บทที่ 774 จดหมาย
ช่วงเวลาที่จ้าวเฟิงทะลวงผ่านขั้นนายเหนือแท้ เป็นระยะเวลาสี่เดือนกว่าก่อนที่ ‘มิติเทพลวงตา’ จะเปิดออก
“เวลาเพียงพออย่างยิ่ง แต่ในตอนนี้จะต้องจัดวางรากฐานของแหล่งกำเนิด ‘วายุอัสนีธาตุน้ำ’ ในขั้นที่สี่ ยังต้องการทรัพยากรธาตุน้ำที่สอดคล้องกันส่วนหนึ่งด้วย”
จ้าวเฟิงไม่ได้รีบร้อนอะไรมากนัก
ดูจากสถานการณ์ในตอนนี้ แผนการถือกำเนิดใหม่ของเขามั่นคงและรวดเร็วกว่าที่คิดไว้เล็กน้อย
‘วิชาวายุอัสนีห้าสาย’ ในขั้นที่สี่เป็นจุดพลิกผันที่สำคัญอย่างยิ่ง จ้าวเฟิงจึงไม่กล้าที่จะชักช้า
ทรัพยากรแขนงวารีในมือของเขามีจำนวนไม่มากนัก
ตั้งแต่ขั้นที่สี่ถึงขั้นที่หก ล้วนแต่เป็นจะเป็นรากฐานของ ‘วายุอัสนีธาตุน้ำ’ สามารถฝึกตนไปจนถึงก่อนขั้น ‘ครึ่งก้าวสู่ราชัน’ จากจุดนี้ทำให้คิดได้เลยว่าต้องการทรัพยากรล้ำค่าในศาสตร์อัสนีและแขนงวารีมากมายขนาดไหน
ภายในเรือนพัก
จ้าวเฟิงลองใช้โครงสร้างของ ‘วายุอัสนีธาตุน้ำ’ บางครั้งก็ปรากฏระลอกสายน้ำสีฟ้าทั่วร่างกายและยังมีเสียงกึกก้องโครมครามของวายุอัสนีดังขึ้นด้วย
ในสามขั้นแรก เขาได้สร้างส่วนประกอบและโครงสร้างของวายุอัสนีจนสำเร็จแล้ว
ตั้งแต่ขั้นที่สี่ก็เริ่มก้าวเข้าสู่แก่นของวายุอัสนีห้าสาย วายุอัสนีห้าสายอันดับแรก จะฝึกฝนหลอมรวมเสวียนอ้าวสายน้ำ ถือว่าจ้าวเฟิงทำได้เรียบร้อยราบรื่น
ความจริงภายในร่างของจ้าวเฟิงมีสายเลือดธาตุน้ำเกิดขึ้นหลายเส้นสายแล้ว ซึ่งยังเป็นผลพลอยได้จากดวงตาเทพเจ้า
ใจกลางของทะเลวิญญาณสีม่วง ทะเลสาบสีฟ้าก็ยังคงเป็นดังเก่า ใจกลางของทะเลสาบนั้นมีน้ำวนลึกลับไร้รูปร่างซึ่งเชื่อมโยงกับ ‘ห้วงฝันบรรพกาล’
จ้าวเฟิงมีแผนว่า รอเวลาผ่านไปอีกสักพักค่อยเข้าไปในห้วงฝันบรรพกาล
หลายวันต่อมา
จ้าวเฟิงสิ้นเปลืองทรัพยากรล้ำค่าแขนงวารีส่วนหนึ่ง ในแหล่งกำเนิดจิตวิญญาณมี ‘วายุอัสนีสีฟ้า’ ที่เป็นดังระลอกสายน้ำหลายเส้นสาย
พลังวายุอัสนียังคงรุนแรงเหมือนเก่า แต่กลับมีความสามารถพิเศษต่างๆ และการเปลี่ยนแปลงของธาตุน้ำ
แต่ในเวลาดังกล่าว
แหล่งกำเนิดจิตวิญญาณของจ้าวเฟิงมีเพียงหนึ่งในห้าส่วนเท่านั้นที่เปลี่ยนเป็น ‘วายุอัสนีธาตุน้ำ’
ผัวะ~ แซ่ด แซ่ด!
