บทที่ 782 หนานเฟิงอ๋อง
องค์ชายแปดยืนเหม่อลอยเล็กน้อยอยู่ด้านหน้าจวน
เดิมทีเขามาเป็นเพื่อนท่านหญิงอวี่ชิงเพื่อต้อนรับการมาเยือนของจ้าวเฟิง
แต่คาดไม่ถึงว่า ‘หนานเฟิงอ๋อง’ ผู้เป็นเจ้าของจวนจะปรากฏกายขึ้นข้างๆ ยืนไพล่หลังมองวิหคนิลกาฬที่ค่อยๆ บินเข้ามาใกล้
วิหคนิลกาฬเพิ่งจะมาถึง จ้าวเฟิงก็สัมผัสได้ถึงความรู้สึกกดดันในแววตา
ความรู้สึกกดดันนั้นตรงดิ่งมาที่ดวงวิญญาณ มีอำนาจแหลมคมทะลวงผ่านทุกสรรพสิ่ง
“หนานเฟิงอ๋อง?”
จ้าวเฟิงรู้สึกประหลาดใจอยู่เช่นกัน แววตาจับจ้องไปยังร่างชายวัยกลางคนในชุดทองผู้องอาจไม่ธรรมดา
ทั่วทั้งดินแดนเกาะเทียนเฟิงมีจักรพรรดิปราณเทวะอยู่ไม่กี่คนเท่านั้น
หนานเฟิงอ๋องเองก็เป็นยอดฝีมือหนึ่งในนั้นด้วย ความน่าเกรงขามของโชคชะตาบนร่างเขาย่อมต้องเห็นอย่างชัดเจน
ในวินาทีที่ดวงตาประสานกัน จ้าวเฟิงเองก็พอจะคะเนพลังของ ‘หนานเฟิงอ๋อง’ ได้อย่างคร่าวๆ
อย่างแรก หนานเฟิงอ๋องจะต้องเป็นจักรพรรดิชั้นยอดอย่างแน่นอน พลังฝึกตนของเขาใกล้จะแตะเซียนในขอบเขตเทวาเร้นลับอย่างมาก
อย่างที่สอง บนร่างของฝ่ายตรงข้ามยังได้การค้ำจุนจากพลังแห่งโชคชะตาอย่างมหาศาล
จ้าวเฟิงสามารถคาดการณ์ได้ว่า กำลังรบของหนานเฟิงอ๋องน่าจะอยู่ในระดับเดียวกับจักรพรรดิแห่งความตายเป็นอย่างน้อย
แน่นอนว่านี่พูดถึงเพียงแค่กำลังรบเท่านั้น
หากจะพูดถึงระดับความน่ากลัว จักรพรรดิแห่งความตายที่ครอบครองเนตรมรณะและช่ำชองวิชาต้องห้ามน่าสะพรึงต่างๆ รับมือยากยิ่งกว่า พวกเคล็ดวิชาต้องห้ามอย่างเช่น ‘คำสาปมรณะ’ ‘เงาเทพมรณะ’ ทำให้เซียนในขอบเขตเทวาเร้นลับหวาดกลัวได้
“คนรุ่นหลังน่ากลัวจริงๆ”
ในวินาทีที่คนทั้งสองประสานสายตากัน แววตาของหนานเฟิงอ๋องเป็นประกาย
เวลาเดียวกัน เขายังประหลาดใจอยู่ส่วนหนึ่ง เด็กหนุ่มที่มีอายุเพียงสิบสี่สิบห้าปีผู้นั้นเจอกับคนขั้นอ๋องโหวยังเยือกเย็นได้มากถึงเพียงนี้
“ให้ท่านอ๋องต้องมารับด้วยตนเอง จ้าวเฟิงได้รับความเมตตาอย่างใหญ่หลวง”
จ้าวเฟิงก้าวไปทำความเคารพด้านหน้าอย่างอ่อนน้อมถ่อมตน
ยามนี้ท่านหญิงอวี่ชิงเดินมาอย่างยินดี ในดวงตาสุกใสฉายแววชื่นชมบูชาและรอคอย
“จ้าวเฟิง เข้ามาคุยกันด้านในก่อน”
หนานเฟิงอ๋องยิ้มออกมา รอยยิ้มนั้นนับว่าเปิดเผยตรงไปตรงมามาก
หลังจากนั้นสักครู่ ภายในสวนที่เต็มไปด้วยมวลดอกไม้บานสะพรั่ง ณ จวนอ๋องโหว
