Skip to content

King of Gods 775

King Of Gods

บทที่ 775 เด็กที่บ้าคลั่ง

“ประมาณครึ่งปีต่อจากนี้ สกุลตวนมู่จะได้รับจดหมายจากเจ้า”

ผู้เฒ่าที่รับจดหมายมองประเมินจ้าวเฟิงเล็กน้อยด้วยสายตาที่แปลกไป

สกุลตวนมู่เป็นถึงหนึ่งในแปดตระกูลชั้นสูงที่สืบทอดต่อกันมาตั้งแต่อดีตของราชวงศ์ต้าเฉียน อย่างน้อยเทียบเท่าได้กับสำนักสามดาว

แปดตระกูลชนชั้นสูงมีความสัมพันธ์แนบแน่นกับราชวงศ์ต้าเฉียน อิทธิพลต่อราชวงศ์มากกว่าสำนักสามดาวมากมายนัก

นอกเหนือจาก ‘สำนักสี่ดาว’ ที่พิเศษกว่าสิ่งอื่นแล้ว แปดตระกูลชนชั้นสูงถือว่าเป็นจุดสูงสุดของดินแดน

“เวลาครึ่งปีเลยหรือ?” จ้าวเฟิงพึมพำ

แผ่นดินของดินแดนทวีปนี้ใหญ่กว่าที่เขาคิดไว้มากนัก

จะต้องรู้ว่า การเดินทางของผู้ส่งสารจะต้องใช้ค่ายกลข้ามผ่านดินแดน อีกทั้งยังมีหนทางที่ยาวไกลอย่างยิ่ง

ก่อนจะจากไป จ้าวเฟิงซื้อแผนที่ของราชวงศ์ต้าเฉียนฉบับหนึ่ง

บนแผนที่ เพียงแค่พื้นที่ของราชวงศ์ต้าเฉียนก็มี ‘สิบแปดอาณาเขต’

หนึ่งอาณาเขตเทียบได้กับชังไห่เป็นอย่างน้อย

ดังเช่นระดับของชังไห่กับทะเลแดนใต้ ก็เทียบเท่าได้กับหนึ่งอาณาเขตของราชวงศ์ต้าเฉียน แต่ความหนาแน่นของประชากรและอารยธรรมการฝึกตนด้อยกว่าอาณาเขตในปกครองของราชวงศ์มาก

อีกทั้งในดินแดนทวีปไม่ได้มีเพียงแค่ราชวงศ์เดียว!

ในแผนที่ฉบับนี้ มีรายละเอียดพื้นที่ครบถ้วนอย่างยิ่ง

ราชวงศ์ต้าเฉียนในตอนนี้ถือได้ว่าอยู่ในช่วงที่ค่อนข้างเสื่อมถอย

ทางเหนือของดินแดนทวีป ‘ราชวงศ์จันทราทมิฬ’ รุ่งเรืองมาหลายหมื่นปี ด้วยเพราะได้เผ่าพันธุ์อสูรปกครอง จึงยึดครองพื้นที่ของราชวงศ์ต้าเฉียนไปไม่น้อย

ยามนี้

ศัตรูของราชวงศ์ต้าเฉียนคือราชวงศ์จันทราทมิฬ

พวกดินแดนมหาสมุทรที่ล้าหลังส่วนหนึ่งในชังไห่ก็ไม่มีเวลาจะใส่ใจแล้ว

เมื่อเก็บแผนที่ จ้าวเฟิงนั่งบนวิหคนิลกาฬ บินไปที่บ้านสกุลจ้าวเขาเมฆาตามความทรงจำ

จ้าวเฟิงเพิ่งจะจากไปได้เพียงครึ่งวัน

สวบ!

แม่ทัพในขั้นครึ่งก้าวสู่ราชันในชุดฟ้าบินตรงไปที่สำนักศักดิ์สิทธิ์วั่น

วิ้ง~

ตราคำสั่งส่องแสงสีเงินแผ่นหนึ่งขยายใหญ่ไปถึงร้อยจั้ง ลอยตัวอยู่กลางอากาศ ล้อมรอบด้วยลำแสงมังกรสีม่วง พร้อมกับสาดซัดพลังมหาศาลของราชันที่สะเทือนฟ้าดิน

กลิ่นอายของตราคำสั่งแผ่นนั้นทะลวงไปในฟ้าดิน

“คำสั่งของอ๋องโหว!”

