บทที่ 792 โลกใต้ดิน
พื้นที่สูงบนยอดเขาทะเลทราย
สายตาของฝูงชนมองไปรอบๆ ด้วยอาการเหม่อลอย ขนาดจ้าวเฟิงก็ไม่ยกเว้น
หลังจากภัยพิบัติพายุทรายสิ้นสุดลงแล้ว
พื้นที่สูงของทะเลทรายที่สมาชิกสำนักศักดิ์สิทธิ์วั่นอยู่ เป็นเหมือนยอดเขาโดดๆ ตั้งอยู่ในแอ่งกระทะกว้างใหญ่ไพศาล
ความรู้สึกที่เห็นสิ่งเหล่านี้ในทันทีคือเย็นยะเยือกอ้างว้าง ทำให้รู้สึกหวาดกลัว!
ทรายสีทองของทะเลทรายที่เดิมทีอยู่รอบบริเวณถูกลมพายุพัดหมุนคว้างกลางอากาศ จนกลายเป็นพื้นที่แอ่งกระทะว่างเปล่าราวกับเป็นหุบเหวลึก
พายุทรายที่หนาวเหน็บพัดมา เหล่าลูกศิษย์ของสำนักศักดิ์สิทธิ์วั่นตัวสั่นเทา
“พวกเจ้าดู!”
“นั่นมัน…”
สายตาของสมาชิกส่วนหนึ่งในสำนักต่างจับจ้องไปยังพื้นที่แอ่งลึกที่อยู่รอบบริเวณ เห็นเป็นโครงร่างสิ่งปลูกสร้างนูนขึ้นมารางๆ
หืม?
ดวงตาเทพเจ้าของจ้าวเฟิงมีพลังมองทะลุผ่านแข็งแกร่งยิ่ง
เขามองเห็นส่วนยอดของกำแพงสิ่งปลูกสร้างส่วนหนึ่งในฝุ่นทรายนั้นแล้ว
อีกทั้งใต้ฝุ่นทรายนั้นไม่ใช่หินกรวดดินทรายอีกต่อไป แต่เป็นพื้นดินสีน้ำตาลเข้มชั้นหนึ่ง
“มิน่าล่ะ…”
จ้าวเฟิงคาดเดาในใจได้บ้างแล้ว ดวงตาเทพเจ้าไม่จำเป็นต้องจ้องมองให้ลึกซึ้งนัก
ในเวลาเดียวกัน
เหล่าศิษย์ของสำนักศักดิ์สิทธิ์วั่นต่างปลดปล่อยประสาทสัมผัสจิตวิญญาณออกไปสำรวจพื้นที่แอ่งลึกล้ำด้านล่าง
สวบ พรึ่บ พรึ่บ!
ข่งเฟยหลิงและผู้เฒ่าเฟ่ยที่มีพลังฝึกตนอยู่ในขั้นครึ่งก้าวสู่ราชันบินตรงดิ่งไปทันที
ไม่นานนัก เหล่าสมาชิกในกลุ่มต่างกระจายตัวไปค้นหาเบาะแส
“ที่นี่มีทางเข้าทางหนึ่ง”
ไม่รู้ว่าใครตะโกนอย่างตื่นตระหนก ดึงดูดความสนใจของคนอื่นๆ
เห็นเพียงลูกศิษย์หลายคนยืนอยู่ด้านหน้าสิ่งปลูกสร้างแห่งหนึ่ง สิ่งปลูกสร้างนั้นมีทางตรงลงไปใต้ดิน มองเห็นขั้นบันไดกว้างยาวแห่งหนึ่งอยู่รางๆ
อุโมงค์นั้นสูงถึงยี่สิบจั้ง มีกลิ่นอายยิ่งใหญ่แฝงอยู่ในความเก่าแก่
“อุโมงค์ใต้ดิน? ในการเปิดมิติเทพลวงตาที่ผ่านๆ มาก็เคยค้นพบเมืองใต้ดินหรือกระทั่งโลกมหาสมุทร”
แววตาผู้เฒ่าเฟ่ยเป็นประกายวิบวับ
แต่ทว่า ประสาทสัมผัสจิตวิญญาณของกลุ่มคนถูกจำกัดไว้แล้วในมิติเทพลวงตา
ลักษณะพื้นดินของดินแดนดังกล่าวและสิ่งก่อสร้างมีพลังผนึกอย่างมหาศาลต่อประสาทสัมผัสต่างๆ
มีเพียงดวงตาเทพเจ้าของจ้าวเฟิงที่สามารถมองเห็นสถานการณ์ด้านล่างได้