หนานเฟิงอ๋อง องค์ชายแปด จ้าวเฟิง ท่านหญิงอวี่ชิง นั่งอยู่ภายในเก๋งจีนโบราณแห่งหนึ่ง
จ้าวเฟิงจิบชาเข้าไปอึกหนึ่ง แล้วมองออกไปนอกเก๋งจีน ทิวทัศน์ที่เต็มไปด้วยเสียงสกุณาและกลิ่นของมวลบุปผาทำให้รู้สึกรื่นรมย์ไม่น้อย
ปราดมองเพียงผ่านๆ จ้าวเฟิงก็อดถอนใจให้ความหรูหราของจวนอ๋องโหวแห่งนี้ไม่ได้
ดอกไม้ทุกต้นใบหญ้าทุกใบภายในสวนแห่งนี้ ล้วนแต่เป็นพฤกษานานาพรรณที่มูลค่าประมาณไม่ได้ ยังมีส่วนหนึ่งเป็นทรัพยากรล้ำค่าเก่าแก่ที่สูญพันธุ์ไปแล้วในโลกภายนอกอีกด้วย
หากได้ฝึกตนที่นี่ ผลประโยชน์ที่สิ่งแวดล้อมนำมาให้มากมายไม่น้อยเลยทีเดียว
มองออกได้จากจุดนี้เลยว่า ข้าราชบริพารระดับสูงของราชสำนักและตระกูลชนชั้นสูงในราชวงศ์ต้าเฉียนจะมีสภาพความเป็นอยู่อย่างไร
ในตอนแรกที่เจรจากัน หนานเฟิงอ๋องก็ได้ถามถึงสถานการณ์ของตระกูลจ้าว และความรู้สึกที่ฝึกฝนอยู่ในสำนัก
แล้วยังถามประโยคหนึ่งด้วยว่า “สหายจ้าว เจ้าอยู่ที่สำนักศักดิ์สิทธิ์วั่นมีความสุขดีหรือไม่?”
ประโยคนี้กระตุ้นประสาทสัมผัสว่องไวขององค์ชายแปดขึ้นมา
“ดูท่าทางแล้ว เจตนาที่หนานเฟิงอ๋องจะชักจูงจ้าวเฟิงมาเป็นพวกรุนแรงอย่างยิ่ง ยังไม่ทันพูดถึงว่าจ้าวเฟิงจะปลุก ‘ไหมเมฆาผีเสื้อเซียน’ ให้ตื่นขึ้นอีกครั้งได้หรือไม่ด้วยซ้ำไป”
องค์ชายแปดลอบคิดในใจ
คำตอบของจ้าวเฟิงเป็นกลางยิ่ง เขาเอ่ยด้วยคำพูดเกรงใจพอเป็นพิธี
เขาเปลี่ยนหัวข้อไปอย่างรวดเร็ว โดยเอ่ยถึงเรื่องที่จะปลุก ‘ไหมเมฆาผีเสื้อเซียน’
ไม่มีมัน ความตั้งใจหลักๆ ของจ้าวเฟิงล้วนแต่ทุ่มเทไปที่ ‘การฝึกตนใหม่’ ไม่สนใจการแก่งแย่งชิงดีอะไรทั้งสิ้น
ในตอนนี้ เขาต้องเตรียมพื้นฐานพลังทั้งหมดเพื่อใช้ในยามเปิดผนึก ‘มิติเทพลวงตา’
“ดีแล้ว ดีแล้ว! สหายจ้าวเป็นคนที่เปิดเผยตรงไปตรงมาดังคาด”
หนานเฟิงอ๋องชื่นชมเล็กน้อย
เขามองออกว่าจ้าวเฟิงเป็นคนที่ค่อนข้าง ‘เน้นปฏิบัติ’ ไม่ชอบอ้อมค้อม
ทันใดนั้นเอง หนานเฟิงอ๋องโบกมือไล่ข้ารับใช้ที่อยู่ในละแวกนั้นออกไป หยิบขวดที่ทำจากแก้วโปร่งใสออกมา
ภายในขวดแก้วนั้นมีหนอนไหมตัวอ้วนกลมที่แวววาวราวหยกกำลังหลับลึก มีปีกกึ่งโปร่งแสงคู่หนึ่ง
มองผ่านๆ ยังคิดว่าเป็นสมบัติหยกที่ราวกับมีชีวิต
กลิ่นอายชีวิตของไหมเมฆาผีเสื้อเซียนยังคงเบาบางจนแทบจะสัมผัสไม่ได้ ถึงกระทั่งว่าองค์ประกอบของชีวิตบางส่วนหยุดชะงักไป
ดวงตาซ้ายของจ้าวเฟิงผุดชั้นแสงมายาสีม่วงที่เลือนรางราวหมอกควันขึ้นน้อยๆ
เมี้ยว เมี้ยว!