จ้าวเฟิงใช้ ‘วายุอัสนีธาตุน้ำ’ ฝึกร่างกาย สุดท้ายจึงค้นพบว่าวายุอัสนีธาตุน้ำส่งผลในการหล่อเลี้ยงอวัยวะภายในและร่างกาย
ร่างกายของเขาจึงไม่แข็งทื่ออีกต่อไป แล้วยังทรหดมากยิ่งขึ้นด้วย
“ ‘วิชาวายุอัสนีห้าสาย’ นี้และ ‘กายสายฟ้าปฐพีทอง’ ช่างสอดประสานกันดีอย่างยิ่ง”
จ้าวเฟิงอดจะชื่นชมไม่ได้
รอให้เขาสร้างร่างกายจากการฝึกฝนวายุอัสนีห้าสายทั้งหมด ถึงเวลานั้น กายเนื้อของเขาก็จะสามารถการต่อต้านพลังโจมตีประเภทต่างๆ และธาตุทั้งห้าในฟ้าดินได้อย่างดีเยี่ยม
กายอัสนีศักดิ์สิทธิ์เช่นนี้ย่อมต้องสมบูรณ์แบบยิ่งขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย
“เฮอะเฮอะ ครึ่งเซียนคุนอวิ๋น เกรงว่าเจ้าคงคิดไม่ถึงว่าจะมีวันนี้…” จ้าวเฟิงหัวเราะเบาๆ
ระดับขั้นครึ่งเซียน ถึงจะอยู่ในราชวงศ์แห่งดินแดนทวีปก็เป็นบุคคลเหนือธรรมดาที่สูงส่งเทียมฟ้า
กลอุบายของครึ่งเซียนคุนอวิ๋นในอดีต กลับกลายเป็นว่าทำให้จ้าวเฟิงสมหวัง
“เสียดายก็เพียงไม่มีโอกาสเข้าไปใน ‘เมืองของเผ่าพันธุ์ความลับสวรรค์’ อีกแล้ว…” จ้าวเฟิงเอ่ยพึมพำ
หลังจากผ่านการเปลี่ยนร่างถือกำเนิดใหม่ครั้งหนึ่ง
ชีวิตของเขาก็มีขึ้นมีลง มีได้มีเสีย ได้รับความเชิดชูและถูกเหยียดหยาม
ในโลกใบนี้ ไม่ว่ายอดฝีมือในระดับสุดยอดคนใดล้วนแต่ไม่มีทางจะราบรื่นไปเสียหมด หนทางของชีวิตย่อมต้องมีขึ้นลง
ในวันนี้ จ้าวเฟิงออกจากการปิดผนึกฝึกตน พลังฝึกตนของเขาแตะถึงขั้นนายเหนือแท้ระดับต่ำ
“จัดการทำภารกิจของสำนักในหนึ่งปีนี้ให้เรียบร้อยก่อน จะได้ถือโอกาสหาทรัพยากรในแขนงวารีมาด้วย”
จ้าวเฟิงเก็บป้ายปิดผนึกฝึกตน แล้วจึงเดินทางออกจากเรือน
เขาเพิ่งจะเดินออกมา ศิษย์สายนอกคนหนึ่งที่อยู่แถวนั้นกระซิบกระซาบ
“เร็วเข้า! เจ้าเด็กคนนั้นออกมาแล้ว”
ศิษย์สายนอกหลายคนจับจ้องทุกอากัปกิริยาของจ้าวเฟิง ในมือยังกำป้ายส่งข่าวเอาไว้ ศิษย์พี่ก่วงที่พักอยู่ใกล้เคียงมาถึงอย่างรวดเร็ว
“เป็นไปได้อย่างไร…พลังฝึกตนในขั้นนายเหนือแท้…”
ศิษย์พี่ก่วงที่อยู่ไกลๆ สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายบนร่างจ้าวเฟิงที่เปลี่ยนไป
นี่มันเพิ่งกี่เดือนเอง?