ยอดฝีมือที่สำนักศักดิ์สิทธิ์วั่นล้วนตื่นตระหนก

ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่คำสั่งหลักของอ๋องโหว แต่ว่าสถานการณ์ก็ดูไม่ใช่เรื่องเล็กแล้ว

“ท่านแม่ทัพผู้นี้ มีอะไรจะชี้แนะหรือ?”

หัวหน้ากลุ่มผู้คุมกฎในขั้นครึ่งก้าวสู่ราชันคนหนึ่งเดินมาหารือ

“ทางจวนอ๋องโหวถ่ายทอดคำสั่ง เรียกพบนักฝึกสัตว์อัจฉริยะของสำนักท่าน…จ้าวเฟิง!” คนในชุดสีฟ้าเอ่ยเสียงเรียบ

“จ้าวเฟิง?”

ในกลุ่มคนของสำนักศักดิ์สิทธิ์วั่น คนส่วนหนึ่งมองหน้ากันไปมา แล้วจึงได้ข้อสรุปทันที

ถ้าเป็นแค่จ้าวเฟิงผู้หนึ่งก็อาจจะไม่หาเจอรวดเร็วเช่นนี้

แต่ว่าคนของจวนอ๋องโหวเรียก ‘นักฝึกสัตว์อัจฉริยะ’ เป้าหมายนั้นก็ชัดเจนขึ้นแล้ว

เวลาผ่านไปชั่วครู่หนึ่ง

มีผู้เฒ่าในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดคนหนึ่งเอ่ยตอบ “นายทหารผู้นี้ โชคร้ายเสียจริง…ครึ่งวันก่อนจ้าวเฟิงเพิ่งยื่นคำขอออกจากสำนัก มีเรื่องด่วนขอกลับไปยังที่บ้านสักหน”

ในสำนัก

ศิษย์ระดับแรกหรือสมาชิกระดับกลาง โดยปกติแล้วจะออกไปด้านนอกหรือไปทำภารกิจล้วนมีบันทึกรายละเอียดการเดินทางที่เกี่ยวข้อง

นี่ไม่ใช่เพียงแค่ความเข้มงวดของกฎสำนัก แต่ยังเป็นการปกป้องศิษย์อย่างหนึ่งด้วย

ดังนั้นถึงลูกศิษย์จะสูญหายหรือว่ามีอุบัติเหตุเกิดขึ้น สำนักก็จะตามหาร่องรอยจนถึงที่สุด และสามารถหาเบาะแสได้อย่างรวดเร็ว

ด้วยเหตุนี้ คนภายนอกทั่วไปจึงไม่กล้าลงมือสังหารศิษย์ของสำนักศักดิ์สิทธิ์วั่นอย่างไม่คิดหน้าคิดหลัง

“คนจากจวนอ๋องโหว เรียกหาจ้าวเฟิงมีอะไรหรือไม่?”

ศิษย์พี่ก่วงที่อยู่ในฝูงชนขมวดคิ้ว

ป้ายส่งข่าวของเขากับลั่วจุนถูกจ้าวเฟิงแย่งไป กำลังตามหาร่องรอยของจ้าวเฟิงไปทั่วอยู่พอดี จึงคิดอยากจะฟ้องผู้เฒ่าสักหน่อย

ในเวลาเดียวกัน

จ้าวเฟิงที่นั่งวิหคนิลกาฬก็กำลังบินตรงไปยังทางเหนือของดินแดนเกาะเทียนเฟิง

ครึ่งวันต่อมา

ด้านหน้ามีทิวเขาเรียงรายสลับซับซ้อน กลมกลืนไปกับเมฆหมอก

จ้าวเฟิงรู้ว่าทั้งแถบเขาเมฆาถือได้ว่าเป็นดินแดนที่ค่อนข้างห่างไกลในดินแดนเทียนเฟิง ที่แห่งนี้มีทรัพยากรจำนวนมากที่สุด แล้วยังมีผลึกเริ่มต้นในระดับกลางและต่ำด้วย