เจ้าแมวขโมยตัวน้อยมุดออกมาจากแหวนเหล็กโบราณ ปีนขึ้นไปยังด้านหน้าของขวดแก้ว แล้วมองอย่างสนอกสนใจ
ความไม่ธรรมดาของหนึ่งคนหนึ่งแมว ทำให้แววตาของหนานเฟิงอ๋องเป็นประกายขึ้นเล็กน้อย
“จ้าวเฟิง นี่คือสิ่งของที่เจ้าขอบนรายการคราวก่อน”
หนานเฟิงอ๋องส่งแหวนมิติวงหนึ่งให้
จ้าวเฟิงรับแหวนมาตรวจสอบสักครู่ แล้วจึงผงกศีรษะน้อยๆ
ภายในแหวนมิติวงดังกล่าวมีวารีคืนชีวิตและสมบัติล้ำค่าในศาสตร์วิญญาณ
ต่อจากนั้น จ้าวเฟิงก็เอาของเหลวสีแดงอ่อนขวดหนึ่งออกมาจากแหวนเหล็กโบราณของตน ของเหลวนี้มองเผินๆ เหมือนน้ำผลไม้อย่างหนึ่ง
“นี่คือโอสถที่ข้าทำขึ้นในช่วงเดือนที่ผ่านมานี้” จ้าวเฟิงอธิบาย
หนานเฟิงอ๋องประหลาดใจเล็กน้อย ข่าวคราวที่สืบมาได้จากยอดฝีมือที่เขาส่งไปคือ ในระยะหนึ่งเดือนที่ผ่านมาจ้าวเฟิงปิดผนึกเพื่อฝึกฝน
ในความเป็นจริง
ของเหลวขวดนี้คือสิ่งที่จ้าวเฟิงใช้เวลาว่างทำขึ้น
หลังจากที่ ‘กายสายฟ้าปฐพีทอง’ ทะลวงผ่านขั้นที่สี่แล้ว จ้าวเฟิงก็สามารถอยู่ในห้วงฝันบรรพกาลได้ช่วงระยะเวลาหนึ่ง
วัตถุดิบภายในขวดนี้มีน้ำค้างที่เกาะกลุ่มจากบนหอคอยพฤกษา แล้วยังมีน้ำที่เอามาจากภายในห้วงฝันบรรพกาล
นอกจากนี้ยังมีน้ำผลไม้ที่บดจากผลไม้จิตวิญญาณอีกครึ่งลูกด้วย
ลักษณะพิเศษที่เหมือนกันของวัตถุดิบเหล่านี้คือ พวกมันแฝงไปด้วยไอสวรรค์ในฟ้าดินของห้วงฝันบรรพกาล และยังมีกลิ่นอายที่เหมือนกับยุคบรรพกาลอีกด้วย
ผลไม้จิตวิญญาณจากห้วงฝันย่อยสลายค่อนข้างยาก
คุณสมบัติร่างกายของจ้าวเฟิงในตอนนี้ดูดซึมได้ช้า
ถ้าหากว่า ‘กายสายฟ้าปฐพีทอง’ เพิ่มขึ้นไปอีกขั้น ก็จะทำให้สัดส่วนการดูดซึมเพิ่มขึ้นมาก
ถัดจากนั้น
จ้าวเฟิงเอาวารีคืนชีวิตและทรัพยากรศาสตร์วิญญาณในสภาวะของเหลวหลายอย่างรวมเข้าไปภายใน ‘น้ำผลไม้’ สีแดงอ่อน
ในขั้นตอนทั้งหมดนี้ ของเหลวนั้นโชยกลิ่นหอมอ่อนๆ
หลังจากนั้น
จ้าวเฟิงก็ให้หนานเฟิงอ๋องหย่อน ‘ไหมเมฆาผีเสื้อเซียน’ ที่อยู่สภาวะหลับใหลลงไปในของเหลวที่เป็นน้ำผลไม้นี้
ดูจากที่ผ่านมา ไหมเมฆาผีเสื้อเซียนหลับสนิทอีกครั้งเป็นเพราะกลไกการป้องกันตัวเอง อาจจะถึงขั้นต่อต้านพลังจากภายนอกทั้งหมด
แต่ที่น่าแปลกใจคือ เมื่อหย่อนไหมเมฆาผีเสื้อเซียนลงไปภายในของเหลวแล้ว กลับไม่มีสัญญาณต่อต้านที่ชัดเจนนัก
ปุด ปุด ปุด!
