บทที่ 776 สถานะถูกเปิดโปง
“เจ้า…ไม่ใช่เฟิงเอ๋อร์ของข้า”
ท่านปู่จ้าวเอ่ยอย่างโกรธเกรี้ยว จ้องเขม็งไปยัง ‘หลาน’ ที่ยิ่งแปลกหน้าเข้าไปทุกที
จ้าวเฟิงยืนเอามือไพล่หลัง สีหน้าเรียบสนิท ไม่มีท่าทีตกใจ
ถ้าหากจนถึงตอนนี้ท่านปู่จ้าวยังมองเบาะแสอะไรไม่ออกสิถึงจะแปลก
สำหรับเรื่องนี้ จ้าวเฟิงไม่ได้คิดจะปกปิดเป็นความลับอะไร
หากไม่เช่นนั้น ก็ต้องคิดวางแผนวิธีต่างๆ เพื่อแสดงเป็นอีกคนหนึ่ง ซึ่งยุ่งยากอย่างยิ่งยวด
“การวินิจฉัยของท่านไม่ผิด ข้าไม่ใช่ ‘จ้าวเฟิง’ เขาตัวจริงได้จากไปแล้วเมื่อหลายเดือนก่อน”
จ้าวเฟิงสาวเท้าช้าๆ ราวกับเดินเล่นพลางมองดูทิวทัศน์ในลาน
“เจ้า..เป็นเจ้าที่ช่วงชิงร่างแล้วสังหารเขา!”
ท่านปู่จ้าวจ้องถมึงทึง นัยน์ตาทั้งคู่แผ่จิตสังหารและโทสะถึงขีดสุดออกมา
แต่ว่าร่างกายของเด็กหนุ่มที่อยู่เบื้องหน้าคือจ้าวเฟิงหลานของเขา ท่านปู่จ้าวทุ่มเทเรี่ยวแรงควบคุมเอาไว้
อีกทั้งคนแปลกหน้าผู้นี้ช่างสงบนิ่ง สีหน้าไม่ได้หวาดกลัว ทำให้ท่านปู่จ้าวประคองสติไว้ตามจิตใต้สำนึก
“ถึงแม้ข้าจะยึดครองร่าง แต่คนที่ฆ่าเขาเป็นคนอื่น” จ้าวเฟิงสีหน้าเรียบนิ่ง โบกมือครั้งหนึ่ง
วิ้ง!
เบื้องหน้าของคนทั้งสองปรากฏเป็นม่านแสงระลอกน้ำสีฟ้า
บนม่านแสงปรากฏภาพแต่ละภาพขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เริ่มจากบ้านตระกูลอินลงมือสังหารจ้าวเฟิง ไปจนถึงวายุอัสนีสีม่วงเส้นสายหนึ่งหลอมรวมเข้าไปภายในร่างกาย
“สกุลอิน…”
ท่านปู่จ้าวชะงักไป เขามองออกทันทีเลยว่าลูกน้องพวกนั้นล้วนแต่เป็นคนของสกุลอิน
อีกทั้งภาพที่จ้าวเฟิงแสดงออกมามีแม้กระทั่งเสียงของคนในเหตุการณ์
“พวกเดรัจฉานสกุลอิน ริษยาในความสำเร็จของเฟิงเอ๋อร์ ถึงขั้นทำเรื่องที่น่ารังเกียจเช่นนี้ได้..” ท่านปู่จ้าวคำรามออกมาด้วยความโศกเศร้า
“ข้าเพียงแค่ยืมร่างกายนี้ และมีชีวิตต่อไปแทนหลานของท่านก็เท่านั้น”
จ้าวเฟิงอธิบายเหตุผล
ท่านปู่จ้าวได้ยินเช่นนั้นก็สะท้านทั้งกายและใจ จิตใจฟุ้งซ่าน จ้องจ้าวเฟิงเป็นเวลานาน แล้วน้ำตาก็ไหลอาบหน้าลงมาเป็นสาย
จ้าวเฟิงรู้ดีว่าท่านปู่ฝากความหวังไว้อย่างมากมายกับจ้าวเฟิงคนเดิม
