บทที่ 800 กายสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ก้าวหน้าขึ้นอีก
แท่นบูชาปีศาจ ณ จตุรัสทมิฬ
“จ้าวเฟิง!”
“ศิษย์น้องจ้าว…”
ยอดฝีมือผู้อาวุโสและลูกศิษย์ของสำนักศักดิ์สิทธิ์วั่นส่วนหนึ่งเดินเกาะกลุ่มมายังบ่อเลือดด้วยท่าทีไม่พอใจอย่างยิ่ง
กลุ่มนี้นำโดยข่งเฟยหลิงและผู้เฒ่าเฟ่ย
สีหน้าอารมณ์ของคนทั้งสองดูเอือมระอาอย่างเห็นได้ชัด
ดูจากพฤติกรรมของจ้าวเฟิงก่อนหน้านี้ ชัดเจนว่าไม่ใช่คนหัวอ่อนที่จะแบ่งผลประโยชน์ของตนให้คนอื่น อีกทั้งจ้าวเฟิงในตอนนี้ยังควบคุมสถานการณ์ทั้งหมดไว้ได้แล้วอย่างเงียบงัน ขนาดหนานกงเซิ่งและกูเจาจื้อ ยังหวั่นเกรงเขามาก
บุ๋ง~
จ้าวเฟิงเอนกายเหนื่อยหน่ายอยู่ภายในบ่อเลือด ปรายตามองสมาชิกร่วมสำนักเหล่านี้
“จ้าวเฟิงเอ๋ย ฝีมือและความสามารถของเจ้า ข้านับถืออย่างยิ่ง แต่ว่าเจ้าฮุบเอาบ่อเลือดไป แล้วยังจะยก ‘ผลึกปีศาจ’ ให้คนอื่นอีก ทุกคนล้วนรู้สึกไม่ดี หากเรื่องนี้ไปถึงหูของคนในระดับสูงของสำนักแล้วละก็…”
คำพูดของผู้เฒ่าเฟ่ยนับว่าเกรงอกเกรงใจอยู่บ้าง แต่กลับเอ่ยถึงเจตนาที่มาและข่มขู่กลายๆ
“ถูกต้อง! เจ้าเป็นสมาชิกของสำนักศักดิ์สิทธิ์วั่น เห็นแก่ตัวเช่นนี้ได้อย่างไร?”
“ศิษย์น้องจ้าว! หรือเจ้าไม่กลัวการลงโทษจากระดับสูงของสำนัก?”
ผู้อาวุโสและลูกศิษย์ส่วนหนึ่งไม่ติเตียนก็ตำหนิ แสดงออกถึงความไม่พอใจของตน
“ฮึ!” สีหน้าจ้าวเฟิงเย็นชาเล็กน้อย “พวกท่านคิดว่าข้าจะหวาดกลัวคนระดับสูงของสำนักสองดาวแห่งหนึ่งงั้นหรือ?”
ทุกคนชะงักไป คนที่อ้างพวกระดับสูงของสำนักมาขู่เขาก็เหมือนโดนปิดปากไปในทันที
ผู้เฒ่าเฟ่ยและข่งเฟยหลิงร่างกายและจิตใจชาวาบ
หรือจะบอกว่าจ้าวเฟิงไม่หวาดกลัวคนระดับสูงของสำนักเลยแม้แต่น้อย และไม่ได้เห็นสำนักศักดิ์สิทธิ์วั่นอยู่ในสายตา?