ภายในน้ำผลไม้เกิดเป็นฟองอากาศน้อยๆ
ร่างของไหมเมฆาผีเสื้อเซียนนั่นราวสนิทชิดเชื้อกับของเหลวดังกล่าว
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ไม่ได้อยู่นอกเหนือจากความคาดหมายของจ้าวเฟิง
ในตอนที่ทดลองคราวก่อน เขาเป่ากลิ่นอายของ ‘ห้วงฝันบรรพกาล’ ใส่ไหมเมฆาผีเสื้อเซียนไปคราหนึ่ง
ตาซ้ายของจ้าวเฟิงโคจรพลังดวงตากับพลังวิญญาณของดวงตาเทพเจ้า และหลอมรวมเข้าไปภายในของเหลวนั้นเพื่อกระตุ้นชีวิตของไหมเมฆาผีเสื้อเซียน
เมี้ยว เมี้ยว เมี้ยว!
เจ้าแมวขโมยตัวน้อยโบกกรงเล็บไปมา ขณะพูดคุยกับไหมเมฆาผีเสื้อเซียนตัวนั้น
ภาษาแปลกประหลาดควบคู่กับพลังดวงตาและวิญญาณของจ้าวเฟิง ทำให้ปีกของไหมเมฆาผีเสื้อเซียนกระพือน้อยๆ ลำตัวอวบอ้วนของมันขยับเขยื้อนนิดหน่อยเช่นกัน
“สัญญาณชีวิตกำลังย้อนกลับมา…” หนานเฟิงอ๋องฉายแววปีติออกมาบนใบหน้า
ในเวลานี้ เขาเองก็สัมผัสได้ว่าสายเลือดดวงตาของจ้าวเฟิงสาดซัดกลิ่นอายที่น่ากลัวออกมาจางๆ แม้กระทั่งสายเลือดราชวงศ์ของตนเองยังสะเทือนอย่างหวาดกลัว
ภาษาแปลกประหลาดของเจ้าแมวขโมยตัวน้อยเหมือนมีทำนองพิลึก
ความประหลาดลึกลับของหนึ่งคนหนึ่งแมว แม้กระทั่งความรู้และประสบการณ์ของหนานเฟิงอ๋องยังมองไม่ปรุโปร่ง
พลังดวงตาและดวงวิญญาณของจ้าวเฟิงกับภาษาประหลาดของเจ้าแมวขโมยตัวน้อย เกิดขึ้นต่อเนื่องเป็นเวลาสิบช่วงลมหายใจ
ในวินาทีหนึ่งนั้นเอง พลังดวงตาและดวงวิญญาณของจ้าวเฟิงถึงขั้นปลดปล่อยกลิ่นอายพลังอัสนีเทวะออกมา
และในที่สุด!
ปีกและลำตัวที่อวบอ้วนของไหมเมฆาผีเสื้อเซียนสั่นเทา ค่อยๆ เปิดนัยน์ตาราวกับหยกเขียวขึ้นช้าๆ
วินาทีที่มันเปิดเปลือกตาออกมา กลิ่นอายที่น่ากลัวของยุคบรรพกาลก็ทำให้ใจและกายของยอดฝีมือนับไม่ถ้วนทั้งจวนอ๋องโหวต้องสั่นสะท้าน
“แววตาน่ากลัวนัก!”