ในสายตาของสำนักสองดาว ทรัพยากรเหล่านี้อาจจะไม่ควรค่าให้พูดถึง

แต่ว่าที่แห่งนี้กลับเป็นสายเลือดหล่อเลี้ยงตระกูลจ้าวส่วนหนึ่งของเขาเมฆา

ในเขาเมฆา สกุลจ้าวสกุลอินถือเป็นตระกูลใหญ่อันดับต้นๆ ที่แก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกันมาหลายปี

เขา ‘ทบทวน’ ความทรงจำที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้อีกรอบหนึ่ง

วิหคนิลกาฬที่จ้าวเฟิงนั่งมาถึงยังที่ตั้งของตระกูลจ้าวแห่งเขาเมฆา

ไม่นานนัก วิหคนิลกาฬก็มาเยือนปราการบนยอดเขา

ปราการแห่งนี้เรียกว่าป้อมปราการตระกูลจ้าว เป็นฐานที่มั่นของตระกูลจ้าวแห่งเขาเมฆา

เมื่อเปรียบเทียบกันไปแล้ว บางเมืองที่รุ่งเรืองในละแวกใกล้เคียง เป็นเพียงแต่ขั้วอำนาจส่วนหนึ่งของตระกูลจ้าว

โดยสรุปคือ ตระกูลจ้าวแห่งเขาเมฆานี้แข็งแกร่งกว่าตระกูลจ้าวแห่งเมืองประกายอรุณของจ้าวเฟิงในชีวิตก่อนไม่รู้กี่เท่า

สามารถพูดได้ว่า ขั้วอำนาจทั้งแคว้นเมฆารวมเข้าด้วยกันก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของตระกูลจ้าวแห่งเขาเมฆา

แต่การมาถึงของ ‘วิหคนิลกาฬ’ ก็ยังคงทำให้คนที่ ‘ป้อมปราการตระกูลจ้าว’ ตื่นตระหนกและเข้ามารุมล้อมด้วยเพราะที่นี่ไม่ใช่สำนักศักดิ์สิทธิ์วั่นที่เข้าใกล้ระดับสามดาว

สัตว์วิเศษประเภทนกในระดับวิหคนิลกาฬ ที่ป้อมปราการตระกูลจ้าวย่อมต้องยากที่จะพบเห็น

“นี่มันนายน้อยจ้าวเฟิง!”

“นายน้อยจ้าวเฟิงกลับมาแล้ว…”

สมาชิกส่วนหนึ่งของป้อมปราการมองสถานะของ ‘จ้าวเฟิง’ ออกอย่างรวดเร็ว จากนั้นจึงแสดงท่าทีตื่นเต้น

จ้าวเฟิงเป็นถึงอัจฉริยะของตระกูลจ้าวแห่งเขาเมฆาที่ในรอบพันปีจะมีสักคน

จ้าวเฟิงย่อมเข้าใจว่า ‘จ้าวเฟิง’ ที่เป็นเจ้าของร่างเดิมต้องแบกรับความคาดหวังอย่างไรบ้างจากตระกูล?

“เฟิงเอ๋อร์!”

“นายน้อยจ้าวเฟิง…”

น้ำเสียงของแต่ละคนเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจหรือไม่ก็เคารพนับถือ

บนใบหน้าของจ้าวเฟิงแต่งแต้มรอยยิ้ม ก่อนจะผงกศีรษะทักทายคนในตระกูลจ้าว แต่ไม่ได้พูดอะไรมากมายนัก

คนจำนวนไม่มากที่คุ้นเคยกับจ้าวเฟิงคนเดิม สัมผัสได้ว่านายน้อยจ้าวเฟิงเปลี่ยนแปลงไปบ้าง

ผ่านไปสักครู่หนึ่ง ในโถงใหญ่ของตระกูลจ้าว

จ้าวเฟิงได้พบกับผู้อาวุโสระดับสูงส่วนหนึ่งของสกุลจ้าวแห่งเขาเมฆา แต่ว่าบรรยากาศภายในโถงใหญ่กลับมีความตึงเครียดส่วนหนึ่งด้วย

“จ้าวเฟิง! เจ้าใจร้อนเกินไปแล้ว!”

