Skip to content

King of Gods 795

King Of Gods

บทที่ 795 ใส่ร้ายป้ายสี

คนเหล่านี้ที่มาถึงไวกว่าจ้าวเฟิงก็ไม่ได้ขาดแคลนคนที่มีความรู้

ถึงแม้พวกเขาไม่รู้ถึงประวัติความเป็นมาที่แน่ชัดของโครงกระดูก ‘สิงโตวายุอัสนี’ แต่ว่านี่ก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคสำหรับพวกเขาในการประเมินมูลค่าคร่าวๆ ของของสิ่งนี้

คนที่ตะโกนขัดขึ้นมาคือบุรุษหนุ่มชุดม่วงผู้นั้นของวังสุริยันม่วง

บุรุษหนุ่มชุดม่วง ป็นลูกศิษย์อันดับหนึ่งของสำนักนี้ พลังฝึกตนสูงส่งแตะขั้นครึ่งก้าวสู่ราชัน เพียงแต่ไม่ได้อยู่ในรายชื่ออัจฉริยะจักรพรรดิต้าเฉียนเท่านั้น

“เห็นก่อนมีสิทธิ์ก่อน ข้าต้องการกระดูกไม่กี่ท่อนนี้”

จ้าวเฟิงเอ่ยความต้องการอย่างตรงไปตรงมา

กิริยาเช่นนี้เกือบจะทำให้คนหลายคนของวังสุริยันม่วงโมโหอย่างยิ่ง

ทรัพยากรในห้องใต้ดินแห่งนี้ อัจฉริยะผู้หนึ่งที่มีพรสวรรค์ของวังสุริยันม่วงค้นพบก่อน

จ้าวเฟิงเพิ่งจะถึง ไม่ได้ออกแรงอะไร แล้วคิดจะเอาหนึ่งในทรัพยากรมากมายที่มีมูลค่าสูงสุดไป

นี่ทำให้พวกเขาทั้งโกรธเกรี้ยวและทั้งขบขัน

“เฮอะ! ทรัพยากรในที่แห่งนี้ยังไม่ได้ตกลงวิธีการแบ่งสิ่งของ”

บุรุษหนุ่มชุดม่วงขมวดคิ้วนิ่วหน้า

เด็กหนุ่มคนนี้พลังฝึกตนไม่ได้สูงส่ง แต่กลับหน้าหนายิ่งนัก

“นี่มันเรื่องอะไรกัน?”

แววตาของจ้าวเฟิงทอดมองไปยังลูกศิษย์อันดับหนึ่งของสำนักอย่างเสียไม่ได้…ข่งเฟยหลิง

ข่งเฟยหลิงชะงักงัน สีหน้ามีแววประหลาด

เมื่อสอบถามกันแล้ว จ้าวเฟิงถึงจะเข้าใจว่าสองสำนักยังไม่มีความเห็นตรงกันในการจัดสรรทรัพยากร

วังสุริยันม่วงค้นพบที่แห่งนี้ก่อน คิดจะแบ่งผลประโยชน์ไปมากกว่า

แต่ปัญหาก็คือ ในขณะที่วังสุริยันม่วงเจอที่แห่งนี้ คนของสำนักศักดิ์สิทธิ์วั่นก็มาถึงพอดีเช่นกัน

สำนักศักดิ์สิทธิ์วั่นต้องการจะแบ่งกันคนละครึ่ง แต่วังสุริยันม่วงอยากได้ส่วนแบ่งหกส่วนขึ้นไปเป็นอย่างน้อย

“นี่ง่ายดายนัก เช่นนั้นก็พึ่งพาความสามารถของใครของมันแล้วกัน”

จ้าวเฟิงเอ่ยตัดบท

ทันทีที่เอ่ยจบ คนของวังสุริยันม่วงโกรธเกรี้ยวไม่น้อย

“เจ้าหนุ่ม! ถึงจะพึ่งพาความสามารถของใครของมัน เจ้าเองก็ช่วงชิงโครงกระดูกศาสตร์อัสนีที่ล้ำค่านี้ไปไม่ได้”

ผู้เฒ่าคนหนึ่งของวังสุริยันม่วงไม่โกรธเกรี้ยว หนำซ้ำยังหัวเราะ

“ตกลง เช่นนั้นข้าจะถอยออกไปก่อนชั่วคราว” จ้าวเฟิงยักไหล่น้อยๆ

เมื่อเอ่ยจบ เขาเดินไปยืนฟากเดียวกับข่งเฟยหลิง

“ไม่ได้การ! กระดูกนั่นหายไปแล้ว!”