หลังจากผ่านไปสักพักใหญ่
อารมณ์ของท่านปู่จ้าวก็สงบลงไปส่วนหนึ่ง จึงหันมองจ้าวเฟิง “ไม่ว่าเจ้าเป็นใคร จะต้องใช้ร่างกายนี้มีชีวิตต่อไปให้ดี…”
“เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องให้ท่านพูดหรอก” จ้าวเฟิงยิ้มออกมาเล็กน้อย
“ข้าจะใช้ชีวิตให้มีสีสันกว่าเขา ความปรารถนาส่วนหนึ่งในช่วงชีวิตก่อนของเขา ข้าจะทุ่มเทกำลังทั้งหมดเพื่อให้เขาสมหวัง ครั้งนี้ข้าจะช่วยตระกูลจ้าวกำจัดภัยอันตรายทั้งปวงด้วย”
คำพูดของจ้าวเฟิง ทำให้แววตามืดหม่นของท่านปู่จ้าวเปล่งประกายอย่างมีความหวังขึ้นมาอีกครั้ง
ในเวลานี้ เหมือนว่าเขาย้ายความหวังทั้งหมดที่ฝากไว้กับ ‘จ้าวเฟิง’ คนเดิมมายัง ‘จ้าวเฟิง’ คนใหม่
ท่านปู่จ้าวดูออกไม่ยากว่าพลังในยามก่อนของจ้าวเฟิงที่มายึดครองร่างนี้ย่อมต้องไม่ธรรมดา
ในระยะเวลาสั้นๆ ไม่กี่เดือน จากขั้นมนุษย์แท้ก็พัฒนาไปถึงขั้นนายเหนือแท้
วิหคนิลกาฬที่ถูกฝึกและสัตว์วิเศษลึกลับที่อยู่ข้างกาย ก็มากพอที่จะสังหารยอดผู้สูงศักดิ์ในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูงได้แล้ว
สิ่งเหล่านี้มีคนปกติที่ไหนสามารถทำได้กันล่ะ?
“ท่านปู่จ้าว นี่เป็นหนึ่งในของชดเชยของข้า”
ในมือของจ้าวเฟิงปรากฏขวดเครื่องเคลือบดินเผาเล็กๆ ขวดหนึ่ง ภายในบรรจุน้ำใสสะอาด
“ของชดเขย!” ท่านปู่จ้าวร้องเสียงต่ำ “ข้าไม่ต้องการสิ่งชดเชยอะไร เจ้าเพียงแค่ต้องใช้ร่างกายนี้สืบทอดต่อเจตนารมณ์ของเฟิงเอ๋อร์ และใช้ชีวิตต่อไปให้ดี”
“ดื่มมันลงไป แล้วท่านถึงจะมีชีวิตอยู่ได้ถึงตอนนั้น” จ้าวเฟิงเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม
ท่านปู่จ้าวเกิดความสงสัยเล็กน้อย จึงดื่มน้ำใสสะอาดที่อยู่ในขวดลงคอไป
วินาทีต่อมา หน้าเขาก็เปลี่ยนไป เอ่ยออกมาเสียงเบาว่า “น้ำ…อมฤต?”
ท่านปู่จ้าวรู้สึกว่าร่างกายที่แก่เฒ่าของตนเองกำลังฟื้นฟูพลังชีวิตและกำลังวังชาใหม่อีกครั้ง
ในอดีตเขาเคยประสบกับเหตุไม่คาดฝันครั้งใหญ่ ร่างกายพิกลพิการ อายุขัยลดลง ในตอนนี้เหลือไม่ถึงสิบปี
แต่หลังจากดื่ม ‘น้ำอมฤต’ ลงไป ก็เกิดความรู้สึกประหลาดราวกับเวลาหมุนวนกลับมาอีกครั้ง
อายุขัยของเขาเพิ่มขึ้นนับพันปี!