เมื่อเห็นท่าทางที่สุขุมและสงบนิ่งของจ้าวเฟิง ผู้เฒ่าเฟ่ยและข่งเฟยหลิงมีความรู้สึกอย่างหนึ่งว่าคำของฝ่ายตรงข้ามไม่ได้เป็นเพียงคำพูดเหลวไหล
ขนาด ‘หนานกงเซิ่ง’ ผู้เป็นอัจฉริยะชั้นยอดของสำนักสามดาวยังมีท่าทีหวั่นเกรงจ้าวเฟิงยิ่งนัก
นอกจากนี้จ้าวเฟิงยังได้รับคำชื่นชมและความเมตตาจากหนานเฟิงอ๋อง
ว่ากันว่าเขายังปฏิเสธข้อเสนอให้รับบรรดาศักดิ์ป๋อของหนานเฟิงอ๋องด้วย
ถ้าหากยินยอม จ้าวเฟิงก็จะสามารถแยกตัวออกจากสำนักศักดิ์สิทธิ์วั่นไปเข้ากับจวนอ๋องโหวได้ทุกเมื่อ หรือกระทั่งเข้าไปในสังคมของเชื้อพระวงศ์ต้าเฉียน
“จ้าวเฟิงผู้นี้ลึกล้ำเกินจะคาดเดา นับว่ามีต้นทุนดีเสียจริง” แววตาของผู้เฒ่าเฟ่ยเป็นประกายวิบวับ
ในตอนนี้พวกเขาเองก็ไม่กล้าจะมีปัญหากับจ้าวเฟิง
“บ่อเลือดนี้เป็นของที่ได้มาจากการต่อสู้ของข้า ถ้าหากไม่มีแมวขโมยสื่อสารกับผลึกปีศาจก็จะไม่มีทางใช้มันได้” จ้าวเฟิงเอ่ยราบเรียบ
ตามการแบ่งผลประโยชน์ บ่อเลือดนี้นับว่าเป็นของที่ได้มาจากการต่อสู้
หากเขายินยอมแบ่งส่วนหนึ่งให้กับสำนัก ก็เป็นไปตามหลักศีลธรรมและความเป็นธรรมของสำนัก ถึงเขาไม่ยินยอมนั่นก็อยู่ในหลักเหตุผลทั่วไป
“ ‘ผลึกปีศาจ’ นั่นเจ้าจะว่าอย่างไร? นี่เป็นถึงผลึกเซียนในขอบเขตของเซียน!”
หนุ่มน้อยผู้หนึ่งเอ่ยเสียงเย็น
คำถามของเขาตรงกับใจของกลุ่มคนพอดี ทุกคนล้วนแต่รอคำชี้แจงจากจ้าวเฟิง
เมื่อดูจากสถานการณ์ในตอนนี้ จ้าวเฟิงก็ไม่อยากมีปัญหากับทางสำนัก
“ผลึกปีศาจไม่ใช่สิ่งที่พวกเราจะครอบครองได้” จ้าวเฟิงส่ายศีรษะ
ดวงตาของผู้เฒ่าเฟ่ยสว่างวาบ ยกมือขึ้นปรามบรรดาศิษย์ที่ต้องการจะคัดค้าน
“สิ่งที่จ้าวเฟิงพูดถูกต้อง ผลึกปีศาจถือว่าเป็นเผือกร้อนลวกมือ ถึงจะได้มาก็ไม่มีความหมายอะไรกับพวกเรานัก รังแต่จะนำความเดือดร้อนที่ไม่สิ้นสุดมาให้ก็เท่านั้น”
ผู้เฒ่าเฟ่ยเห็นด้วยกับจุดนี้ เขาชื่นชมและเห็นด้วยมากที่จ้าวเฟิงถอดใจจาก ‘ผลึกปีศาจ’
ในเวลานี้
จ้าวเฟิงไม่มีอำนาจตัดสิน เขายก ‘ผลึกปีศาจ’ ที่แข็งแกร่งที่สุดให้พวกอัจฉริยะชั้นยอดอย่างหนานกงเซิ่งและกูเจาจื้อไปแย่งชิงกันเอาเอง
“ข้าแบ่งเลือดบริสุทธิ์ในบ่อเลือดนี้ให้พวกท่านได้สิบถัง” จ้าวเฟิงเอ่ยอย่างครุ่นคิดเล็กน้อย
พลังของเลือดในบ่อนี้ไม่ธรรมดาเลย มีเพียงข้อด้อยเดียวคือพลังชั่วร้ายที่แฝงอยู่ในผลึกปีศาจมีแรงกัดกร่อนที่ร้ายแรงอย่างยิ่ง
“ได้” ผู้เฒ่าเฟ่ยผ่อนลมหายใจโล่งอก