ชายวัยกลางคนรูปร่างท้วมคนหนึ่งของวังสุริยันม่วงนัยน์ตาเบิกกว้าง

กลุ่มคนจ้องกันตาเขม็ง โครงกระดูกหลายท่อนของ ‘สิงโตวายุอัสนี’ หายไปแล้ว

พรึ่บ!

ภายในห้องใต้ดินปรากฏลำแสงสีเงินเข้มเส้นหนึ่ง สว่างวาบแล้วหายไป

“เป็นวิชาข้ามมิติ!”

บุรุษหนุ่มชุดม่วงตะโกนอย่างตื่นตระหนก ห้วงคิดของครึ่งก้าวสู่ราชันปกคลุมและทะลวงผ่านในอากาศ

แต่ทว่า

ลำแสงสีเงินเข้มเส้นนั้น หลังจากที่หายไปก็ไม่มีเค้าลางอีกแต่อย่างใด

“ผู้เยาว์! เป็นเจ้าที่ขโมยโครงกระดูกวายุอัสนีไปใช่หรือไม่?”

คนหลายคนของวังสุริยันม่วงจ้องตาเขม็งอย่างดุดัน

บุรุษหนุ่มชุดม่วงและพวกล้วนแต่สงสัยในตัวจ้าวเฟิง

“ใส่ร้ายป้ายสี! คนมากมายขนาดนี้ ลูกตาดวงไหนของเจ้ามองเห็นข้าขโมยกระดูกนั่น”

จ้าวเฟิงเอ่ยอย่างเหยียดหยาม

ผู้คนมีสีหน้าอึดอัด

แน่นอนว่าไม่มีใครเห็นสัญญาณการลงมือของจ้าวเฟิง

ตั้งแต่เริ่มจนจบ จ้าวเฟิงอยู่ในการจับจ้องของทั้งสองฝ่าย ไม่มีโอกาสลงมือเลยด้วยซ้ำไป

“พูดไปแล้ว ใครจะสามารถขโมยสิ่งของไปได้อย่างไร้ร่องรอยต่อหน้าครึ่งก้าวสู่ราชันทั้งสองคน?”

จ้าวเฟิงเอ่ยได้สมเหตุสมผล

คนของสำนักศักดิ์สิทธิ์วั่นและวังสุริยันม่วงทำท่าทางเหมือนเห็นผีอย่างนั้น

จากการวิเคราะห์ด้วยเหตุและผล จ้าวเฟิงไม่มีความเป็นไปได้ที่จะลงมือ

แต่จากลางสังหรณ์ พวกเขามักรู้สึกว่าเรื่องนี้จะต้องเกี่ยวโยงถึงจ้าวเฟิงแน่ๆ

“เช่นนั้นแล้ว เจ้ารู้สึกว่าน่าจะเป็นใคร?” บุรุษหนุ่มชุดม่วงเอ่ย

จ้าวเฟิงครุ่นคิดอยู่เป็นเวลานาน “จากการวิเคราะห์ของข้า มีเพียงคนเดียวที่มีความสามารถเช่นนี้ แต่ว่าไม่ใช่คนของพวกเราสองสำนัก”

ทันทีที่เอ่ยจบ ร่างกายและจิตใจของคนทั้งหมดก็สั่นสะท้านไป

“หนานกงเซิ่ง!”