“เหตุใดเจ้าจึงถอนหมั้น ‘ลั่วสุ่ยเอ๋อร์’ ต่อหน้าฝูงชนมากมายอย่างนั้น…”

ผู้นำตระกูลและผู้อาวุโสหลายคนเอ่ยติเตียน

ในฐานะที่เป็นตระกูลระดับกลางของดินแดนเกาะเทียนเฟิง อำนาจของตระกูลจ้าวแห่งเขาเมฆาเทียบเท่าได้กับสำนักหนึ่งดาวครึ่ง

พลังฝึกตนของคนระดับสูงในตระกูลอยู่ในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดทั้งสิ้น

ผู้อาวุโสคนสองคนก็มีพลังฝึกตนในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูง

“พวกท่านตามข้ากลับมาเพื่อตำหนิติเตียนงั้นหรือ?”

น้ำเสียงจ้าวเฟิงติดจะเย็นชาเล็กน้อย

เขาไม่มีความรู้สึกอะไรต่อตระกูลจ้าวแห่งเขาเมฆา แต่เป็นเพราะเขาช่วงชิงเอาร่างนี้มา ถึงอยากจะเติมเต็มความปรารถนาส่วนหนึ่งของผู้เป็นเจ้าของร่าง

“กำเริบเสิบสานนัก! เจ้ากล้าดูหมิ่น…”

จ้าวเทียนอี้ผู้นำตระกูลตะคอกเสียงเย็น ในแววตาปรากฏความโกรธเกรี้ยวและประหลาดใจ

‘จ้าวเฟิง’ คนเดิมถึงแม้จะไม่ถือว่าว่านอนสอนง่าย แต่ก็ไม่เคยปะทะคารมกับผู้อาวุโสตระกูลจ้าวเช่นนี้มาก่อน

“ปีกกล้าขาแข็งแล้วสินะ ขนาดผู้อาวุโสอย่างพวกข้าก็ไม่อยู่ในสายตา” ผู้อาวุโสผู้หนึ่งเอ่ยแล้วทอดถอนใจ

ถ้าหากว่าเปลี่ยนเป็นลูกหลานทั่วๆ ไปของตระกูล ผู้นำตระกูลคงจะตบหน้าไปแล้ว แต่ด้วยตำแหน่งฐานะของจ้าวเฟิงในวันนี้ พวกเขาเองก็ไม่กล้าทำอะไรหุนหัน

ด้วยเพราะชายผู้นี้เป็นความหวังอย่างที่สุดในรอบหลายร้อยปีของตระกูลจ้าว

อีกทั้งพวกเขาได้ยินมาว่าจ้าวเฟิงได้รับโอกาสครั้งใหญ่ มีสัตว์วิเศษอย่างเจ้าแมวขโมยอาวุโส

“พูดมาเถอะ ที่ตามข้ามาในครั้งนี้มีเรื่องอะไรจะปรึกษาหรือ”

จ้าวเฟิงเอ่ยอย่างอดไม่ไหวน้อยๆ

เขากลับมาในครั้งนี้ไม่ได้มาเพื่อฟังคำก่นด่าต่างๆ

คนระดับสูงในตระกูลจ้าวชะงักค้างไปเล็กน้อย นิสัยและพฤติกรรมของจ้าวเฟิงผู้อยู่ตรงหน้านี้เปลี่ยนไปจากแต่ก่อนโดยสิ้นเชิง

“เฟิงเอ๋อร์ เจ้าเปลี่ยนไปแล้ว…”

ผู้เฒ่าผมขาวผู้หนึ่งเดินโขยกเขยกเข้ามาจากห้องด้านข้าง ผู้เฒ่าผมขาวผู้นี้ก็คือท่านปู่ของจ้าวเฟิง

จ้าวเฟิงคนก่อนนี้ บิดาและมารดาต่างตายจาก จึงรักใคร่สมัครสมานกับท่านปู่แต่เล็กแต่น้อย