ไม่นานนัก สำนักศักดิ์สิทธิ์วั่นก็ตวงเลือดบริสุทธิ์จำนวนสิบถังไป ซึ่งยังไม่ถึงหนึ่งในสิบส่วนของบ่อเลือดด้วยซ้ำ
แต่เลือดบริสุทธิ์เหล่านี้ พวกเขาต้องใช้วิธีการพิเศษจัดการเสียก่อนถึงจะสามารถใช้ได้
ไม่เหมือนกับจ้าวเฟิงที่เรียนวิชาฝึกฝนร่างกาย แล้วยังมีเจ้าแมวขโมยตัวน้อยสื่อสารกับผลึกปีศาจ พลังชั่วร้ายจึงไม่กัดกร่อนเขา
ถึงขั้นที่ว่า จ้าวเฟิงยังสามารถหยิบยืมพลังชั่วร้ายนั้นมาเสริมสร้างแก่นแท้ร่างกายได้
หลายวันต่อมา
จ้าวเฟิงแช่อยู่ภายในบ่อเลือด สำรวมจิตใจฝึกตนและเสริมร่างกาย
บ่อเลือดนั้นเกิดจากเลือดบริสุทธิ์ของเผ่าพันธุ์ในเมืองใต้ดินต่างๆ ผสานพลังของผลึกปีศาจเข้าไป แล้วจึงแปรสภาพ
เลือดดังกล่าวกลายเป็นแหล่งกำเนิดพลังของแท่นบูชาปีศาจ ใช้เพื่อโจมตี และยังสามารถเพิ่มความสามารถให้กับสิ่งมีชีวิตเผ่าพันธุ์ต่างๆ
จ้าวเฟิงโคจร ‘วิชาวายุอัสนี’ และ ‘กายสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์’ ด้วยขีดจำกัดสูงสุด เขาดูดซึมพลังจากบ่อเลือดมาเสริมแก่นแท้ร่างกาย และเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับเลือดในร่าง
ในช่วงเวลานี้
หนานกงเซิ่งและคนของตำหนักวิญญาณปฐพีล้วนแต่คิดหาวิธีค้นหาราชาแมงป่อง
แต่ว่าภูมิประเทศของเมืองใต้ดินซับซ้อนนัก หากราชาแมงป่องตั้งใจหลบซ่อนก็ยากจะหาเจอ
เป้าหมายสำคัญวังสุริยันม่วงและสำนักศักดิ์สิทธิ์วั่นคือฉกชิงเอาทรัพยากรและของที่ได้จากการต่อสู้ส่วนหนึ่ง
แต่ที่ทำให้ประหลาดใจคือ
หลังจากที่เจ้าแมวขโมยตัวน้อยเข้าแทนที่ตำแหน่ง ‘ไต้ซือ’ ผู้นั้นแล้ว มีเผ่าพันธุ์บางส่วนของเมืองใต้ดินที่มาสวามิภักดิ์หรือกระทั่งมอบ ‘เครื่องบรรณาการ’ ให้
จ้าวเฟิงมอบสิ่งของเล็กน้อยเหล่านี้ให้กับ ‘สำนักศักดิ์สิทธิ์วั่น’
สำนักศักดิ์สิทธิ์วั่น วังสุริยันม่วง และตำหนักวิญญาณปฐพี รวมตัวกันเป็นกองทัพโดยมีเจ้าแมวขโมยตัวน้อยเป็นจุดศูนย์กลาง แล้วจึงเริ่มกำราบเผ่าพันธุ์ต่างๆ ในละแวกใกล้เคียงมาเป็นพวก
กลายเป็นว่าผลลัพธ์ราบรื่นกว่าที่คิดเอาไว้มาก
เผ่าพันธุ์พวกนั้นยำเกรงในสถานะ ‘ไต้ซือปีศาจ’ นี้อย่างยิ่งยวด
ขนาดเผ่าพันธุ์ที่ไม่ด้อยไปกว่าเผ่าพันธุ์มนุษย์แมงป่องยังไม่กล้าแข็งข้อ จะมากน้อยก็ต่างมอบบรรณาการส่วนหนึ่งให้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลังจากเจ้าแมวขโมยตัวน้อยปลดปล่อยพลังเร้นลับของ ‘ปีศาจ’ ออกมาแล้ว เผ่าพันธุ์เหล่านั้นก็จำนนแต่โดยดี