“คงจะเป็นเมืองใต้ดินแห่งหนึ่ง” จ้าวเฟิงเปิดปากเอ่ย
คนอื่นๆ ต่างเห็นด้วยกับสมมติฐานนี้ในทันที
อุโมงค์งกำแพงวังที่เห็นตรงหน้าเป็นเส้นทางที่ตรงไปใต้ดิน พื้นดินแห่งนี้มีความชื้นอยู่พอสมควร สามารถมองเห็นสิ่งมีชีวิตประเภทหนอนและแมลงขนาดเล็กส่วนหนึ่ง
“ที่นี่ไม่น่าจะโดนทรายกลบจนมิดได้ในเวลาสั้นๆ” ฝูงชนหารือกัน
สุดท้ายแล้ว คนจำนวนมากต่างเห็นด้วยว่าจะไปสำรวจในเมืองใต้ดิน
พวกเขาเดินตามบันไดกว้างยาวที่ทอดลงไปใต้ดิน
ในอุโมงค์ใต้ดินมีไข่มุกราตรีที่ส่องแสงอ่อนๆ ออกมา
ระหว่างทาง
ส่วนลึกของเมืองใต้ดิน บางคราวก็มีเสียงร้องคำรามและเสียงฉีกทึ้งดังออกมาเป็นระลอก บรรยากาศตึงเครียดอย่างยิ่ง
เดินไปเป็นระยะทางไกลระดับหนึ่งแล้ว ในที่สุดก็มาถึงสุดทางของบันได
ทุกคนอยู่ในเมืองใต้ดินที่กว้างใหญ่ ใต้ฝ่าเท้าเป็นพื้นหินสีดำสนิท ทั้งสี่ด้านล้วนแต่เป็นกำแพงหินผาขนาดใหญ่ที่ขุดโดยแรงงานมนุษย์
วัสดุในเมืองใต้ดินแข็งเกินจะเปรียบ บวกกับตัวของมิติเทพลวงตาที่จำกัดพลังไว้ การโจมตีสุดแรงเกิดของขั้นนายเหนือแท้จะทำได้เพียงทิ้งรอยเล็กๆ บนพื้นกำแพงเท่านั้น
บางทีอาจเพราะถูกปล่อยปละละเลยเป็นเวลานาน ทำให้ในเมืองใต้ดินมีพื้นที่มืดมิดอยู่เป็นจำนวนมาก
แต่มองออกไม่ยากเลยว่า เมืองใต้ดินแห่งนี้ถูกจัดวางไว้อย่างสมบูรณ์แล้ว
จตุรัส น้ำพุ หอร้านค้า คฤหาสน์ที่พัก สิ่งที่ควรจะมีต่างมีจนครบ ไม่ด้อยไปกว่าเมืองบนดินเลยแม้แต่น้อย
“ผู้เฒ่าเฟ่ย ข้าสัมผัสได้ถึงระลอกไอสวรรค์ที่บริสุทธิ์กระเพื่อมมาจากส่วนลึกของเมืองใต้ดิน”
‘ข่งเฟยหลิง’ ที่สวมชุดกระโปรงยาวหรูหรา นัยน์ตาคู่งามหรี่ลงเล็กน้อย
พลังฝึกตนและสายเลือดของนางรวมๆ กันแล้วแข็งแกร่งที่สุดในบรรดาคนผู้อยู่ในเหตุการณ์
ทุกคนเพิ่มระดับประสาทสัมผัสทางจิตวิญญาณ และสัมผัสอย่างละเอียดตามคำเตือนของนาง
“ดีมาก” ผู้เฒ่าเฟ่ยและครึ่งก้าวสู่ราชันอีกสองคน รวมไปถึงขอบเขตแก่นกำเนิดระดับสูงช่วงสุดยอดหลายคน ล้วนแต่สัมผัสได้เช่นกัน
ดวงตาซ้ายของจ้าวเฟิงจ้องมองไปยังทิศทางใดทิศทางหนึ่ง สีหน้าฉายแววประหลาด
“ระลอกไอสวรรค์? ยังไม่ถึงขนาดนั้น…”
ระดับขั้นดวงวิญญาณของจ้าวเฟิงแข็งแกร่งที่สุดในบรรดาคนทั้งหมด บวกกับมีดวงตาเทพเจ้า ทำให้ประสาทสัมผัสยิ่งชัดเจนแจ่มแจ้ง
เมี้ยว เมี้ยว!