“ให้ท่านมีชีวิตอยู่ต่อ นี่ไม่ใช่เพียงแค่ความปรารถนาของจ้าวเฟิง แต่ยังเป็นความปรารถนาที่อยู่ในก้นบึ้งหัวใจของท่านด้วยไม่ใช่หรือ?” จ้าวเฟิงเอ่ยช้าๆ
“เจ้า…” ท่านปู่จ้าวหน้าขึ้นสีแดงระเรื่อเล็กน้อย
เป็นความจริงที่เขาทุ่มเทเลี้ยงดูจ้าวเฟิง ในใจลึกๆ เคยมีความหวังเช่นนี้มาก่อน
จ้าวเฟิงมีชีวิตมาสองครั้ง จะมองรายละเอียดเหล่านี้ไม่ออกได้อย่างไร
ต่อจากนั้น จ้าวเฟิงหยิบยาทาจิตวิญญาณที่ล้ำค่าหลายชนิดกับน้ำศักดิ์สิทธิ์มารักษาขาที่พิการของท่านปู่จ้าว
โอสถล้ำค่าเหล่านี้ใช้รักษาอาการบาดเจ็บของคนในขั้นราชันและขั้นจักรพรรดิ อาการบาดเจ็บพิการของขั้นขอบเขตแก่นก่อกำเนิดย่อมไม่ต้องพูดถึง
ระยะเวลาสั้นๆ เพียงครึ่งชั่วยาม
ท่านปู่จ้าวมีอายุขัยเพิ่มขึ้นนับพันปี ขาที่พิการก็หายดีแล้ว จะฟื้นฟูพลังฝึกตนก็น่าจะเป็นจริงได้อีกไม่นาน
ทั้งหมดนี้เป็นราวกับความฝัน
“อายุขัยของข้ามีเป็นพันปี ขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูงที่แต่ก่อนไม่กล้าจะคาดหวัง หรือกระทั่งราชันในขอบเขตปราณเทวะ ในตอนนี้ก็เป็นเรื่องที่ทำได้แล้ว”
ในใจของท่านปู่จ้าวทั้งยินดี แล้วก็ละอายใจด้วย
ไม่ว่าจะพูดอย่างไรก็ตาม ความตายของหลานชายก็ไม่มีทางเปลี่ยนแปลงได้อีกแล้ว
ในทุกอิริยาบถของ ‘จ้าวเฟิง’ คนใหม่ที่อยู่เบื้องหน้าสามารถเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตของเขาได้
อีกทั้งหากต้องการจะแก้แค้นแทนหลาน สร้างความรุ่งเรืองให้แก่ตระกูลจ้าว บางทียังต้องพึ่งพาบุรุษผู้นี้
“ข้าหวังว่าจะไม่มีคนอื่นล่วงรู้ความลับนี้ไปมากกว่านี้”
ท่านปู่จ้าวขอร้อง เรื่องนี้หากแพร่งพรายออกไปจะไม่เป็นผลดีกับตระกูลจ้าวเลยสักนิด
“ตกลง” จ้าวเฟิงเองก็มีความคิดแบบนี้เช่นกัน
ในวันเดียวกันนั้นเอง
คนระดับสูงของตระกูลจ้าวเปิดการประชุมอย่างลับๆ แล้วจึงเชิญจ้าวเฟิงไปด้วย
“เฟิงเอ๋อร์เป็นความหวังที่ยิ่งใหญ่ในภายหน้าของตระกูลจ้าวแห่งเขาเมฆา บ้านสกุลอินย่อมไม่มีทางถอดใจจากการลอบสังหารแน่” ผู้นำตระกูลจ้าวเทียนอี้เอ่ยออกมา
ในเวลานี้ คนระดับสูงของตระกูลจ้าวรู้แล้วว่าช่วงที่จ้าวเฟิงอยู่ที่สำนักได้โดนสกุลอินลอบสังหารหลายครั้ง
ขอแค่จ้าวเฟิงยังอยู่ ถึงตระกูลจ้าวจะพ่ายแพ้อย่างอนาถเท่าไหร่ก็ย่อมมีโอกาสกลับมายิ่งใหญ่ได้อีกครั้ง