เจ้าเด็กคนที่อยู่ในขั้นมนุษย์แท้คนนั้น กระโดดข้ามสองขั้น จนพลังฝึกตนถึงขั้นนายเหนือแท้
ทันใดนั้น ศิษย์พี่ก่วงคว้าเอาป้ายส่งข่าวแผ่นหนึ่งออกมา เตรียมที่จะแจ้งข่าวต่อ ‘ลั่วจุน’
ป้ายส่งข่าวใบนี้เป็นสิ่งที่ลั่วจุนทิ้งเอาไว้ให้เขาก่อนจะจากไป
แต่ทว่าศิษย์พี่ก่วงเพิ่งจะหยิบมันออกมา ในมือก็ว่างเปล่า ไม่รู้ว่าป้ายตราแผ่นนั้นหายไปไหน
“ป้ายส่งข่าวของข้า!” ศิษย์พี่ก่วงร้องเสียงหลง
เมี้ยว เมี้ยว!
เจ้าแมวขโมยตัวสีเทาเงินคว้าป้ายส่งข่าวของศิษย์พี่ก่วงแล้วหายวับไปในทันที
ในขณะเดียวกันนั้นเอง
“เจ้าแมวขโมยตัวน้อย ทำดีมาก”
จ้าวเฟิงนั่งวิหคนิลกาฬแหวกอากาศไป ทิ้งไว้ศิษย์พี่ก่วงที่เต้นเร่าๆ ตะโกนด่าไม่หยุด
เขาริบเอาป้ายส่งข่าวของศิษย์พี่ก่วงไป
เมื่อไม่มีป้ายส่งข่าว ศิษย์พี่ก่วงผู้นั้นก็ยากที่จะติดต่อสื่อสารกับลั่วจุนได้ในเวลาสั้นๆ
ดินแดนเกาะเทียนเฟิงมีพื้นที่กว้างใหญ่เช่นนั้น ศิษย์พี่ก่วงคิดจะหาลั่วจุน เกรงว่าคงเป็นเรื่องยากเอาการ
ไม่นานนัก จ้าวเฟิงจึงนั่งวิหคนิลกาฬมาถึงตำหนักภารกิจ
หลายวันต่อมา
จ้าวเฟิงเริ่มรับภารกิจของสำนักอย่างบ้าคลั่ง
ในทุกครั้งเขาล้วนแต่รับภารกิจในอาณาเขตพื้นที่เดียวเท่านั้น
หนึ่งในนี้ยังรวมภารกิจในระดับที่ค่อนข้างสูงด้วย
ในระยะเวลาสิบวันสั้นๆ
จ้าวเฟิงทำภารกิจอย่างบ้าคลั่งหลายสิบภารกิจ อีกทั้งทุกครั้งเขาทำมันเพียงคนเดียว และทำให้ลุล่วงอย่างรวดเร็วด้วย
ทุกครั้งที่เขากลับไปที่ตำหนักภารกิจเพื่อรับรางวัลและคะแนนสะสม ล้วนมีเสียงอุทานดังเซ็งแซ่
“อยู่ในขั้นนายเหนือแท้ชัดๆ แต่กลับทำภารกิจที่คนมากมายในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดไม่สามารถทำได้จนลุล่วง”
“บนตัวเจ้าเด็กนี่ย่อมต้องมีความลับอะไรอยู่”
ภายในตำหนัก มี ‘ผู้ช่ำชองด้านภารกิจ’ ส่วนหนึ่งอยู่ โดยจะทำภารกิจของสำนักเพื่อแลกทรัพยากรในการฝึกตนจำนวนมากโดยเฉพาะ
ทว่าเมื่อเปรียบกับสัดส่วนความสำเร็จที่จ้าวเฟิงทำได้ คนเหล่านี้ขอยอมรับความพ่ายแพ้
สิบวันที่ผ่านมา จ้าวเฟิงไปรับเอารางวัลและคะแนนสะสม จำนวนนั้นมากพอที่จะทำให้ขอบเขตแก่นก่อกำเนิดส่วนหนึ่งต้องอิจฉาตาร้อน
ยิ่งนานไป ภารกิจที่จ้าวเฟิงรับมาก็มีความยากเพิ่มขึ้น
