บทที่ 785 ตื่นจากหลับใหล
ศิษย์พี่ก่วงเถียนเป็นลูกศิษย์ของลิ่วฉยงอ๋อง แต่เป็นเพียงลูกศิษย์ในนาม ไม่ใช่ลูกศิษย์ผู้สืบทอด
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้าทำให้ยากจะยอมรับได้
ในใจของเขา อาจารย์ผู้เป็นราชันที่สูงส่งอย่างยิ่ง กลับแย่งชิงศิษย์เพียงคนหนึ่งอย่างไม่สนใจภาพลักษณ์ใดๆ
สิ่งที่ทำให้เขารับไม่ได้ที่สุดคือ คนที่ราชันทั้งสามแย่งชิงเป็นจ้าวเฟิงซึ่งเขารับมือด้วยมาอย่างยาวนาน
ช่วงนี้มีข่าวคราวเกี่ยวกับจ้าวเฟิงเรื่องแล้วเรื่องเล่าเข้ามาทำลายความรู้ความเข้าใจของศิษย์พี่ก่วง
ว่ากันว่า จ้าวเฟิงได้รับคำชื่นชมจากหนานเฟิงอ๋อง กลายเป็นจุดเด่นของงานเลี้ยงในจวน
ขนาดสกุลอินที่อยู่ในสามลำดับแรกของดินแดนเกาะใหญ่ ยังต้องไปขอโทษถึงตระกูลจ้าว
และเรื่องที่เกินความคาดหมายกว่านั้นคือ
จ้าวเฟิงยังปฏิเสธคำแนะนำให้รับ ‘ตำแหน่งป๋อ’ ของหนานเฟิงอ๋อง
ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้น หนานเฟิงอ๋องก็ยังคงติดหนี้บุญคุณจ้าวเฟิงอยู่เรื่องหนึ่ง
แต่ในตอนนี้ ราชันในขอบเขตปราณเทวะทั้งสามคนกำลังแย่งกันรับจ้าวเฟิงเป็นลูกศิษย์
“บนร่างของจ้าวเฟิง ตกลงแล้วมีเหตุการณ์ประหลาดอะไรเกิดขึ้นกันแน่? หลังจากที่กลับมาจากป่าไร้เลือนรางในครั้งนั้น…”
ศิษย์พี่ก่วงเหม่อลอยไร้สติ
ในเวลาเดียวกัน เขาเองก็เกิดความสงสัยและคาดเดาไปต่างๆ นานาเรื่องการเปลี่ยนแปลงอย่างมหาศาลบนร่างของจ้าวเฟิง
แต่ความสงสัยและการคาดเดาเหล่านั้น ต่อให้เป็นจริงแล้วจะทำอย่างไรได้?
มีคนระดับสูงของตระกูลจ้าวไม่มากที่รู้เรื่อง ‘จ้าวเฟิง’ ถูกแฝงร่าง แต่กลับยังคิดหาวิธีเก็บความลับนี้เอาไว้
“ขอบคุณความเมตตาของผู้อาวุโสทั้งสาม”
จ้าวเฟิงเปิดปากเอ่ยอย่างไม่แยแส แหงนศีรษะมองลำแสงทรงพลังสามเส้นสายกลางอากาศ
ยามนั้น ศิษย์หลักอยู่รอบๆ แต่ละคนกลั้นลมหายใจ รอคอยการตัดสินใจของจ้าวเฟิง
สำหรับบรรดาศิษย์คนสำคัญแล้ว โอกาสเช่นนี้จะต้องเป็นจุดหักเหของชีวิตอย่างแน่นอน
ไม่อาจจะคาดคิดได้เลย จ้าวเฟิงผู้นั้นยังสามารถสงบนิ่ง ไม่ตื่นตระหนกได้
“แต่ต้องขอโทษด้วย ข้าได้กราบจักรพรรดิปราณเทวะท่านหนึ่งเป็นอาจารย์แล้ว”
จ้าวเฟิงเอ่ยออกมาอย่างไม่ทุกข์ไม่ร้อน โยนระเบิดลูกใหญ่ออกไป
จักรพรรดิปราณเทวะ!