เจ้าแมวขโมยตัวน้อยปรากฏกายขึ้นบนบ่า ควักเอาเหรียญทองแดงโบราณขึ้นมาโยนหลายชิ้น เกิดเสียงดังกรุ๊งกริ๊ง
ไม่ช้า ผู้เฒ่าเฟ่ยและยอดฝีมืออาวุโสหลายคนนำทาง ข่งเฟยหลิงรีบตามไปติดๆ โดยเดินไปตามทิศทางของระลอกไอสวรรค์ดังกล่าว
แต่ในระหว่างทางกลับไม่ได้สงบแต่อย่างใด
ยังไม่ทันเดินพ้นระยะทางร้อยจั้ง ในตรอกมืดด้านหน้าปรากฏดวงตาสีเขียวเข้มหลายคู่ มีเสียงกรีดร้องเหมือนจะเป็นหมาป่าก็ไม่เชิง
ตุบ ตุบ!
ลำแสงสว่างขึ้นวาบหนึ่ง สิ่งมีชีวิตรูปร่างมนุษย์แต่มีศีรษะเป็นหมาป่าทะยานมาจากมุม
“ระวัง! นั่นมันมนุษย์หมาป่าในกลุ่มอมนุษย์!” ผู้เฒ่าเฟ่ยร้องเตือนอย่างตกใจ
การต่อสู้เริ่มขึ้นได้ทุกขณะ!
มนุษย์หมาป่าพรางกายอยู่ในความมืด แต่ประสาทสัมผัสทางดวงตากลับไม่ได้รับผลกระทบใดๆ แม้แต่น้อย อีกทั้งยังเคลื่อนไหวรวดเร็ว
ลูกศิษย์ส่วนหนึ่งยังไม่ทันจะรู้ตัว มนุษย์หมาป่าก็ทะลวงเข้ามาในกลุ่ม
ยังดีที่ยอดฝีมือชราเหล่านั้นไม่ได้เป็นนักพรตผู้ละเว้น ผู้เฒ่าเฟ่ยและคนอื่นๆ ชิงลงมือสังหารมนุษย์หมาป่าสองสามตนไปในทันที
สำหรับ ‘มนุษย์หมาป่า’ ที่เป็นสิ่งมีชีวิตต่างเผ่าพันธุ์ ทั้งผู้เฒ่าเฟ่ยและพวกเหมือนจะมีความเข้าใจในระดับหนึ่ง
ทว่าลูกศิษย์ส่วนหนึ่งกลับไม่มีประสบการณ์มากมายนัก
“อ๊าก…”
ลูกศิษย์ในขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตแก่นก่อกำเนิดถูกมนุษย์หมาป่าตะปบบริเวณบ่า กรีดร้องออกมาอย่างเจ็บปวด
มนุษย์หมาป่ารวดเร็วว่องไว กรงเล็บแหลมคม
ในสภาพแวดล้อมที่มืดมิด พวกมันสามารถปลดปล่อยพลังได้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น
ตุบ! ตุบ! ตุบ!
