ดังนั้นการรายงานภารกิจในครั้งนี้จึงไม่มีส่วนของเจ้า”
ตามสถานการณ์ปกติแล้ว เพียงแค่จ้าวเฟิงเดินทางไปกับกลุ่ม ทำงานให้ลุล่วงไปพร้อมๆ กันก็จะมีผลงาน
แต่ทว่า เขาเดินทางออกจากกลุ่มในฉับพลัน ทำให้หัวหน้ากลุ่มมีสิทธิ์ยกเลิกส่วนแบ่งของเขา
ในความเป็นจริง จ้าวเฟิงคนก่อนเองก็ไม่เคยทำอะไรในภารกิจของกลุ่ม จึงไม่นับว่าไม่เป็นธรรมแต่อย่างใด
“สำหรับเรื่องนี้ ข้าจะรายงานแก่ใต้เท้าผู้คุ้มกฎเอง” ศิษย์พี่ก่วงยิ้มแย้มเล็กน้อย
ยามนี้เป็นเวลาที่กลุ่มของศิษย์พี่ก่วงต้องรายงานภารกิจพอดี จ้าวเฟิงก็เดินเข้าไปด้วย
ภายในตำหนักแยกแห่งหนึ่ง
กลุ่มของศิษย์พี่ก่วงเริ่มรายงานภารกิจ
ผู้ที่รับผิดชอบในการซักถามภารกิจเป็นผู้เฒ่าท่าทางกระฉับกระเฉง พลังฝึกตนอยู่ในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับต่ำช่วงปลาย
“ผู้คุ้มกฎฝาน พวกนี้เป็นรายละเอียดของกลุ่มพวกเรา แต่ว่าจ้าวเฟิงผู้เป็นหนึ่งในสมาชิกได้ออกจากกลุ่มไปก่อน…”
ศิษย์พี่ก่วงเอ่ยอย่างขึงขังหนักแน่น
“ฮึ! ลูกศิษย์ที่ไม่ใส่ใจพวกพ้อง ตามใจตนเป็นหลัก ข้าเห็นมามากเหลือเกิน จะต้องลงโทษอย่างหนักเสียแล้ว!” สีหน้าของผู้คุ้มกฎฝานตึงเครียด
ศิษย์พี่ก่วงเป็นลูกศิษย์ของราชันผู้หนึ่ง ผู้คุ้มกฎฝานย่อมต้องไว้หน้าอยู่แล้ว
“เจ้าก็คือจ้าวเฟิง? ผลงานของเจ้าในภารกิจครั้งนี้ล่ะ?”
แววตาของผู้คุ้มกฎฝานหยุดลงบนร่างของจ้าวเฟิง
ผู้คุ้มกฎฝานพอจะจำเรื่องราวของ ‘จ้าวเฟิง’ ได้ ในการสอบเข้าสำนักเขาค่อนข้างจะโดดเด่น
เพียงแต่มีพรสวรรค์กายจิตวิญญาณดินบริสุทธิ์ ในราชวงศ์ของทวีปไม่นับว่าโดดเด่นอะไรเป็นพิเศษ
ด้วยเพราะความสำเร็จของคนคนหนึ่ง นอกจากพรสวรรค์แล้วยังต้องมีสติปัญญา แรงเจตจำนง และความขยันขันแข็งเป็นต้น
หากจะมีพรสวรรค์เพียงด้านเดียว ต้องเทียบเท่ากับกายจิตวิญญาณฟ้าของหนานกงเซิ่ง
กล่าวโดยสรุปคือ ถ้าหากว่าในอีกปีสองปีข้างหน้าจ้าวเฟิงมีศักยภาพโดดเด่น ย่อมมีหวังที่จะเข้าเป็นลูกศิษย์ของราชันได้
พรึ่บ!
ใบหน้าของจ้าวเฟิงไร้ความรู้สึก โบกมือเพียงครั้งเดียว ทรัพยากรชิ้นส่วนสัตว์อสูรกองหนึ่งวางเรียงเบื้องหน้าเป็นระยะทางหลายจั้ง
อะไรกัน!
คนที่อยู่ในที่ดังกล่าวจ้องมองไปที่ทรัพยากรกองนั้นเขม็ง
ชิ้นส่วนของสัตว์อสูรเหล่านั้นเป็นทรัพยากรที่ต้องการในภารกิจทั้งสิ้น
“…มากกว่าสองเท่า ภารกิจสำเร็จ นี่เจ้าทำคนเดียวหรอกหรือ?”