ข่งเฟยหลิงและบุรุษหนุ่มชุดม่วงเอ่ยออกมา

หากว่ากันตามความสามารถแล้ว หนานกงเซิ่งมีความน่าจะเป็นมากที่สุด

“เป็นไปได้มาก! หนานกงเซิ่งผู้นั้นท่าร่างมิติแตะถึงขั้นระดับสูงสุดแล้ว”

มีคนเห็นด้วยอย่างรวดเร็ว ด้วยเพราะคนทั้งสองสำนักไม่อาจหาคนที่มีความสามารถเช่นนี้เจออีกแล้ว

จ้าวเฟิงลอบหัวเราะในใจ หนานกงเซิ่ง ไม่ใช่ว่าข้าจงใจใส่ความเจ้า ข้าวิเคราะห์ตามหลักการทั่วไปก็เท่านั้น

ในอุทยานครึ่งเซียน

จ้าวเฟิงและหนานกงเซิ่งเคยร่วมมือกัน เขาสังหารบุรุษหนุ่มหยางกวงอย่าง ‘เวินลั่วอัน’ ในเวลาดังกล่าวได้ ย่อมเกิดจากความสามารถของคนผู้นี้ด้วย

หนานกงเซิ่งมีความสามารถเช่นนี้จริงๆ

แต่ว่าเขายโสโอหัง บางทีอาจจะแย่งชิงซึ่งๆ หน้า แต่คงไม่ลงมือลักเล็กขโมยน้อยเช่นนี้

“ดูไม่ออกเลยว่าหนานกงเซิ่งผู้นั้นจะเป็นคนขี้ขโมยแบบนี้”

บุรุษหนุ่มชุดม่วงสีหน้ามืดทะมึนลงไป

หากว่าหนานกงเซิ่งเป็นคนทำเรื่องนี้จริง พวกเขาก็คงทำอะไรไม่ได้

พรสวรรค์และพลังด้านมิติของหนานกงเซิ่ง ไม่ใช่สิ่งที่คนในสองสำนักจะมีปัญญาทำอะไร

และในเวลานี้เอง

พรึ่บ!

ทรัพยากรชั้นยอดชิ้นหนึ่งในกองใหญ่ก็หายไปโดยไร้ร่องรอย

“เป็น ‘หัวใจวัวป่า’!”

“นั่นเป็นถึงหัวใจของวัวป่าโบราณที่ใกล้จะถึงขั้นราชัน สามารถเสริมให้อวัยวะภายในแข็งแกร่ง เหมาะกับการฝึกร่างกาย!”

ห้องใต้ดินตกอยู่ในความโกลาหล

สุดท้าย ไม่รู้ว่าใครที่ชิงลงมือก่อน จนทั้งห้องตกอยู่ในสถานการณ์ ‘ช่วงชิงสิ่งของ’

อีกทั้งเส้นลำแสงสีเงินเข้มนั่นก็ปรากฏขึ้นเป็นบางครั้ง

“หนานกงเซิ่ง…เจ้าคนหน้าไม่อาย!”

กำลังคนของทั้งสองสำนักอดจะตะโกนก่นด่าไม่ได้ในระหว่างแย่งชิงทรัพยากรกัน

คนที่ลอบลงมือผู้นั้น ถึงแม้จำนวนของทรัพยากรที่ชิงไปจะไม่มากนัก แต่เป็นของดีอย่างไม่ต้องสงสัย

“หืม? ใครกำลังด่าข้ากัน!”

ในเวลานี้เอง ห้วงคิดเซียนเส้นหนึ่งของราชันกวาดผ่านมาพอดี

โครม!

ชั้นวิญญาณสั่นสะเทือนเสียงดังโครมคราม พลังปราณเทวะมหาศาลที่ไร้รูปร่างตรงดิ่งมา

พริบตานั้น

ใจและกายของกองกำลังทั้งสองฝั่งสั่นสะท้าน สัมผัสได้ถึงความกดดันที่ทำให้แทบหยุดหายใจ

“ใครด่าข้ากัน?” บุรุษหนุ่มชุดดำผู้หนึ่งก้าวไม่กี่ก้าวก็มาถึงสถานที่ดังกล่าว

หนานกงเซิ่ง!