จ้าวเฟิงคนเดิมเป็นอัจฉริยะที่ในพันปีจะเจอหนึ่งครั้งของตระกูลจ้าว ยิ่งไปกว่านั้นยังเข้าร่วมสำนักศักดิ์สิทธิ์วั่นด้วย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลายเดือนที่ผ่านมานี้ อัจฉริยะผู้นี้ได้รับโอกาสอันดี พัฒนารวดเร็วราวติดปีก พลังอำนาจของเขานับวันก็ยิ่งมากขึ้นทุกที
คาดเดาได้ว่า ความสามารถของจ้าวเฟิงโดดเด่นเช่นนี้ ต่อไปอาจจะถูกราชันรับเป็นศิษย์ แล้ว ‘มิติเทพลวงตา’ หลังจากนั้นก็อาจเป็นจุดพลิกผันได้
“พวกท่านเอาข้าไปเป็นเหยื่อล่อได้ตามสบาย” จ้าวเฟิงเอ่ยยิ้มๆ
จุดมุ่งหมายในการมาเยือนของเขาในครั้งนี้คือการกำจัดสกุลอิน
เช้าวันที่สอง
จ้าวเฟิงอยู่โดยลำพัง บินจากป้อมปราการของตระกูลจ้าวเป็นระยะทางหลายร้อยลี้ไปยังยอดเขาแห่งหนึ่ง
ยอดเขาเต็มไปด้วยเมฆหมอกลอยวนเวียนไปมา
จ้าวเฟิงนั่งขัดสมาธิแล้วจึงเริ่มฝึกตน
ยามนี้ จ้าวเฟิงกระตุ้น ‘วิชาหมื่นห้วงคิดเซียน’ เพื่อฝึกกายอัสนีศักดิ์สิทธิ์กับวิชาวายุอัสนีสองประเภทพร้อมกัน
การเปลี่ยนร่างถือกำเนิดใหม่ในครั้งนี้ ไม่จำเป็นต้องฝึก ‘หมื่นห้วงคิดเซียน’ ใหม่อีก
เพียงแค่พลังดวงวิญญาณของเขาฟื้นฟู ‘วิชาหมื่นห้วงคิดเซียน’ ก็สามารถฟื้นฟูได้ถึงขั้นสุดยอดด้วยตัวของมันเอง
นี่เป็นหลักการเดียวกันกับพลังขั้นจักรพรรดิ
เพราะว่าการเปลี่ยนร่างถือกำเนิดใหม่ของจ้าวเฟิง เป็นการเก็บส่วนสำคัญของวิญญาณและจิตสำนึกไว้ที่ดวงตาเทพเจ้า
ในครั้งแรกที่ดวงตาเทพเจ้าหลอมรวมเข้าไปภายในร่างเขา ก็ไม่นับว่าเป็นการยึดร่างอีก
พลังดวงวิญญาณของเขาไม่เปลี่ยนแปลง นี่ถึงเป็นส่วนสำคัญ
จ้าวเฟิงจำได้ว่าครั้งแรกที่ดวงตาเทพเจ้าผสานเข้าในร่างกาย เขาแทบจะสูญเสียกำลังชีวิตทั้งหมดไป
ภายใต้การหล่อเลี้ยงของร่างกายเขา ดวงตาเทพเจ้าค่อยๆ ฟื้นฟู แล้วจากนั้นจึงค่อยๆ ปรับเปลี่ยนร่างกายของเขา
หลายวันจากนั้น พลังฝึกตนของจ้าวเฟิงก็มีพัฒนาการ สามารถแตะขั้นนายเหนือแท้ระดับสูงอย่างสบายๆ
‘วายุอัสนีห้าสาย’ อยู่ในขั้นที่สี่อย่างมั่นคง วายุอัสนีธาตุน้ำในร่างกายก็หล่อเลี้ยงและหล่อหลอมกายอัสนีศักดิ์สิทธิ์
แต่คิดจะให้กายอัสนีศักดิ์สิทธิ์ทะลวงผ่านอุปสรรคของขั้นที่สี่ ยังคงต้องใช้เวลาอีกสักหน่อย
“ทันทีที่กายอัสนีศักดิ์สิทธิ์บรรลุผ่านขั้นที่สี่ เพียงแค่ร่างกายของข้าก็สามารถเอาชนะขอบเขตแก่นก่อกำเนิดได้”
ในใจของจ้าวเฟิงคาดหวังรอคอยเล็กน้อย
ขั้นที่สี่ของกายอัสนีศักดิ์สิทธิ์เป็นเส้นแบ่งขอบเขตจริงๆ เหมือนกับขั้นที่สี่ถึงขั้นที่หกของวิชาวายุอัสนีห้าสาย
คืนวันนี้
ฟิ้ว ฟิ้ว!