ไม่ว่าจะเป็นบรรดาศิษย์ที่อยู่ในเหตุการณ์หรือราชันขอบเขตปราณเทวะทั้งสามคนล้วนตื่นตกใจกันหมด
“มิน่าละ จ้าวเฟิงผู้นี้ถึงเกิดการเปลี่ยนแปลงมากมายเช่นนี้ นี่ไม่ใช่สิ่งที่คำว่าโอกาสจะอธิบายได้ ที่แท้แล้วเขาได้กราบจักรพรรดิผู้หนึ่งเป็นอาจารย์แล้ว”
แววตาของบรรดาลูกศิษย์ที่จับจ้องไปยังจ้าวเฟิงฉายแววอิจฉาริษยาออกมาอย่างชัดเจน
ตุ้บ!
ศิษย์พี่ก่วงผู้นั้นตื่นตกใจ ขาอ่อนจนทรุดลงนั่งกับพื้น
คาดไม่ถึงว่าสถานะศิษย์ผู้สืบทอดที่เขาใฝ่ฝัน จ้าวเฟิงจะไม่แยแส แถมยังปฎิเสธไม่เป็นศิษย์ของราชันทั้งสามคนในเวลาเดียวกัน
อีกทั้งเหตุผลของเขาทำให้ราชันทั้งสามไม่สามารถแย้งได้
ในฐานะที่สำนักศักดิ์สิทธิ์วั่นเป็นสำนักสามดาวในกาลก่อน ตอนนี้ถดถอย จึงมีจักรพรรดิปราณเทวะเพียงสามคน
จักรพรรดิปราณเทวะทั่วทั้งดินแดนเกาะเทียนเฟิงก็มีจำนวนเพียงหยิบมือเดียวเท่านั้น
จำนวนจักรพรรดิที่สำนักศักดิ์สิทธิ์วั่นนับว่ามีอำนาจมากที่สุดในดินแดนเกาะใหญ่
แต่สำนักศักดิ์สิทธิ์วั่นในยุคที่รุ่งเรืองเฟื่องฟูยังแข็งแกร่งกว่าสำนักศักดิ์สิทธิ์เสวียนเจินมากนัก เซียนในขอบเขตเทวาเร้นลับไม่ได้มีเพียงหนึ่งคนสองคน
พรึ่บ! พรึ่บ! พรึ่บ!
ราชันในขอบเขตปราณเทวะทั้งสามจากไปอย่างเสียดาย
พวกเขาไม่ได้ถามว่าจ้าวเฟิงได้ฝากตัวเป็นศิษย์ของจักรพรรดิปราณเทวะคนใด
ถึงจะเป็นจักรพรรดิปราณเทวะที่อ่อนแอมากเท่าไร ก็ยังไม่ใช่คนที่ราชันธรรมดาจะเทียบเคียงได้
หลังจากการแย่งชิงศิษย์จบลง
“ศิษย์น้องจ้าวเฟิง!”
ศิษย์คนสำคัญแต่ละคนพูดคุยกับจ้าวเฟิงด้วยดวงตาเป็นประกาย สีหน้าประจบเยินยอ
แต่จ้าวเฟิงกลับแค่นเสียงเย็นชาออกมา แล้วนั่ง ‘วิหคนิลกาฬ’ แหวกอากาศจากไป
หนทางการฝึกตนอีกครั้ง ยิ่งนานเท่าใดพัฒนาการก็ยิ่งช้าลงไป จ้าวเฟิงจำเป็นต้องแข่งกับเวลา
นี่ยังมีเวลาอีกสองเดือนกว่าๆ ก็จะเกิดการเชื่อมต่อของมิติเทพลวงตาแล้ว จ้าวเฟิงจึงต้องเตรียมความพร้อมไว้ให้มากพอ
“เจ้าเด็กนี่…บ้าไปแล้วจริงๆ!” ศิษย์คนสำคัญส่วนหนึ่งเอ่ยออกมาอย่างไม่พอใจ
“เฮอะ! ตอนนี้เขามีสิทธิ์หยิ่งยโสแล้วน่ะสิ!”