ท่านปู่จ้าวผู้นี้ในยามรุ่งโรจน์เป็นถึงผู้สูงศักดิ์ในขอบเขตแก่นก่อกำเนิด ต่อมาเพราะว่าอุบัติเหตุหนึ่ง จึงร่วงลงไปอยู่ครึ่งก้าวสู่ขอบเขตแก่นก่อกำเนิด

“ท่านปู่ ข้าไม่ใช่จ้าวเฟิงคนก่อนนั้นตั้งนานแล้ว” จ้าวเฟิงยิ้มแย้มเล็กน้อย

ในความทรงจำ ท่านปู่ของจ้าวเฟิงทุ่มเทแรงกายแรงใจบ่มเพาะเลี้ยงดู เพื่อที่จะบ่มเพาะจ้าวเฟิงให้กลายเป็นอัจฉริยะที่โดดเด่น ท่านปู่ของจ้าวเฟิงใช้ของที่เก็บสะสมมาทั้งชีวิตตนหมดไปกับเขา

จ้าวเฟิงคนเดิมเคารพนับถือและสำนึกในบุญคุณของท่านปู่จ้าวยิ่งกว่าอะไร

เมื่อฟังคำพูดของจ้าวเฟิง ท่านปู่จ้าวชะงักค้างไปชั่วขณะ แล้วจ้องจ้าวเฟิงอย่างลึกซึ้ง

‘หลานชาย’ ที่อยู่ตรงหน้าช่างแตกต่างกับคนในความทรงจำมาก

ท่านปู่จ้าวมอง ‘หลานชาย’ คนนี้ไม่ออกอีกต่อไปแล้ว

เหล่าคนระดับสูงของตระกูลจ้าวก็ค้นพบการเปลี่ยนแปลงในการกลับมาครั้งนี้ของจ้าวเฟิงเช่นกัน สภาวะอารมณ์ของเขาสามารถบรรยายได้ว่า…‘เย็นชา’

“จ้าวเฟิง สำหรับเรื่องขอถอนหมั้นลั่วสุ่ยเอ๋อร์ หวังว่าเจ้าจะมีเหตุผล แล้วทุ่มเทความพยายามทั้งหมดเพื่อแก้ไขผลที่เกิดขึ้น”

ผู้นำตระกูลจ้าวเทียนอี้เอ่ย

“เหตุผล? ข้าไม่อยากแต่งกับลั่วสุ่ยเอ๋อร์ ถอนหมั้นนางก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล”

จ้าวเฟิงเอ่ยอย่างตรงไปตรงมา เดิมทีเขาก็อยากจะตัดความสัมพันธ์กับคู่หมั้นผู้นี้

“เจ้า…ลั่วสุ่ยเอ๋อร์เป็นถึงบุตรสาวของบ้านสกุลลั่ว ได้เกี่ยวดองกับสกุลลั่วถือเป็นเกียรติยศของเจ้า!”

ผู้นำตระกูลจ้าวแทบจะลุกขึ้นอย่างโกรธเกรี้ยว

เมื่อได้ยินแล้ว จ้าวเฟิงมองด้วยสายตาเย็นชา

สายตานั้นของเขาทำให้ผู้นำตระกูลจ้าวกับคนระดับขั้นสูงสัมผัสได้ถึงไอเย็นยะเยือกที่แปลกประหลาด

เมี้ยว เมี้ยว!

เจ้าแมวตัวน้อยสีเงินเทาตัวหนึ่งปรากฏกายบนบ่าของจ้าวเฟิง

แมวตัวนี้สร้างความหวาดระแวงแก่คนระดับสูงของตระกูลจ้าว

ผู้เฒ่าชุดผ้าป่านในตอนนั้นก็อยู่ในเหตุการณ์ด้วย แววตาฉายแววประหลาดใจออกมา แล้วจึงเอ่ยชักจูงผู้นำตระกูลจ้าว

“มีองค์ชายแปดผู้นั้นยื่นมือเข้ามายุ่ง การดองกับบ้านสกุลลั่วเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้อีกแล้ว ท่านไม่จำเป็นต้องคิดเรื่องนี้อีกต่อไป” ผู้เฒ่าชุดผ้าป่านส่งสายตา