บนท้องฟ้ามืดปรากฏเงาดำสิบกว่าร่าง
“เจ้าเด็กนั่นยังสามารถฝึกตนได้เหมือนกับรอบข้างไม่มีคน”
“ฮึ นี่เห็นได้ชัดว่าเป็นแผนการล่อเหยื่อของตระกูลจ้าว แต่ว่าพลังของพวกเราก็เหนือกว่าตระกูลจ้าว จับพวกมันทั้งหมดได้ในคราวเดียว”
เงาสีดำสิบกว่าร่างนี้ กลิ่นอายอ่อนแอที่สุดเป็นขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับต่ำช่วงปลาย
ผู้นำทั้งสองเป็นชายหนึ่งหญิงหนึ่ง ล้วนอยู่ในขั้นครึ่งก้าวสู่ราชัน
“มู่เยวี่ย เจ้านำกำลังคนล้อมจัดการคนระดับสูงคนอื่นของตระกูลจ้าว ข้าจะไปสังหารเด็กนั่นด้วยตัวข้าเอง”
บุรุษหนุ่มร่างกำยำพูดขึ้น
“กู่หง ก็แค่ขั้นนายเหนือแท้คนหนึ่ง ต้องให้เจ้าลงมือด้วยตนเองด้วยหรือร?”
หนึ่งในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูงเอ่ยขึ้น
กู่หงบุรุษร่างกำยำผู้นั้นเอ่ยว่า “ตามข้อมูลยืนยันบางส่วน เจ้าเด็กคนนี้ร้ายกาจอย่างยิ่ง ร่างกายมีความลับไม่น้อย” ดวงตากู่หงเป็นประกาย แล้วยังฉายแววละโมบออกมา
ผู้เยาว์ที่อยู่ขั้นมนุษย์แท้คนหนึ่ง เพียงระยะเวลาสั้นๆ ไม่กี่เดือนก็เปลี่ยนแปลงอย่างมากเช่นนี้ หากว่าตัวเขาไม่มีความลับใด พูดออกไปใครก็ไม่เชื่อ
“ไป!” กู่หงออกคำสั่ง เงาสิบกว่าร่างมุ่งไปยังยอดเขาที่จ้าวเฟิงอยู่
‘มู่เยวี่ย’ ที่เป็นผู้นำอีกคนหนึ่งเป็นสตรีอรชรอ้อนแอ้น พลังฝึกตนอยู่ในขั้นครึ่งก้าวสู่ราชัน
กองกำลังที่นางนำมามีขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูงสามคน ขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับต่ำช่วงปลายและช่วงสุดยอดเก้าคน
“บุก!”
เงาดำกลุ่มหนึ่งเพิ่งจะเข้าใกล้ระยะสองสามร้อยลี้ของยอดเขาที่จ้าวเฟิงอยู่ ก็ถูกจับได้เสียแล้ว
ยอดเขาที่จ้าวเฟิงอยู่ คนระดับสูงของตระกูลจ้าวในระยะสองร้อยลี้กระโดดออกมาโจมตี
“ฆ่าให้หมด”
กู่หงและมู่เยวี่ย ครึ่งก้าวสู่ราชันทั้งสองคนปลดปล่อยพลังออกมา
มองกลับมาที่ฝั่งของตระกูลจ้าว มีเพียงผู้อาวุโสสูงสุดในขั้นครึ่งก้าวสู่ราชันหนึ่งคน ที่เหลือมีพลังของขอบเขตแก่นก่อกำเนิด ซึ่งไม่อาจเทียบได้กับฝั่งนั้น
“ระวัง! ครึ่งก้าวสู่ราชันทั้งสองคนของฝ่ายตรงข้ามออกมาแล้ว”
เสียงของผู้อาวุโสสูงสุดตระกูลจ้าวดังกึกก้อง
ครึ่งก้าวสู่ราชันสองคนของบ้านสกุลอินล้วนแต่เป็นกำลังหนุนจากภายนอก มีคนของสกุลอินเพียงหนึ่งในสามเท่านั้น
“ตาเฒ่า หยุด!” มู่เยวี่ยที่อยู่ในขั้นครึ่งก้าวสู่ราชัน ในมือถือกระบี่สีเงิน เมื่อฟันฉับจะเปล่งประกายแสงเมฆอัสนีมายา และตัดแบ่งยอดเขาหลายลูกในชั่วพริบตา
“อ๊าก…” คนระดับสูงของตระกูลจ้าวคนหนึ่งที่อยู่ใกล้เคียง ถูกคลื่นพลังนั้นตัดขาดเป็นสองท่อนอย่างรวดเร็ว
ผู้อาวุโสสูงสุดของตระกูลจ้าวทำได้เพียงโต้กลับไป จะถอยก็ไม่ได้แล้ว
แต่ทว่า ‘กู่หง’ ที่มีพลังแข็งแกร่งยิ่งกว่า กลับบุกเดี่ยวตรงดิ่งไปที่ยอดเขาเพื่อสังหารจ้าวเฟิง
คนระดับสูงของตระกูลจ้าวถูกกดดันและควบคุมจนไร้แรงตอบโต้
“เฟิงเอ๋อร์!”