ผู้คุ้มกฎฝานเสียสมาธิไปเล็กน้อย
พูดได้ว่าจ้าวเฟิงเพียงคนเดียวสามารถบรรลุเงื่อนไขเป็นสองเท่าของภารกิจกลุ่ม
ไม่เพียงเท่านั้น ทรัพยากรที่จ้าวเฟิงได้รับมาทั้งหมดมีสภาพสมบูรณ์มาก คุณภาพก็ดีเยี่ยม เกินเลยเงื่อนไขของภารกิจ
ผู้คุ้มกฎฝานตรวจตราภารกิจอย่างละเอียดถี่ถ้วน สมบูรณ์แบบอย่างยิ่ง
“เขาเพียงคนเดียว จะเป็นไปได้อย่างไร ?”
บนใบหน้าของศิษย์พี่ก่วงและคนอื่นๆ เต็มไปด้วยความฉงนระคนตกใจ
ศิษย์พี่วั่นผู้สุขุมนุ่มนวลมีคลื่นจางๆ พาดผ่านดวงตา ยากที่จะกลบเกลื่อนความตกใจได้
ก่อนจะจากไป
กลิ่นอายยิ่งใหญ่ลึกลับที่สาดซัดออกมาจากเบื้องหลังของจ้าวเฟิงผุดขึ้นในหัวนาง
“ใต้เท้าผู้คุมกฎ ภารกิจในส่วนของข้าผ่านหรือไม่?”
จ้าวเฟิงเอ่ยคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม
“เจ้าเพียงคนเดียวทำภารกิจสำเร็จเป็นสองเท่าของกลุ่ม อีกทั้งยังทำได้อย่างดีเยี่ยมอีกด้วย ย่อมผ่านอยู่แล้ว”
ผู้คุ้มกฎฝานกลับมาสำรวม
ภารกิจของสำนักไม่ได้มีเงื่อนไขตายตัวกับวิธีการทำให้สำเร็จลุล่วง
ต่อให้ใช้ผลึกเริ่มต้นไปจับจ่ายซื้อทรัพยากรที่กำหนดในภารกิจก็ย่อมได้
“จ้าวเฟิงผู้นี้ต้องใช้เงินจ้างคนไปเอาทรัพยากรมาแน่ อย่างไรเจ้าเด็กนี่ยังมีตระกูลที่แข็งแกร่งคอยหนุนหลังอยู่”
พวกของศิษย์พี่ก่วงแลกเปลี่ยนสายตากันไปมา
หลังจากทำภารกิจลุล่วงไปแล้ว ทุกคนจึงได้รับรางวัลกันโดยถ้วนหน้า
รางวัลของภารกิจเป็นคะแนนสะสมในการอุทิศตนเพื่อสำนัก สามารถใช้ซื้อวิชาหรือไม่ก็ได้รับอภิสิทธิ์บางอย่างภายในสำนัก
จุดประสงค์จริงๆ ของภารกิจสำนักคือ คนในระดับสูงกระจายงานงานยุ่งยากวุ่นวายให้กับลูกศิษย์ภายในสำนัก
อย่างเช่น ระดับสูงคนใดของสำนักต้องการทรัพยากรระดับต่ำส่วนหนึ่งในการหลอมโอสถ แต่ว่าตนเองไม่ว่าง จึงมอบภารกิจให้ลูกศิษย์ของตนไปจัดการ
หรือหากเกิดเหตุการณ์ความไม่สงบภายในอาณาเขตอำนาจของสำนัก ก็จะให้ลูกศิษย์ไปจัดการ
ในโลกของสำนัก ลูกศิษย์ระดับต่ำส่วนมากล้วนมีชีวิตเป็นลูกมือ
“คะแนนสะสมสองพัน ผลึกเริ่มต้นแปดพันชิ้น…”
จ้าวเฟิงตรวจดูรางวัลของตนเอง
รางวัลในการทำภารกิจของเขามีมากกว่าของพวกศิษย์พี่ก่วงรวมกันเสียอีก
ถึงอย่างไรทรัพยากรของภารกิจนี้ก็ไม่ได้จำกัดปริมาณในตอนนี้ ด้วยมีความต้องการจะใช้เป็นจำนวนมาก
เขาเดินออกจากห้องโถงใหญ่
“จ้าวเฟิง ภารกิจในครั้งนี้ต้องการทรัพยากร เจ้าสามารถซื้อหาได้ แต่ว่าภารกิจในครั้งหน้าต้องรบทัพจับศึก ข้าจะคอยดูว่าเจ้าจะตลบตะแลงอย่างไรอีก”
ศิษย์พี่ก่วงลอบยิ้มเย็นในใจ
แต่ภายนอกเขาและจ้าวเฟิงก็ยังคงรักษาความเป็นมิตร ยิ้มแย้มต่อกัน
“ศิษย์พี่ก่วง ท่านรู้จักกับคนบ้านสกุลอินได้อย่างไร?” จ้าวเฟิงเอ่ยถามเสียงเย็น
“คนบ้านสกุลอิน…เจ้าหมายถึงอะไร? ประหลาดเสียจริง!”