สีหน้าของกองกำลังคนทั้งสองฝ่ายค้างแข็งไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่ก่นด่า ใจของพวกเขาร้อนรน

ในเวลานี้ หนานกงเซิ่งช่วงชิงทรัพยากรภายในที่พักของราชาแมงป่องเสร็จเรียบร้อยแล้ว ยังมีส่วนหนึ่งที่เหลือซึ่งเขาไม่ต้องการ เดิมทีเขาเตรียมตัวจะจากไป แต่บังเอิญได้ยินเสียงคนก่นด่าเขาเสียก่อน

ประสาทสัมผัสของราชันในขอบเขตปราณเทวะไม่ธรรมดา หลังจากที่ดวงวิญญาณเปลี่ยนแปลงสภาพไปแล้ว ก็จะมีประสาทสัมผัสที่เหนือธรรมดาอย่างหนึ่งขึ้น

“นี่…นี่เป็นเรื่องเข้าใจผิด!”

บุรุษหนุ่มชุดม่วงผู้นั้นละลั่กละล่ำอธิบายด้วยสีหน้าประจบประแจง

“นี่จะโทษพวกเราไม่ได้ จ้าวเฟิงเป็นคนที่สงสัยว่าท่านเป็นคนลงมือ ดังนั้นพวกเราถึง…”

คนของวังสุริยันม่วงเริ่มผลักความรับผิดชอบไป

หอกของผู้คนล้วนมุ่งมาที่จ้าวเฟิง

จ้าวเฟิง?

หนานกงเซิ่งหน้าเปลี่ยนสี มองตามสายตาของผู้คนไปหยุดบนร่างของเด็กหนุ่มใบหน้าหล่อเหลาผู้หนึ่ง

“ถูกต้อง! ข้าเคยสงสัยหนานกงเซิ่งจากการวิเคราะห์แยกแยะ แต่ข้าก็เพียงแค่สงสัยเท่านั้น ไม่ได้ด่าเขา”

จ้าวเฟิงเอ่ยอย่างไม่สะทกสะท้าน

ในตอนแรกสุด เขาเพียงแค่จับเรื่องมาโยงกันเท่านั้น อย่างไรหนานกงเซิ่งในตอนนี้ก็แข็งแกร่งมากพอ

แต่คนที่ก่นด่าเป็นคนของวังสุริยันม่วง

“ทำไมเจ้าถึงสงสัยข้า” หนานกงเซิ่งสีหน้าเคร่งขรึมเล็กน้อย สายตาจ้องที่จ้าวเฟิงเขม็ง

บุรุษหนุ่มผู้ที่อยู่ตรงหน้านี้มีชื่อแซ่เดียวกับ ‘คนผู้นั้น’ ที่เขาเคยรู้จัก

คนผู้นั้นมีชื่อเสียงเรียงนามสะเทือนฟ้าดิน ขนาดจักรพรรดิแห่งความตายผู้อาวุโสในยุคหนึ่งยังต้องตายในเงื้อมมือของเขา

ความสูงส่งของคนผู้นั้น หนานกงเซิ่งไม่อาจจะเอื้อมถึง

แต่ทว่า

จากการใช้ห้วงความคิดเซียนกวาดผ่าน เขาได้ตัดสินเบื้องต้นแล้วว่าคนทั้งสองนี้มิใช่คนๆ เดียวกัน

อย่างแรก กลิ่นอายของวิชากายเนื้อไม่เหมือนกัน

อย่างที่สอง หนานกงเซิ่งไม่สามารถเอาเด็กน้อยผู้อ่อนแอคนนี้ไปเชื่อมโยงกับ ‘เทพราชาดวงตาซ้าย’ ผู้มีชื่อเสียงโด่งดังสะเทือนฟ้าดินได้

“พี่หนานกง เรื่องมันเป็นแบบนี้…”

จ้าวเฟิงเล่าเรื่องทั้งหมดที่ผ่านมาอย่างไม่เดือดไม่ร้อน

“เจ้าซื่อตรงยิ่งนัก… เจ้าย่อมไม่ผิดที่สงสัย”

หนานกงเซิ่งผงกศีรษะน้อยๆ

วังสุริยันม่วงและสำนักศักดิ์สิทธิ์วั่นยากจะหาคนที่สองซึ่งสามารถขโมยของใต้จมูกของครึ่งก้าวสู่ราชันสองคนได้

ถึงจะเป็นหนานกงเซิ่งก็ต้องทุ่มเทแรงทั้งหมดถึงจะทำได้

“นับว่าเป็นคนเลวทรามเสียจริง!”