จ้าวเฟิงเอ่ยอันใดไม่ออก ไม่เสียทีที่เป็นเผ่าพันธุ์สายเลือดรายชื่อหมื่นเผ่าพันธุ์โบราณ ขนาดเป็นเวลาอ่อนแอที่เพิ่งจะเปิดเปลือกตาตื่นขึ้นอีกครั้งเท่านั้น
เพื่อหลบเลี่ยงเจตนาอันไม่เป็นมิตร จ้าวเฟิงจึงเก็บพลังดวงตาและพลังวิญญาณเข้าไป
เมี้ยว เมี้ยว เมี้ยว!
กลับเป็นเจ้าแมวขโมยตัวน้อยที่โบกกรงเล็บไปมา เจรจากับไหมเมฆาผีเสื้อเซียนตัวนั้น
ไหมเมฆาผีเสื้อเซียนเหมือนว่าจะเข้าใจ จ้องมองเจ้าแมวขโมยอยู่สักครู่ แววตาไม่เป็นมิตรก็จางหาย
จากนั้นจึงเห็นร่างของมันเริ่มดูดซึมของเหลวที่แช่อยู่อย่างรวดเร็ว
วิ้ง!
ปีกโปร่งแสงทั้งสองข้างของไหมเมฆาผีเสื้อเซียนเปล่งแสงสดใสราวแก้วกระจกออกมาชั้นหนึ่ง ช่างงดงามชวนให้หลงใหล
แต่ว่ากลิ่นอายกลุ่มนั้นบนร่างมันกลับทำให้ผู้คนตื่นตระหนกอย่างยิ่ง
ขนาดผู้มีพลังฝึกตนขั้นราชันที่แข็งแกร่งอย่างองค์ชายแปด ยังเกิดความกระวนกระวายอย่างหนึ่งจากร่างกาย จิตใจ และสายเลือด
“พลังฝึกตนของไหมเมฆาผีเสื้อเซียนตัวนี้อยู่ในขั้นจักรพรรดิเป็นอย่างน้อย บวกกับพลังสายเลือดที่พิเศษยิ่งของมัน สามารถเทียบเท่าได้กับเซียนในขอบเขตเทวาเร้นลับ…”
แววตาของจ้าวเฟิงเป็นประกาย
เขาเข้าใจพลังพิเศษของไหมเมฆาผีเสื้อเซียนในระดับหนึ่ง
มันมีสามสภาวะด้วยกันคือ หนอนไหม ดักแด้ และผีเสื้อ
ในสภาวะของ ‘หนอนไหม’ ค่อนข้างจะอ่อนแอ แต่พ่นใยไหมเมฆาที่พิเศษอย่างยิ่งได้ สามารถทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพในขั้นใหม่
ใยไหมเมฆานั้นมีสมญาว่าอยู่ยงคงกระพัน ความสามารถในการพันธนาการแข็งแกร่งอย่างยิ่ง
หนำซ้ำใยไหมเมฆานี้สามารถสร้างของล้ำค่าอย่างเกราะป้องกันชั้นยอดขึ้นมาได้
เมื่ออยู่ในสภาวะ ‘ดักแด้’ จะมีพลังในการป้องกันที่แข็งแกร่งที่สุด ยอดฝีมือที่อยู่เหนือกว่ากันขั้นหนึ่งก็ยากจะโจมตีมันอย่างซึ่งๆ หน้า
หรือจะพูดได้ว่า ใยของไหมเมฆาในขอบเขตปราณเทวะ ต่อให้เป็นเซียนในขอบเขตเทวาเร้นลับก็ยังไม่อาจจัดการได้
เมื่ออยู่ในสภาวะ ‘ผีเสื้อ’ พลังโจมตีและการพลิกแพลงแข็งแกร่งอย่างยิ่ง เกสรดอกไม้ประหลาดที่สาดซัดออกมามีพลังลึกลับเกินจะเปรียบ
เวลาผ่านไปสักครู่
ไหมเมฆาผีเสื้อเซียนดูดซึมน้ำผลไม้ในขวดไปครึ่งหนึ่ง ระบบชีวิตกับดวงวิญญาณที่บาดเจ็บสาหัสได้รับการรักษาในระดับหนึ่งแล้ว