“พอประมาณแล้ว ภารกิจในรอบหนึ่งปีจัดการได้หมด” จ้าวเฟิงผงกศีรษะเล็กน้อย
ต่อจากนั้น
เรื่องที่สองที่เขาทำมากพอจะกระเทือนทั้งสำนัก
สี่ห้าเดือนต่อมา จ้าวเฟิงกลับมาสำนัก แล้วตรงดิ่งไปที่ปราการแลกเปลี่ยนในทันที
ในครั้งนี้ จ้าวเฟิงฝึกสัตว์วิเศษเป็นจำนวนมาก พลังฝึกตนอยู่ในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงไปจนถึงแก่นก่อกำเนิดระดับสูง
บนร่างของเขามีถุงสัตว์วิเศษ แต่ละใบล้วนอัดแน่น
สัตว์วิเศษกลุ่มใหญ่นี้ถูกนำไปขายที่ปราการ การกระทำเล็กๆ ของเขาสร้างความแตกตื่นแก่คนในวงกว้าง
เมื่อสัตว์วิเศษที่หายากและฝึกยากปรากฏขึ้นในเงื้อมมือของจ้าวเฟิง
ยอดฝีมือของสำนักศักดิ์สิทธิ์วั่นจำนวนไม่น้อย เมื่อได้ยินข่าวแล้วจึงเร่งรุดมาดูเพื่อจะรีบซื้อ หรือไม่ก็ประมูลเอาสัตว์วิเศษกลุ่มนี้
สัตว์วิเศษที่หายากส่วนหนึ่งสามารถดึงดูดความสนใจของราชันได้ด้วยซ้ำไป
ชื่อเสียงความสามารถและพรสวรรค์ที่จ้าวเฟิงมีในด้าน ‘นักฝึกสัตว์’ ค่อยๆ โด่งดังขึ้นในสำนักศักดิ์สิทธิ์วั่น
เพียงการประมูลแค่ครั้งเดียว จ้าวเฟิงก็ได้ผลึกเริ่มต้นมากองโต
ยอดฝีมือส่วนหนึ่งของสำนักได้ยินชื่อเสียงของจ้าวเฟิง ก็เดินทางมาขอความช่วยเหลือเรื่องฝึกสัตว์วิเศษ
ในทุกครั้งที่ฝึกสัตว์ จ้าวเฟิงได้ผลตอบแทนเป็นจำนวนมากกว่าทำภารกิจเสียด้วยซ้ำ
แน่นอนว่าจ้าวเฟิงย่อมไม่รับงานฝึกสัตว์ในระดับต่ำ
เมื่อรวบรวมต้นทุนจำนวนหนึ่งอย่างบ้าคลั่งแล้ว จ้าวเฟิงกลับไปยังเรือนพัก แล้วก็ฝึก ‘วายุอัสนีธาตุน้ำ’ ต่อ
“ทรัพยากรแขนงวารีพวกนี้มากพอทำให้ข้าทะลวงผ่านครึ่งก้าวสู่ราชันได้ในครั้งเดียว”
จ้าวเฟิงยินดีอยู่บ้าง
แน่นอนว่าทรัพยากรที่เขาซื้อยังมีสมบัติประเภทฝึกกาย ศาสตร์อัสนี และศาสตร์วิญญาณ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสมบัติในศาสตร์วิญญาณที่มูลค่าสูงชะลูด
แต่ช่วยไม่ได้ จ้าวเฟิงต้องการจะฟื้นฟูพลังของขั้นราชันและดวงวิญญาณ จำเป็นต้องใช้สมบัติศาสตร์วิญญาณที่ทั้งล้ำค่าหายาก
เพียงชั่วพริบตา เวลาหนึ่งเดือนก็ผ่านไปอีกครั้ง
‘วิชาวายุอัสนีห้าสาย’ ของจ้าวเฟิง ในที่สุดก็บรรลุถึงขั้นที่สี่
ในเวลานี้ ภายในแหล่งกำเนิดจิตวิญญาณของเขา พลังวายุอัสนีล้วนกลายเป็นวายุอัสนีธาตุน้ำที่มีสีฟ้าแล้ว
ผัวะ วิ้ง!