แววตาเย็นชาของหนานกงเซิ่งกวาดผ่านไปที่พวกของบุรุษหนุ่มชุดม่วง

โครม! พลังมหาศาลมิติที่แปลกประหลาดลอยปะทะเข้ามา

อั๊ก! พวกของบุรุษหนุ่มชุดม่วงหลายคนต่างกระอักเลือดออกมา ได้รับบาดเจ็บสาหัส เมื่ออยู่ต่อหน้าราชาผู้มีพรสวรรค์ด้านมิติ คนหลายคนไม่มีแรงจะโต้กลับด้วยซ้ำ

ในกลุ่มคนมีเพียงข่งเฟยหลิงที่บางทีอาจจะพอรับมือกับหนานกงเซิ่งได้หลายกระบวนท่าอยู่

แต่เดิมทีข่งเฟยหลิงก็มีความรู้สึกดีๆ กับหนานกงเซิ่ง จึงย่อมไม่มีทางจะด่าเขา

คนที่หนานกงเซิ่งจะสั่งสอน ก็คือคนพวกที่เคยก่นด่าเขา

เกียรติของราชาจะถูกดูถูกง่ายๆ ได้อย่างไร?

หลายคนของวังสุริยันม่วงมีสีหน้าหมดอาลัยตายอยาก ไม่กล้าพูดอะไรทั้งสิ้น

“ข้าหนานกงเซิ่ง ทำเพียงแย่งชิงแต่ไม่ขโมย” หนานกงเซิ่งหัวเราะเสียงเย็น

เมื่อเอ่ยจบ เขาโบกมือไปมา แล้วปลดปล่อยวิชามิติ เริ่มแย่งชิงทรัพยากรล้ำค่าภายในห้องใต้ดิน คนของวังสุริยันม่วงและสำนักศักดิ์สิทธิ์วั่นไม่กล้าจะขวาง และก็ไม่กล้าจะเข้าร่วม

แต่มีคนหนึ่งที่กล้า นั่นก็คือจ้าวเฟิง

จ้าวเฟิงไม่ได้ขัดขวางหนานกงเซิ่ง หนำซ้ำยังเข้าร่วมช่วงชิงด้วย

“จ้าวเฟิง……” ข่งเฟยหลิงและคนอื่นล้วนแต่ปาดเหงื่อเย็นๆ แทนจ้าวเฟิง

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า… เจ้าช่างน่าสนใจเสียจริง ขวัญกล้าเทียมฟ้าเหมือนกับคนผู้นั้นอย่างยิ่ง” หนานกงเซิ่งกลับหัวเราะลั่น

ทรัพยากรส่วนหนึ่งที่เหลือ สำหรับเขาแล้วมีจำนวนมากที่ไร้ประโยชน์ มีกับไม่มีก็เหมือนกัน แต่การกระทำของจ้าวเฟิงที่ทำให้เขาเกิดความสนใจขึ้นมา

แซ่ด พรึ่บ!

ในขณะที่จ้าวเฟิงก้าวเท้า ก็เกิดระลอกวายุอัสนีธาตุน้ำชั้นหนึ่ง ความเร็วท่าร่างแปลกประหลาดถึงขีดสุด

“วายุอัสนี? เจ้าและจ้าวเฟิงผู้นั้นมีความสัมพันธ์อะไรกัน!” หนานกงเซิ่งตกใจจนพูดไม่ออก

“ความสัมพันธ์อะไรกัน? ‘จ้าวเฟิง’ ก็คือชื่อของข้า!”