“หากข้าได้เป็นศิษย์ของจักรพรรดิแล้วยังได้รับคำชื่นชมจากหนานเฟิงอ๋อง ในดินแดนเทียนเฟิงจะยังมีใครกล้ามีเรื่องด้วยอีก?”
ศิษย์หลายคนถอนหายใจเจือความริษยาและนับถือบูชา
ศิษย์พี่ก่วงเป็นคนที่คับแค้นใจที่สุดในกลุ่มคนเหล่านั้น
“สิ่งที่ข้าทำกับจ้าวเฟิงในตอนที่ผ่านๆ มา เขาจะต้องรู้ตัวอย่างแน่นอน…”
นอกจากความเกลียดชัง เคียดแค้น และริษยาในใจศิษย์พี่ก่วง ยังมีความหวาดกลัวและร้อนรนในอนาคตของตนเองอีกด้วย
อีกฟากหนึ่ง จ้าวเฟิงนั่งวิหคนิลกาฬมุ่งหน้าไปที่จวนอ๋องโหว
เขาไปในครั้งนี้เพื่อยืนยันการตื่นขึ้นอย่างสมบูรณ์ของ ‘ไหมเมฆาผีเสื้อเซียน’
‘วิหคนิลกาฬ’ ที่เขานั่งรวดเร็วอย่างยิ่ง ไอมรณะยิ่งสาดซัดออกมาก็ยิ่งลึกล้ำน่ากลัว
ที่แท้กลับไปครั้งนี้จ้าวเฟิงได้ฝึกสอนฟูมฟักวิหคนิลกาฬแล้ว
ทรัพยากรที่ดีที่สุดในการเพิ่มพลังของวิหคนิลกาฬก็คือทรัพยากรล้ำค่าในศาสตร์วิญญาณ
ถึงแม้จ้าวเฟิงได้รับทรัพยากรศาสตร์วิญญาณส่วนหนึ่งจากจวนอ๋องโหว แต่ก็มีประโยชน์ที่จำกัดต่อขั้นราชัน
ด้วยเพราะส่วนประกอบและระดับความแข็งแกร่งของดวงวิญญาณจ้าวเฟิงเหนือกว่าปกติ
เขาจึงใช้เพียงทรัพยากรล้ำค่าศาสตร์วิญญาณชั้นยอดจำนวนชิ้นสองชิ้น ที่เหลือจากนั้นนำมาใช้เลี้ยงวิหคนิลกาฬ
การเลี้ยงดูและขั้นตอนการฝึกฝนก็ยกให้เป็นหน้าที่เจ้าแมวขโมยตัวน้อย
ในวันนี้ พลังฝึกตนของวิหคนิลกาฬกำลังจะก้าวสู่ขั้นยอดผู้สูงศักดิ์ ซึ่งเพียงพอแล้วกับการเป็นพาหนะในการเดินทาง
หลังจากผ่านไปสองชั่วยาม จ้าวเฟิงก็ถึงจวนอ๋องโหว
หนานเฟิงอ๋องรู้ว่าในช่วงเวลานี้จ้าวเฟิงจะมาที่จวน จึงรอในนั้นอยู่นานแล้ว
“ระยะนี้ไหมเมฆาผีเสื้อเซียนจะตื่นขึ้นเป็นเวลาสั้นๆ ทุกสองสามวัน…”
หนานเฟิงอ๋องบรรยายสถานการณ์ของไหมเมฆาผีเสื้อเซียน
จ้าวเฟิงประเมินอย่างละเอียด หนอนไหมตัวน้อยที่เป็นดังหยกนอนแช่อยู่ภายในวารีแห่งชีวิตที่ผสมเอาไว้ดีแล้ว
กลิ่นอายชีวิตของไหมเมฆาผีเสื้อเซียนแข็งแกร่งกว่าครั้งแรกหลายเท่าตัว และยังสัมผัสได้ถึงระลอกวิญญาณที่อ่อนแอเล็กน้อย
“พอประมาณแล้ว”
จ้าวเฟิงหยิบ ‘น้ำผลไม้’ สีแดงเข้มที่ผสมเสร็จแล้วขวดหนึ่งออกมา
น้ำผลไม้ครั้งนี้ จ้าวเฟิงหลอมรวมเนื้อผลไม้จิตวิญญาณและเลือดเนื้อจากมิติห้วงฝันบรรพกาลลงไปมากกว่าเดิม
ทันใดนั้นเอง จ้าวเฟิงเอา ‘น้ำผลไม้’ สีแดงเข้มราดทั่วร่างกายของไหมเมฆาผีเสื้อเซียน
วูบ!