จ้าวเฟิงโคจรพลังที่แท้จริง ร่างกายของเขาจึงรายล้อมด้วยริ้วคลื่นวายุอัสนีสีฟ้าชั้นหนึ่ง
“ไม่รู้ว่าวายุอัสนีธาตุน้ำนี้จะสามารถสำแดงพื้นฐานพลังของ ‘จิตวิญญาณเทพวารี’ ได้หรือไม่”
จ้าวเฟิงเกิดความสนใจขึ้น
จิตวิญญาณเทพวารี สามารถเปลี่ยนกายเนื้อให้กลายเป็นของเหลวได้ชั่วคราว เป็นถึงเคล็ดวิชาในแขนงวารีที่สูงส่ง
เมื่อสำแดงเคล็ดวิชาดังกล่าว จะทำให้มีร่างอมตะไร้เทียมทานได้ในเวลาสั้นๆ
จ้าวเฟิงคาดการณ์สักครู่ แล้วจึงพบว่าความคิดนี้น่าจะเป็นไปได้
ทันทีที่สำเร็จ ‘จิตวิญญาณเทพวารี’ เกรงว่าจะเพิ่มระดับขึ้นเป็น ‘เทพวารีอัสนี’ ได้ แรงป้องกันของมันไม่เปลี่ยน แต่ว่าพลังโจมตีจะเพิ่มขึ้นอย่างมาก
เมื่อฝึกฝนวิชาวายุอัสนีถึงขั้นที่สี่แล้ว จ้าวเฟิงใช้วายุอัสนีธาตุน้ำที่อยู่ในระดับขั้นค่อนข้างสูงนี้มาฝึก ‘กายอัสนีศักดิ์สิทธิ์’
ทว่า ‘กายอัสนีศักดิ์สิทธิ์ห้าสาย’ ตั้งแต่ขั้นที่สี่เป็นต้นไปก็จะเป็นเส้นแบ่ง โดยในสามขั้นต้นล้วนแต่เป็นรากฐานเท่านั้น
ในทุกขั้นตั้งแต่ขั้นที่สี่เป็นต้นไป จะแบ่งเป็นระดับอย่าง ระดับแรกเริ่ม ระดับต่ำ ระดับสูง และระดับสุดยอด ความยากจะค่อยๆ เพิ่มขึ้น
ทันทีที่ฝึกกายอัสนีศักดิ์สิทธิ์ถึงขั้นที่สี่ระดับสุดยอด ก็จะอยู่เหนือขอบเขตแก่นก่อกำเนิดได้
ด้วยเหตุนี้ ขอแค่กายอัสนีศักดิ์สิทธิ์ของจ้าวเฟิงเข้าใกล้ขั้นที่สามระดับสุดยอดแล้ว ขั้นที่สี่จะเจออุปสรรคไม่น้อย
เฮ้อ! จ้าวเฟิงถอนหายใจยาว
เมื่อเผชิญหน้ากับอุปสรรคในขั้นที่สี่ เขาถึงขั้นมีแผนการจะไปที่ห้วงฝันบรรพกาลสักครั้งหนึ่ง
แต่ว่าผลไม้จิตวิญญาณของห้วงฝันบรรพกาลยากจะย่อยสลาย ในตอนนี้ยังไม่ใช่โอกาสที่ดีที่สุด
ด้วยระดับขั้นของจ้าวเฟิงไม่สามารถสังหารสัตว์อสูรภายในห้วงฝันบรรพกาลได้ ถึงขั้นแค่เดินก็ยากลำบากเต็มที
“จ้าวเฟิง! จดหมายของเจ้า…”
ด้านนอกมีเสียงดังมา ผู้ส่งสารของสำนักผู้หนึ่งโบยบินผ่านมา
พรึ่บ
จดหมายฉบับหนึ่งทะลุผ่านม่านแสงค่ายกล แทรกตัวเข้ามาสู่ภายใน!
“สกุลจ้าวแห่งเขาเมฆา?”