เหล่าคนระดับสูงของตระกูลต่างสงบจิตใจแล้วมองจ้าวเฟิงด้วยสายตาแบบใหม่

“สำหรับเรื่องขอโทษบ้านสกุลลั่ว พวกท่านก็ไม่ต้องพูดถึงอีกแล้ว”

ประโยคเดียวของจ้าวเฟิงปิดปากคนทั้งตระกูลจ้าวได้

บ้านสกุลลั่วขอถอนหมั้นก่อน จ้าวเฟิงส่งหนังสือขอหย่าเพื่อถอนหมั้นลั่วสุ่ยเอ๋อร์ ตามหลักศีลธรรมแล้วก็นับว่าไม่ผิดอะไร

“เกรงว่าบ้านสกุลลั่วจะรับไม่ได้ ถึงแม้ว่าพวกเขาไม่ทำอะไรในที่แจ้ง แต่กลับไปสนับสนุนสกุลอินในที่ลับ” ท่านปู่จ้าวเฟิงมีสีหน้ากังวล

ในระยะนี้บ้านสกุลอินมีอำนาจลึกลับบางอย่างคอยสนับสนุน และเริ่มที่จะรุกล้ำขั้วอำนาจของตระกูลจ้าว

ในตอนนี้ถือว่าตระกูลจ้าวตกอยู่ในวินาทีความเป็นความตายแล้ว

“การกลับมาครั้งนี้ของข้า เป้าหมายก็คือจัดการ ‘บ้านสกุลอิน’ ทันทีที่กำจัดพวกเขาได้แล้ว ตระกูลจ้าวก็จะไม่มีคู่ต่อสู้อีกต่อไป”

แววตาของจ้าวเฟิงสาดประกายวิบวับ

กำจัดบ้านสกุลอิน?

คนระดับสูงของตระกูลจ้าวใจเต้นระรัว ลอบเอ่ยว่าช่างบังอาจนัก

แต่ว่าฝูงชนเห็นความกล้าหาญในการกลับมาครั้งนี้ของจ้าวเฟิง พาหนะอย่างวิหคนิลกาฬนั้น รวมไปถึง ‘ผู้อาวุโสแมวขโมย’ จึงไม่อาจไม่เชื่อเสียหลายส่วน

“จ้าวเฟิง พวกเราจะเชื่อเจ้าไปก่อน”

ผู้นำตระกูลจ้าวเทียนอี้ผงกศีรษะเล็กน้อย แล้วจึงเปลี่ยนหัวข้อในการพูดคุย “แต่ถ้าหากว่าเจ้าไม่สามารถช่วยแก้ปัญหาของตระกูลจ้าว ก็หวังว่าเจ้าจะไปขอขมาที่บ้านสกุลลั่ว”

“ขอขมา? ทำลายล้างบ้านสกุลลั่วดูจะเป็นเรื่องง่ายกว่าเสียอีก…”

จ้าวเฟิงหัวเราะสัพยอก แล้วจึงออกจากโถงใหญ่ไป

“เจ้าเด็กบ้าคลั่ง!”

“อย่าปากดีให้มากนัก!”

เหล่าคนระดับสูงของตระกูลจ้าวตะโกนอย่างเกรี้ยวกราดไล่หลังมา

บุรุษหนุ่มที่ปรากฏในครรลองสายตาไม่ได้สนใจแต่อย่างใด ยิ่งเดินไกลออกไปทุกที

ณ ป้อมปราการตระกูลจ้าว จ้าวเฟิงเดินเข้าไปในเรือนพักของตนเอง

เอี๊ยด!

เงาร่างชราที่แต่ละก้าวฝีเท้าไม่มั่นคงนัก ผลักประตูเข้ามาภายในห้อง

นั่นก็คือท่านปู่จ้าว

“เจ้า…ไม่ใช่เฟิงเอ๋อร์!”

ท่านปู่จ้าวสีหน้าโศกเศร้า จ้องเขม็งไปที่จ้าวเฟิงขณะเอ่ยเสียงสั่น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!