ไหมเมฆาผีเสื้อเซียนตื่นขึ้นอีกครั้ง มันขยับปีก ร่างกายดูดซึม ‘น้ำผลไม้’ เหล่านั้นอย่างรวดเร็ว
‘น้ำผลไม้’ ที่ผสมไว้แฝงไปด้วยไอสวรรค์ในฟ้าดินของห้วงฝันบรรพกาลซึ่งสอดคล้องอย่างยิ่งกับร่างกายของมัน
เมื่อผ่านการอาบและแช่ในครั้งนี้ไป ไหมเมฆาผีเสื้อเซียนก็พัฒนาขึ้นไปอีกขั้น ซึ่งแน่นอนว่าต้องยกความดีให้กับสมบัติและทรัพยากรจำพวกฟื้นฟูชีวิตจำนวนมากของจวนอ๋องโหว
จ้าวเฟิงอยู่ต่อเพื่อตรวจตราอีกหนึ่งวัน
สภาวะชีวิตของไหมเมฆาผีเสื้อเซียนรวมถึงกลิ่นอายดวงวิญญาณอยู่ในระหว่างการฟื้นฟู
อีกทั้งเวลาและความถี่ในการตื่นของมันกำลังเพิ่มขึ้น
“ขอแสดงความยินดีกับท่านอ๋อง ไหมเมฆาผีเสื้อเซียนพ้นช่วงจำศีลและอันตรายไปแล้ว ตอนนี้เพียงแค่อ่อนแอเท่านั้น ตั้งใจเลี้ยงดูเป็นเวลาหนึ่งถึงสองปีก็สามารถฟื้นฟูได้แล้ว” จ้าวเฟิงเอ่ยปนยิ้ม
หนานเฟิงอ๋องได้ยินเช่นนั้นย่อมดีใจ
ความเป็นความตายของไหมเมฆาผีเสื้อเซียนสามารถเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตของเขาได้ในระดับหนึ่ง
“ผู้เยาว์ยังต้องกลับไปเข้าร่วม ‘การทดสอบคัดเลือกเทพลวงตา’ รั้งอยู่ที่นี่ได้ไม่นานนัก”
จ้าวเฟิงรีบเอ่ยปากขอตัวอย่างรวดเร็ว
“การทดสอบคัดเลือกเทพลวงตา?” หนานเฟิงอ๋องดวงตาประกาย เมื่อนึกอะไรได้ ก็ปรากฏบันทึกโบราณขึ้นในมือ
“บันทึกเล่มนี้มีบันทึกราชวงศ์ของข้า เนื้อหาเกี่ยวกับเบื้องหลังส่วนหนึ่งภายใน ‘มิติเทพลวงตา’ เจ้าเอากลับไปศึกษาค้นคว้าเถอะ” หนานเฟิงอ๋องกล่าว
จ้าวเฟิงได้ยินเช่นนั้นก็ดีใจ กระวีกระวาดรับบันทึกโบราณเล่มนั้นมา จดจำเนื้อหาทั้งหมดไว้
ในฐานะที่ราชวงศ์ต้าเฉียนเป็นราชวงศ์เก่าแก่ยิ่งใหญ่ ความเข้าใจที่มีต่อมิติเทพลวงตาจึงไม่ใช่สิ่งที่สำนักสองหรือสามดาวจะเทียบเคียงได้
ในระหว่างทางกลับสำนักศักดิ์สิทธิ์วั่น จ้าวเฟิงเริ่มศึกษาบันทึกโบราณของราชวงศ์ จดจำข้อมูลที่เกี่ยวกับ ‘มิติเทพลวงตา’ รวมทั้งทำการวิเคราะห์ต่างๆ
“มิติเทพลวงตา เป็นมิติลี้ลับที่ถูกทอดทิ้งมายาวนาน การสำรวจมิติของราชวงศ์ต้าเฉียนในตอนนี้ อาจจะไม่ถึงหนึ่งในสิบเสียด้วยซ้ำไป”
อ่านคร่าวๆ แล้วจ้าวเฟิงก็รู้สึกแปลกใจ
มิติเทพลวงตา ทุกหนึ่งร้อยปีจะทับซ้อนกันครั้งหนึ่งกับมิติในละแวกใกล้เคียงของดินแดนทวีป