มนุษย์หมาป่าเหล่านั้นเข้าโจมตีอีกครั้ง ทิ้งศพเอาไว้หลายร่าง แล้วรีบพรางกายในเมืองใต้ดินที่มีภูมิประเทศสลับซับซ้อน
“มนุษย์หมาป่าจ้าเล่ห์แสนกล ชำนาญการทำงานกันเป็นกลุ่ม กระทั่งการเข้าสังหาร เมื่อครู่ก็น่าจะเป็นแค่การลองหยั่งเชิงของพวกมัน” ผู้เฒ่าเฟ่ยเอ่ยเตือน
การต่อสู้เมื่อครู่เป็นเพียงการลองเชิงของมนุษย์หมาป่าเท่านั้น
กลุ่มคนของสำนักศักดิ์สิทธิ์วั่นรุกคืบเข้าไปเรื่อยๆ อย่างมีลำดับขั้นตอน
ในกลุ่มมีคนที่ชำนาญในการป้องกัน และมีหมอที่ชำนาญการรักษาหลายคน ด้วยเพราะลักษณะพิเศษของวิชา จึงยังพอจะชำนาญการลอบสังหารและการสอดแนม ด้วย
กองกำลังเช่นนี้สามารถเพิ่มอัตราการรอดชีวิตในสถานการณ์ที่คาดเดาไม่ได้ได้สูงมาก
ชั่วเวลาจิบชาครึ่งถ้วยผ่านไปเสียงร้องคำรามของหมาป่าดังขึ้นอีกครั้ง ในเมืองใต้ดินอันมืดมิดที่อยู่ใกล้เคียงปรากฏดวงตามืดมิดนับร้อยคู่ ทำให้ผู้คนหวาดกลัวตัวสั่น
“ระวังและเตรียมตัวสู้! ในครั้งนี้มีมนุษย์หมาป่าหลายร้อยตัวทีเดียว” ผู้เฒ่าเฟ่ยใจเย็นวาบ
มนุษย์หมาป่าที่ปรากฏกายออกมาในครั้งนี้กำอาวุธไว้ในมือหลายตน ถึงขั้นสวมเสื้อเกราะด้วยซ้ำไป
เมื่อเปรียบไปแล้ว มนุษย์หมาป่าในตอนนี้เตรียมพร้อมเป็นรูปเป็นร่างกว่าเดิม
มนุษย์หมาป่าจำนวนหลายร้อยล้อมรอบพื้นที่แห่งนี้เอาไว้
ในฝูงมนุษย์หมาป่ามีผู้นำที่ร่างกายใหญ่โตเกือบสองจั้ง ทั่วร่างกายปกคลุมด้วยขนสีน้ำตาลทอง กำหอกยาวเอาไว้เล่มหนึ่ง
เมี้ยว เมี้ยว!
เจ้าแมวขโมยตัวน้อยที่อยู่บนบ่าทำท่าทำทาง เหมือนกำลังแปลอะไรบางอย่างกับจ้าวเฟิง
“ปล้นชิง?”
“ให้พวกเราทิ้งของมีค่าทั้งหมดไว้…และผู้หญิงด้วย!”
ช่างแปลกประหลาดอย่างยิ่งที่ทุกคนเข้าใจการทำท่าทำทางของเจ้าแมวขโมยตัวน้อย
พวกเขาประหลาดใจอยู่เล็กน้อย ภายในเมืองใต้ดินนี้ ถึงแม้จะวุ่นวายแต่ก็ยังมีกฎในการดำรงชีวิตของตนเอง
“บอกพวกมันไป พวกเราต่างหากเป็นหัวขโมย!” ข่งเฟยหลิงส่งเสียงเฮอะเย็นๆ ออกมา
เมี้ยว เมี้ยว!
เจ้าแมวขโมยตัวน้อยโบกกรงเล็บไปมา ทำท่าทางต่างๆ กับผู้นำกลุ่มหมาป่า
บรู๊ว~
บรรดามนุษย์หมาป่าต่างส่งเสียงร้องออกมา
ผู้นำมนุษย์หมาป่าตนนั้นโกรธเกรี้ยวอย่างยิ่ง ในมือกำหอกยาว ถ่ายทอดคำสั่งโจมตี
วูบ~
หอกยาวของผู้นำมนุษย์หมาป่าสะบัดพายุหมุนสีเขียวเข้มออกมา ตรงดิ่งไปหากองกำลังของสำนักศักดิ์สิทธิ์วั่น แล้วระเบิดตูมตามขึ้น
การฟาดฟันส่งๆ เพียงครั้งเดียว กลับสูสีกับการโจมตีของครึ่งก้าวสู่ราชัน
“ให้ข้าเอง!”
ข่งเฟยหลิงตะโกนกร้าว ร่างกายมีขนนกแสงสีสดแผ่กระจายออกมา
โครม!