จ้าวเฟิงยิ้มเรียบๆ แล้วจึงเข้าร่วมการแย่งชิงทรัพยากรอย่างรวดเร็ว

ในเวลานั้น คนของทั้งวังสุริยันม่วงและสำนักศักดิ์สิทธิ์วั่นตกใจอย่างยิ่ง

“เหมือน เหมือนจริงๆ” หนานกงเซิ่งเอ่ยเสียงต่ำ

‘จ้าวเฟิง’ ที่อยู่ตรงหน้านี้ ทั้งวิชาและท่าร่างล้วนแต่คล้ายคลึงกับจ้าวเฟิงคนเดิม

ทั้งรูปแบบการลงมือและอารมณ์ความรู้สึกก็คล้ายกันหลายส่วน แน่นอนว่าหนานกงเซิ่งในเวลานั้นก็สงสัยอยู่หลายส่วน แต่ค่อนไปทางไม่เชื่อมากกว่า

เขาไม่เชื่อว่า ‘เทพราชาดวงตาซ้าย’ ผู้ยิ่งใหญ่ที่ไร้เทียมทานในบรรดาจักรพรรดิจะเป็นเด็กน้อยผู้นี้

หลังจากนั้นชั่วครู่หนึ่ง

จ้าวเฟิงและหนานกงเซิ่งก็ช่วงชิงเอาทรัพยากรภายในห้องใต้ดินมาจนเกลี้ยง

หนานกงเซิ่งไม่ได้ลงมือทำร้ายจ้าวเฟิง

บางทีแนวทางในการลงมือของฝ่ายตรงข้ามค่อนข้างจะถูกใจเขา หรือบางทีอาจเป็นเพราะ ‘คนผู้นั้น’

จ้าวเฟิงขโมยทรัพยากรเสร็จก็มีท่าทีสงบนิ่งไม่เปลี่ยนแปลง

เขาเข้าใจในจิตใจของหนานกงเซิ่งอย่างแม่นยำมาก

จ้าวเฟิงเชื่อมั่นอย่างยิ่งว่าการกระทำบางส่วนของตนจะไม่สร้างความรู้สึกต่อต้านหรือไม่ชอบใจให้กับหนานกงเซิ่ง

“หนานกงเซิ่งเอ๋ย…ข้าไม่มีทางบอกหรือเปิดเผยสถานะของข้า แต่ก็จะไม่จงใจปกปิด ดูซิว่าเจ้าจะมองออกหรือไม่”

มุมปากของจ้าวเฟิงยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม แล้วมองไปยังทิศทางที่หนานกงเซิ่งจากไปจนลับสายตา

เขาวางแผนว่าจะเอาชนะใจ ‘หนานกงเซิ่ง’ เพื่อให้ตนเองได้ผลประโยชน์ที่มากขึ้น

ถึงอย่างไร บรรดายอดฝีมืออัจฉริยะด้านมิติที่เข้ามาในมิติเทพลวงตา หนานกงเซิ่งก็ย่อมมีพลังชั้นยอด

ครึ่งชั่วยามต่อมา

หนานกงเซิ่งเดินทางออกจากพื้นที่ของมนุษย์แมงป่อง โบยบินจากไปยัง ‘แท่นบูชาปีศาจ’

ในแท่นบูชาปีศาจแห่งนั้นสาดซัดระลอกพลังที่แปลกประหลาดและลี้ลับ ไอสวรรค์ฟ้าดินในบริเวณใกล้เคียงก็ล้วนแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด

โดยเฉพาะคนที่มีสายเลือดแข็งแกร่งจะยิ่งรู้สึกได้รุนแรง

จากปฏิกิริยาของเผ่าพันธุ์ในเมืองใต้ดิน แท่นบูชาปีศาจเหมือนว่าจะมีพลังกัดกร่อนของ ‘ปาฏิหาริย์’ ที่ลี้ลับแปลกประหลาด

“ราชาแมงที่ป่องพ่ายแพ้ไปน่าจะหนีไปที่ ‘แท่นบูชาปีศาจ’ พวกเราตามหนานกงเซิ่งไป หนึ่งจะได้ผู้นำ สองจะได้ผลพลอยได้ตามไปด้วย”

แววตาของผู้เฒ่าเฟ่ยส่องประกายและเผยแววเจ้าเล่ห์เล็กน้อย

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!