“ในที่สุดก็ตื่นแล้ว…”
ใบหน้าของหนานเฟิงอ๋องยากที่จะควบคุมความรู้สึกปลื้มปีติและตื่นเต้นที่ปรากฏออกมา
ไหมเมฆาผีเสื้อเซียนตัวนี้มีความสามารถที่ส่งผลต่อชะตาชีวิตได้
จ้าวเฟิงเองก็ล่วงรู้ถึงความลับภายในนั้น ไหมเมฆาผีเสื้อเซียนอยู่ในสายเลือดรายชื่อหมื่นเผ่าพันธุ์ ถึงแม้ว่าอันดับจะไม่สูงส่งนัก แต่กลับมีคุณสมบัติที่ช่วยส่งเสริมอย่างแกร่งกล้า
“ในยามที่ไหมเมฆาผีเสื้อเซียนปรากฏเมื่อครั้งก่อน เคยเข้าร่วมการล้อมฆ่าราชันปีศาจในขอบเขตเทวาเร้นลับของ ‘ราชวงศ์จันทราทมิฬ’ แล้วยังทำสำเร็จในครั้งเดียว มีประโยชน์อย่างยิ่ง”
ในแววตาขององค์ชายแปดฉายแววริษยาออกมาอย่างอดไม่ได้
และแน่นอน เขายังรู้อีกด้วยว่าพลังจากเกสรของไหมเมฆาผีเสื้อเซียนมีส่วนช่วยผลักดันให้ดวงวิญญาณและกายเนื้อประสานกันเป็นหนึ่ง สำหรับการฝึกฝนกายของขอบเขตเทวาเร้นลับ
โดยเฉพาะหนานเฟิงอ๋องผู้มีฐานะเป็นนายและยังอยู่ในสถานะจักรพรรดิชั้นยอด จะทะลวงผ่านขั้นเซียนในขอบเขตเทวาเร้นลับก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร
ผ่านไปสักพัก ไหมเมฆาผีเสื้อเซียนก็ตกเข้าสู่ห้วงนิทราอีกครั้ง
“ไหมเมฆาผีเสื้อเซียน กำลังชีวิตของมันถูกปลุกให้ตื่นแล้ว เพียงแค่ท่านอ๋องเพิ่มด้านชีวิตและดวงวิญญาณให้กับมัน ก็จะทำให้มันดีขึ้นหรือกลับไปสู่สภาวะสุดยอดได้” จ้าวเฟิงเอ่ยตอบ
รอเขากลับมาในคราวหน้า ไหมเมฆาผีเสื้อเซียนก็จะตื่นอย่างเต็มที่
“จ้าวเฟิง ลำบากเจ้าออกหน้า นอกเหนือจากการตอบแทนที่น่าจะได้ ข้าหนานเฟิงอ๋องติดบุญคุณของเจ้าครั้งหนึ่ง” หนานเฟิงอ๋องหน้าแดงก่ำอย่างซาบซึ้งใจ
ดูเหมือนว่าจะปีติยินดีอย่างยิ่ง เขายังยื่นมือออกมาตบบ่าจ้าวเฟิงเบาๆ
องค์ชายแปดลอบถอนหายใจ จ้าวเฟิงผู้นี้ได้รับความรู้สึกดี ความซาบซึ้งใจ กระทั่งความชื่นชมจากหนานเฟิงอ๋อง
ต่อมาก็จะเป็นปัญหาเรื่องการตอบแทนและของรางวัล
“จ้าวเฟิง ถ้าหากว่าเจ้ายินดีเข้าร่วมกับจวนอ๋องโหว ตัวข้าก็ยินดีจะมอบบรรดาศักดิ์ ‘ป๋อ’ ที่ข้ามีสิทธิ์ให้ในรอบสามร้อยปีนี้เป็นรางวัลกับเจ้า” หนานเฟิงอ๋องเอ่ยอย่างเคร่งขรึม
บรรดาศักดิ์ป๋อ?
องค์ชายแปดและท่านหญิงน้อยที่อยู่ข้างๆ ใจเต้นระรัว