คลื่นพลังที่แข็งแกร่งจากการปะทะกันอย่างจังของข่งเฟยหลิงและผู้นำมนุษย์หมาป่า กระแทกคนอื่นๆ ที่เหลือใกล้เคียงออกไปจนหมด
หากจะพูดถึงวิชาสายเลือด มนุษย์หมาป่าพวกนั้นสู้ข่งเฟยหลิงไม่ได้ แต่ว่าพละกำลังและการป้องกันร่างกายแข็งแกร่งอย่างยิ่ง
ในเวลาเดียวกัน มนุษย์หมาป่าหลายร้อยก็ตรงดิ่งไปสังหารกองกำลังของสำนักศักดิ์สิทธิ์วั่น
ในด้านจำนวน พวกมนุษย์หมาป่าได้เปรียบกว่ามาก แต่ในสำนักศักดิ์สิทธิ์วั่นมีอัจฉริยะยอดฝีมือที่ไม่ธรรมดาเลย
มีผู้อาวุโสในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูงผู้หนึ่งอยู่ในนั้นด้วย เขาถนัดวิชาในศาสตร์วิญญาณ ทำให้เกิดความวุ่นวายในฝูงมนุษย์หมาป่า สังหารจนสิ้นไม่แยกแยะว่าฝ่ายไหนเป็นฝ่ายไหน
จ้าวเฟิงกระตุ้น ‘กายสายฟ้าปฐพีทอง’ ไม่หวาดกลัวตัวที่เข้ามาใกล้ มนุษย์หมาป่าที่เข้ามาใกล้พวกนั้นล้วนโดนถูกบดขยี้ไม่ก็กระเด็นลอยละลิ่วออกไป
เมี้ยว เมี้ยว!
เจ้าแมวขโมยตัวน้อยกระโดดโลดเต้นไปมาอย่างสนุกสนานในฝูงมนุษย์หมาป่า
มันไม่ได้สังหารมุษย์หมาป่าเหล่านั้น แต่ใช้กรงเล็บตะปบไปทั่ว
“จับศัตรูก่อน!”
หลังจากที่ผู้เฒ่าเฟ่ยควบคุมสถานการณ์ไว้ได้แล้ว ก็ตะโกนสั่งเสียงเข้ม และโจมตีหัวหน้าฝูงจากด้านข้าง
อั๊ก!
ผู้นำมนุษย์หมาป่ากระอักเลือดออกมา
หลังจากที่ข่งเฟยหลิงจับจุดอ่อนของมนุษย์หมาป่าได้แล้ว จึงเริ่มกดดันมัน เมื่อผู้เฒ่าเฟ่ยเข้าร่วมก็ทำให้มันพ่ายแพ้ถอยร่นไปเรื่อยๆ
แฮ่ก โฮก~~
เมื่อผู้นำมนุษย์หมาป่าเห็นท่าไม่ดี มันร้องคำรามครั้งหนึ่ง นำฝูงมนุษย์หมาป่าหนีไป
“เผ่าพันธุ์อมนุษย์พวกนี้มีความรู้ไม่น้อย มนุษย์หมาป่าชำนาญการลอบโจมตีและใช้จำนวนคนมากทำร้ายคนจำนวนน้อยกว่า ในทันทีที่คู่ต่อสู้แข็งแกร่งกว่า พวกมันก็จะล่าถอยไปเอง” ผู้เฒ่าเฟ่ยถอนหายใจยาว
มนุษย์หมาป่าพวกนั้นมีหลายร้อยตัว หากว่าล้อมโจมตีและสังหารอย่างไม่สนใจผลที่ตามมา กองกำลังของสำนักศักดิ์สิทธิ์วั่นก็จะสูญเสียอย่างหนัก
“ผู้เฒ่าเฟ่ย ข้าได้ลองสืบวิญญาณของหัวหน้ากลุ่มเล็กของมนุษย์หมาป่าแล้ว…”
ผู้อาวุโสขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูงที่ชำนาญในศาสตร์วิญญาณเดินมาด้านหน้า
เขาสร้างแผนที่ของบริเวณใกล้เคียงออกมาอย่างรวดเร็ว