ในทุกครั้งที่ถึงเวลานั้น บรรดาขั้วอำนาจทั้งหลายของดินแดนทวีปถึงจะสามารถพึ่งพาค่ายกลที่จัดสร้างเอาไว้ดีแล้วเพื่อเชื่อมต่อกับมิติเทพลวงตา
แต่ว่ามิติเทพลวงตากว้างใหญ่เกินไป พื้นที่ซึ่งทับซ้อนกับดินแดนทวีปในทุกครั้งล้วนแต่แตกต่างกัน
หนำซ้ำอัตราการตายภายในมิติก็สูงเกินจะเปรียบ มากกว่ามรดกภายในสำนักส่วนหนึ่งเสียอีก
“อัตราการตายสูงถึงห้าสิบส่วน!” จ้าวเฟิงใจสั่นสะท้าน
แต่ในเวลาเดียวกัน นี่ก็คือการที่ผู้แข็งแกร่งได้เปรียบ ส่วนผู้อ่อนแอพ่ายแพ้ไป เป็นสิ่งที่ยอดฝีมือของดินแดนทวีปคุ้นเคยเป็นอย่างดี
โดยปกติแล้ว คนที่รอดออกมาจากมิติเทพลวงตาล้วนได้รับความสำคัญและการสั่งสอนเลี้ยงดู
ในบันทึกโบราณของราชวงศ์บันทึกตำแหน่งภูมิศาสตร์ส่วนหนึ่งที่พอจะรู้ในตอนนี้ รวมถึงจุดที่มีโอกาสและพื้นที่อันตรายของมิติเทพลวงตาด้วย
ในบันทึกโบราณยังมีการคาดเดาและการวิเคราะห์อีกมากมายที่ควรค่าให้ศึกษาค้นคว้า
ตอนที่จ้าวเฟิงกลับถึงสำนักศักดิ์สิทธิ์วั่น อีกสามวัน ‘การทดสอบคัดเลือกเทพลวงตา’ ก็จะเริ่มต้นขึ้น
เวลานี้ การลงชื่อทดสอบคัดเลือกเข้าสู่ช่วงสุดท้าย คนที่ควรจะสมัครก็สมัครหมดแล้ว
ทั่วทั้งสำนัก บรรยากาศตึงเครียดร้อนระอุ
คนที่ฝึกตนอย่างยากลำบากมานานหลายปีก็ต่างปิดผนึกฝึกตน เพื่อเตรียมตัวสำหรับการทดสอบคัดเลือก
ด้วยความสามารถของสำนักศักดิ์สิทธิ์วั่น ส่งคนเข้าไปภายในมิติเทพลวงตาได้เพียงหนึ่งร้อยคน
จำนวนคนมากกว่าครึ่งยกให้กับคนรุ่นใหม่ ยังมีจำนวนอีกสามสิบสี่สิบคนก็ยกให้กับผู้อาวุโส
ในครั้งนี้ มีจำนวนผู้อาวุโสสามสิบห้าคน คนรุ่นใหม่หกสิบห้าคน
คนที่มีอายุน้อยกว่าห้าสิบปีนับว่าเป็นคนรุ่นใหม่ ส่วนคนที่อายุมากกว่าห้าสิบปีก็คือผู้อาวุโส
เมื่อเปรียบเทียบกันไปแล้ว การแข่งขันของยอดฝีมือผู้อาวุโสดุเดือดยิ่งกว่า
ยอดฝีมือของสำนักที่เข้าร่วมสมัคร พลังฝึกตนต่ำสุดล้วนเป็นขั้นนายเหนือแท้ระดับสุดยอด หรือไม่ก็ขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตแก่นก่อกำเนิดทั้งสิ้น
ขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับต่ำกลับเป็นกำลังรบหลักของกลุ่มนั้น