ไม่รู้ว่าตอนไหนที่ท่านปู่จ้าวปรากฏกายที่เบื้องหลังของจ้าวเฟิง ใบหน้าที่มีร่องรอยของกาลเวลาเต็มไปด้วยความวิตกกังวล น้ำเสียงสั่นสะท้าน ขณะมองไปที่ครึ่งก้าวสู่ราชันที่หัวเราะอย่างบ้าคลั่งและกำลังเข้ามาใกล้
เมี้ยว! แมวขโมยตัวน้อยกระโดดขึ้นบนไหล่
“ข้าจัดการเอง…” จ้าวเฟิงยกมือขึ้นหยุดการเคลื่อนไหวของเจ้าแมวขโมยตัวน้อย
เมื่อเอ่ยจบ ผมสีดำของเขาก็เปลี่ยนเป็นสีม่วงปลิวไสวไปตามลม
“เมืองวงกตมายา!”
ดวงตาข้างซ้ายของจ้าวเฟิงเกิดกระแสสีม่วงที่เหมือนหมอกควันค่อยๆ หมุนวนอยู่ภายใน
วูบ!
สภาพของฟ้าดินฝั่งหนึ่งเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างพลิกฟ้าพลิกแผ่นดิน
“เกิดอะไรขึ้น!”
ยอดฝีมือของฝั่งสกุลอินตกเข้าไปในเมืองมายาโบราณที่ปกคลุมไปด้วยหมอกควัน ได้แต่หมุนไปมาอยู่ที่เดิม
คนเหล่านี้เหมือนกับถูก ‘ตารางเขาวงกต’ ที่ไร้รูปร่างตัดขาดจากพื้นที่อีกแห่ง ไม่ว่าจะโจมตีรุนแรงอย่างไรก็จำกัดอยู่ในรัศมีไม่กี่จั้ง
“เมืองวงกตมายา นี่เป็นวิชาลวงตาในระดับลึกซึ้ง” จ้าวเฟิงยังนั่งอยู่ที่เดิม
ถึงแม้ว่าพลังดวงวิญญาณของเขาจะฟื้นคืนเพียงหนึ่งในสิบของช่วงสูงสุด แต่วิชาดวงตาของดวงตาเทพเจ้ายังสามารถทำร้ายราชันธรรมดาได้ไม่น้อย
“อ๊าก อ๊าก…”
เสียงร้องโหยหวนดังออกมาจากเมืองวงกตมายาไม่ขาดสาย
ภายใต้ ‘เมืองวงกตมายา’ ในระดับลึกซึ้ง เหล่ายอดฝีมือของตระกูลจ้าวกลับไม่ได้รับผลกระทบสักนิด
หลังจากเวลาจิบชาครึ่งถ้วย ยอดฝีมือของบ้านสกุลอินก็ตายจนหมด
จ้าวเฟิงยังคงนั่งอยู่ที่เดิม ตั้งแต่เริ่มต้นจนเรื่องนี้จบลง เขายังไม่ได้ขยับตัวเลยสักนิดเดียว
ใบหน้าของท่านปู่จ้าวตื่นตกใจ
เขาเห็นเพียงแต่ว่าจ้าวเฟิงใช้ดวงตาซ้ายจ้องเขม็ง แล้วยอดฝีมือทั้งหมดของบ้านสกุลอินก็ยืนนิ่งอยู่กับที่ ยอมให้คนสังหารแต่โดยดี