ในดวงตาของศิษย์พี่ก่วงมีแววลนลานเล็กน้อย แล้วจึงทำทีเอ่ยอย่างขึงขัง
ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด เมื่อโดนมองจากสายตาแหลมคมของจ้าวเฟิง เขารู้สึกร้อนตัวอยู่บ้าง
จ้าวเฟิงไม่ได้ใส่ใจเขา โบกมือขึ้น แล้วเบื้องหน้าก็ปรากฎวิหคเพลิงที่เป็นดั่งเงามืดขนาดใหญ่
สวบ!
วิหคนิลกาฬพาร่างของจ้าวเฟิงโบยบินขึ้นไปบนฟากฟ้า ทิ้งไว้เพียงลูกศิษย์ของสำนักที่ตื่นตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างยิ่ง
“สวรรค์! ไม่นึกเลยว่าเขาจะครอบครอง ‘วิหคนิลกาฬ’ ที่ล้ำค่าอย่างยิ่ง”
“วิหคตัวนั้นไม่ได้ฝึกยากอย่างมากหรอกหรือ?”
ลูกศิษย์ที่อยู่ในเหตุการณ์ถกเถียงกันอื้ออึง
ส่วนพวกของศิษย์พี่ก่วงต่างมองกันตาค้าง
“หรือว่านี่คือสิ่งที่ตระกูลของจ้าวเฟิงให้ความช่วยเหลือเช่นกัน?”
‘วิหคนิลกาฬ’ สยายปีกโบยบิน พาจ้าวเฟิงจากไปอย่างรวดเร็วเกินจะเปรียบ จนทำให้คนพวกนั้นพูดไม่ออก
จ้าวเฟิงนั่งบนวิหคนิลกาฬ จึงเดินทางมาถึงที่พักอย่างรวดเร็ว
ในฐานะที่เป็นลูกศิษย์คนสำคัญ เขาจึงมีเรือนในเขตที่พักส่วนตัวของตนเอง ไม่ได้โดดเด่นสะดุดตาอะไรภายในเขากว้างใหญ่อย่างสำนักศักดิ์สิทธิ์วั่น
ต่อจากนั้น
จ้าวเฟิงจึงตั้งค่ายกลปกป้องภายในเขตเรือนพักอาศัย เป็นสัญลักษณ์ว่าจะทุ่มเทเข้าฌาน
สำนักศักดิ์สิทธิ์วั่นที่อยู่ในระดับสามดาวในยามก่อน เส้นสนกลในภายในสำนักย่อมไม่ธรรมดา โครงสร้างของสำนักส่วนหนึ่งสมบูรณ์แบบมาก
จ้าวเฟิงนั่งขัดสมาธิภายในห้อง
ในหัวปรากฎวิชาศักดิ์สิทธิ์ชั้นยอดในฟ้าดินทั้งสองชุด คือ ‘กายสายฟ้าปฐพีทอง’ และ ‘วิชาวายุอัสนีห้าสาย’
“วิชาทั้งสองชุดนี้ต้องฝึกคู่กัน ถ้าหากว่าต้องการฝึกให้กลายเป็นกายอัสนีศักดิ์สิทธิ์ จะต้องใช้วิชาหมื่นอัสนีห้าสายฝึกร่าง”
จ้าวเฟิงเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งว่าเขาจำเป็นต้องฝึก ‘วิชาวายุอัสนีห้าสาย’ ก่อน วิชาดังกล่าวเกิดขึ้นมาจาก ‘มรดกวายุอัสนี’ และ ‘วิชาหมื่นอัสนีห้าสาย’ หลอมรวมกันจนเพิ่มระดับขึ้น
“ ‘วิชาวายุอัสนีห้าสาย’ แบ่งได้เป็นสิบสองขั้น สามารถฝึกฝนไปจนถึงขั้นขอบเขตเซียนสวรรค์
สามขั้นแรกเป็นพื้นฐานของวายุอัสนี จะสร้างโครงร่างของวายุอัสนีขึ้นมา ตั้งแต่ขั้นที่สี่จึงเริ่มฝึกฝนศาสตร์ทอง ไม้ น้ำ ไฟ และดิน ซึ่งเป็นวายุอัสนีทั้งห้าธาตุ ในขั้นที่สิบจึงจะฝึกหมื่นอัสนีห้าสายติดต่อกัน…”
จิตใจของจ้าวเฟิงดำดิ่งลงไปภายในนั้น