สามวันสุดท้าย จ้าวเฟิงไม่ได้ปิดผนึกฝึกตนอย่างลึกซึ้ง แต่กลับเข้าไปในห้วงฝันบรรพกาล
ตอนนี้พลังฝึกตนของจ้าวเฟิงเลื่อนขึ้นเป็นขอบเขตแก่นก่อกำเนิด ทะลวงขั้นที่สี่ของ ‘กายสายฟ้าปฐพีทอง’ แล้ว จึงสามารถเดินไปมาในห้วงฝันบรรพกาลได้ระยะหนึ่ง
ใจกลางป่า ณ ห้วงฝันบรรพกาล
งูลายตัวยักษ์และนกอสูรโบราณอยู่หน้าหอคอยพฤกษา ยังคงคอยดูแลผลไม้จิตวิญญาณที่อยู่ข้างบนให้กับจ้าวเฟิง
พลังดวงวิญญาณจ้าวเฟิงยังดำรงอยู่ ‘ตราผนึกดวงใจทมิฬ’ ที่สำแดงไว้จึงยังคงมีผลต่อสัตว์อสูรทั้งสอง
ทันใดนั้น
จ้าวเฟิงสั่งให้นกอสูรโบราณไล่ล่าเอาเลือดเนื้อสัตว์ในห้วงฝันบรรพกาลส่วนหนึ่งมา
เลือดเนื้อในห้วงฝันบรรพกาลพวกนี้ จ้าวเฟิงใช้หล่อหลอมกายสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์
ในช่วงชีวิตก่อน เขาพบว่าเด็กน้อยครึ่งเซียนต้องการเลือดเนื้อในห้วงฝันอย่างยิ่ง เหมือนจะส่งผลดีต่อสายเลือดและร่างกาย
ช่วงระยะเวลานี้
จ้าวเฟิงลองกินเลือดเนื้อของห้วงฝันบรรพกาล หรือไม่ก็ผสมในน้ำโอสถหล่อหลอมร่างกายด้วย
ต้องพูดเลยว่า ผลลัพธ์ในการหลอมฝึกร่างกายดีเยี่ยม
จ้าวเฟิงรู้สึกว่าสายเลือดและร่างกายของตนแข็งแกร่งขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
หลังจากที่ ’วิชาหมื่นอัสนีห้าสาย’ ทะลวงผ่านขึ้นที่ห้าแล้ว ‘กายสายฟ้าปฐพีทอง’ ก็แข็งแกร่งขึ้นครึ่งขั้น อยู่ในขั้นที่สี่ระดับต่ำ
หลังจากที่กายสายฟ้าปฐพีทองอยู่ในขั้นที่สี่แล้ว ในทุกขั้นจะถูกแบ่งออกเป็นระดับเล็กๆ คือ ระดับแรกเริ่ม ระดับต่ำ ระดับสูง และระดับสุดยอด
จ้าวเฟิงสามารถบรรลุกายสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ไปถึงขั้นที่สี่ระดับต่ำได้อย่างรวดเร็วเช่นนี้ ส่วนหนึ่งเป็นผลงานของเลือดเนื้อห้วงบรรพกาล
ส่วนผลไม้วิญญาณที่เหลือบนหอคอยพฤกษา จ้าวเฟิงเตรียมเก็บไว้ใช้หลังจากทะลวงผ่านขั้นราชันไปแล้ว
หนึ่งวันก่อนการทดสอบคัดเลือกเทพลวงตา
จ้าวเฟิงแช่ร่างอยู่ในเลือดบริสุทธิ์ของห้วงฝันสองวันสองคืน และกินเลือดเนื้อห้วงฝันส่วนหนึ่งไปด้วย
ในเวลานี้เอง
เขารู้สึกได้ว่า พลังสายเลือดที่แฝงอยู่แต่เดิมในร่างกายนี้กำลังเกิดการเปลี่ยนแปลงส่วนหนึ่ง เลือดภายในร่างเกิดความรู้สึกคล้ายโดนเผาไหม้