จ้าวเฟิงรับจดหมายมา ในขณะที่เปิดอ่านคิ้วก็ขมวดมุ่น
ในจดหมายเอ่ยถึงการต่อสู้ของสกุลอินและสกุลจ้าวที่ยิ่งรุนแรงขึ้นไปทุกที หนำซ้ำบ้านสกุลอินยังได้แรงสนับสนุนที่ลึกลับ จึงโจมตีสกุลจ้าวติดๆ กันจนถอยร่นไป
“เฟิงเอ๋อร์ ผู้นำบ้านสกุลลั่วนั่นสัญญาว่า เพียงแค่ไปขอโทษพวกเขาเรื่อง ‘หนังสือหย่า’ ถึงที่บ้าน พวกเขาก็จะช่วยคลี่คลายปัญหานี้”
ท้ายสุดของจดหมายยังมีเสียงทอดถอนใจอย่างเศร้าโศกของท่านปู่จ้าวเฟิง
เมื่ออ่านจดหมายฉบับดังกล่าวเสร็จ สีหน้าของจ้าวเฟิงก็หนักอึ้ง
“ลั่วจุน องค์ชายแปด นี่คือวิธีการของพวกเจ้างั้นหรือ?”
จ้าวเฟิงไม่ใช่คนโง่
อำนาจของบ้านสกุลอินและสกุลจ้าวเดิมทีสูสีกัน
ครั้งก่อนจ้าวเฟิงลงมือสังหารยอดฝีมือหลายคนของบ้านสกุลอิน สร้างความเสียหายให้แก่อีกฝ่ายอย่างมาก
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ สกุลอินจะนำพาอันตรายใหญ่หลวงมาสู่สกุลจ้าวได้อย่างไร?
พรึ่บ!
จ้าวเฟิงผลักมือออกแรงเพียงเล็กน้อย กระดาษแผ่นดังกล่าวก็กลายเป็นฝุ่นธุลี
“ดูท่าทางแล้วจะต้องไปที่ตระกูลจ้าวแห่งเขาเมฆาสักหน่อย”
จ้าวเฟิงค้นจากในความทรงจำ พบว่าจ้าวเฟิงผู้นั้นมีความปรารถนาที่จะทำให้ตระกูลของตนรุ่งเรือง
นอกจากนี้ ความสัมพันธ์ระหว่างจ้าวเฟิงและท่านปู่แน่นแฟ้นอย่างยิ่ง ผูกพันกันราวกับบุตรและบิดา
ในตอนท้ายของจดหมายมีคำขอร้องของท่านปู่ จ้าวเฟิงทำตัวเป็นทองไม่รู้ร้อนไม่ได้
จ้าวเฟิงจึงออกจากการฝึกตนในทันใด และนั่งวิหคนิลกาฬไปยัง ‘ตำหนักผู้ส่งสาร’ ของสำนักศักดิ์สิทธิ์วั่น
“ที่นี่ส่งจดหมายไปดินแดนทวีปได้หรือไม่” จ้าวเฟิงถาม
“ขั้วอำนาจใหญ่ส่วนหนึ่งอย่างสำนักสองดาว ตระกูล หรือราชวงศ์ล้วนส่งได้ทั้งนั้น”
ผู้เฒ่าที่รับจดหมายเอ่ย
“เช่นนั้นก็ดี ข้าจะส่งจดหมายฉบับหนึ่งไปให้ ‘สกุลตวนมู่’ ที่ดินแดนทวีป” จ้าวเฟิงเอ่ยปากช้าๆ
เมื่อเอ่ยจบเขาก็จับพู่กันเขียนเป็นเนื้อความส่วนหนึ่ง แล้วใช้วิธีการพิเศษเพื่อปิดประทับจดหมายให้แน่นหนา
“สกุลตวนมู่? หรือว่าเจ้าหมายถึง…หนึ่งใน ‘แปดตระกูลชนชั้นสูง’ ของราชวงศ์ต้าเฉียนตระกูลนั้นน่ะหรือ?”
คนรับจดหมายตกใจจนเบิกตาค้าง
“ใช่แล้ว”
จ้าวเฟิงสีหน้าเคร่งขรึม แล้วจึงมอบจดหมายฉบับนั้นให้กับผู้เฒ่าที่เก็บผลึกเริ่มต้นเป็นจำนวนไม่น้อย
มาถึงยังราชวงศ์ต้าเฉียนเป็นเวลาสักพักแล้ว จ้าวเฟิงถึงจะนึกออกเรื่องส่งจดหมายไปหาอาจารย์อย่างตวนมู่ชิงกับจ้าวหยูเฟยเพื่อรายงานความปลอดภัยก่อน ในวันหน้าจะได้รวมตัวกัน