ใเวลาเดียวกัน หัวสมองของจ้าวเฟิงก็ปรากฏข้อมูลแผนที่ของพื้นที่แถวนั้นในเมืองใต้ดิน
ที่แท้ในสถานการณ์ชุลมุนเมื่อครู่ จ้าวเฟิงได้ใช้วิชาสืบวิญญาณโดยไม่พูดไม่จาไปแล้ว
“ใจกลางของระลอกพลังไอสวรรค์คงจะเป็นพื้นที่ต้องห้ามของเมืองใต้ดิน…แท่นบูชาปีศาจ”
“จากความทรงจำของมนุษย์หมาป่าตัวนั้น ’แท่นบูชาปีศาจ’ นั่นเหมือนจะมีพลังลึกลับเอาไว้สำหรับเพิ่มขีดความสามารถ ในช่วงเวลาหนึ่งก็เคยปรากฏปาฏิหาริย์มาก่อน”
ผู้เฒ่าเฟ่ยและคนอื่นๆ พูดคุยกันเสียงต่ำ
ปีศาจเป็นเทพที่เผ่าพันธุ์ใต้ดินเหล่านี้เคารพเลื่อมใส
“ต้องการไปให้ถึง ’แท่นบูชาปีศาจ’ ระหว่างทางยังต้องผ่านที่ตั้งของมนุษย์หมาป่า มนุษย์กิ้งก่า หรือกระทั่งมนุษย์แมงป่อง ’มนุษย์แมงป่อง’ มีพลังแข็งแกร่งที่สุด”
ผู้เฒ่าเฟ่ยขมวดคิ้วนิ่วหน้ามองไปทางข่งเฟยหลิง
แท่นบูชาปีศาจนั่นย่อมมีโอกาสหรือไม่ก็ความลับที่ไม่ธรรมดาซ่อนอยู่
แต่สถานการณ์ตอนนี้ยังต้องเจอเผ่าพันธุ์ประหลาดมากมายเบื้องหน้า
มนุษย์แมงป่องที่อยู่ต่อจากมนุษย์กิ้งก่ามีกำลังรบที่แข็งแกร่งอย่างยิ่ง
“ข้ารู้สึกว่า ‘แท่นบูชาปีศาจ’ นั่นมีพลังที่ไม่ธรรมดา” ข่งเฟยหลิงตัดสินใจจะลองดู
สายเลือดวิถีราชาของนางสัมผัสถึงระลอกพลังที่ปลดปล่อยออกมาจากแท่นบูชาปีศาจได้รุนแรงมากยิ่งขึ้น
“ดี ทุกคนเตรียมตัวใว้ให้ดี โดยปกติแล้วมนุษย์กิ้งก่าชำนาญการพ่นไฟ คนที่มีวิชาในแขนงวารีให้มารวมตัวกันที่นี่”
ผู้เฒ่าเฟ่ยสั่งการ
เมื่อเอ่ยถึงแขนงวารี จ้าวเฟิงมีสายเลือดเหมันต์วารีรวมไปถึงวายุอัสนีธาตุน้ำ
ไม่ต้องพูดถึง จ้าวเฟิงถูกแบ่งให้ไปอยู่ในกลุ่มวงนอก แล้วตัวเขาเองก็ไม่ได้มีความเห็นอะไร
ก่อนหน้านี้เขาล้วนเดินทางคนเดียว แต่วันนี้กลับได้มาเห็นพลังของกลุ่มที่ผ่านความยากลำบากครั้งแล้วครั้งแล้ว โอกาสในการรอดชีวิตเพิ่มขึ้นสูงมาก
“ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาร่วมมือกับคนอื่น” จ้าวเฟิงคิดคำนวณในใจ
กลุ่มคนและม้าเดินไปใกล้ที่ตั้งของมนุษย์หมาป่าอย่างช้าๆ และมั่นคง โดยไม่เจอกับการล้อมโจมตีอีกแต่อย่างใด
ครึ่งชั่วยามต่อมา
พู่ว~
เสียงพ่นเพลิงไฟรวมไปถึงเสียงสู้รบที่น่าสะพรึงดังขึ้นจากเบื้องหน้า
“เอ๊ะ! เป็นคนของสำนักไหนกัน อยู่ใกล้เราขนาดนี้”
ผู้เฒ่าเฟ่ยเอ่ยอย่างเคร่งขรึม