“พลังของผลึกปีศาจไม่ธรรมดาเลย” จ้าวเฟิงเอ่ยพึมพำ
สำหรับเรื่องพวกนี้ เขาเรียนรู้มาจากราชินีแมงป่องไม่น้อย
ในเมืองใต้ดินเคยมีคนลองต่อต้าน ‘แท่นบูชาปีศาจ’ ผลสุดท้ายกลายเป็นว่าต้องเผชิญหน้ากับความโหดร้ายของเพลิงอัคคีใต้พิภพ หรือไม่ก็ภัยธรรมชาติอย่างแผ่นดินไหวเป็นต้น
จ้าวเฟิงรู้เรื่องไต้ซือปีศาจจากเจ้าแมวขโมยตัวน้อย ยังมีพลังในการควบคุมภัยพิบัติในผืนดินและสภาพอากาศผ่านผลึกปีศาจด้วย
แต่ว่าพลังระดับนี้สิ้นเปลืองพลังใจของผู้ทำพิธีอย่างมาก ปกติแล้วจะไม่หยิบยกเอามาใช้อย่างง่ายดายนัก
เพียงพริบตาเดียว เวลาก็ผ่านพ้นไปห้าวันแล้ว
เมื่อได้พลังของบ่อเลือดและ ‘กระดูกวายุอัสนี’ หลายท่อนเหล่านั้น ในที่สุดพลังฝึกตนของจ้าวเฟิงก็ทะลวงผ่านถึงขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับต่ำช่วงปลาย
คุณสมบัติและขนาดของใจกลางแก่นก่อกำเนิดในร่างจ้าวเฟิงก็ก้าวหน้าขึ้นอีกขั้น กระทั่งก่อตัวเป็นผลึกก่อนเวลาอยู่หลายเส้นสาย
ความเร็วในการพัฒนาระดับนี้ เมื่อประจักษ์แก่สายตาลูกศิษย์อัจฉริยะของสำนักศักดิ์สิทธิ์วั่น ย่อมก่อให้เกิดความริษยาไม่หยุดหย่อน
“จ้าวเฟิงพัฒนารวดเร็วเช่นนี้ ไม่กลัวหรือว่ารากฐานกับสภาวะพลังจะไม่มั่นคง?”
ผู้เฒ่าเฟ่ยอดจะครุ่นคิดไม่ได้ และยังคาดเดาไปหลายส่วน
แต่ความจริงก็ได้พิสูจน์แล้วว่า รากฐานและสภาวะพลังของจ้าวเฟิงมั่นคงเป็นอย่างมาก
ด้วยเพราะฝึกตนควบทั้งวิชาวายุอัสนีและกายสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ องค์ประกอบของเขาจึงลึกล้ำยิ่งกว่าอัจฉริยะในช่วงเดียวกันมาก
หลังจากพลังฝึกตนทะลวงผ่านขั้นเล็กๆ ไปแล้ว
จ้าวเฟิงก็ทุ่มเทความตั้งใจไปที่การฝึกฝน ‘กายสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์’ เป็นหลัก
หลายวันมานี้ ในขณะที่หล่อหลอมร่างกายในบ่อเลือด ‘กายสายฟ้าปฐพีทอง’ ของจ้าวเฟิงก็เข้าใกล้ขั้นที่สี่ระดับสูง
‘ทันทีที่กายสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ถึงขั้นที่สี่ระดับต่ำ เพียงพลังแก่นแท้ร่างกายของข้าก็กดข่มคนในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับต่ำและระดับสูงได้ ขั้นครึ่งก้าวสู่ราชันล้วนยากจะเป็นคู่ต่อสู้’
จ้าวเฟิงปีติยินดี รู้สึกคาดหวังรอคอยอยู่หลายส่วน
และที่สบายใจยิ่งไปกว่านั้นคือ
ระหว่างฝึกตนเขายังได้รับ ‘บรรณาการ’ ส่วนหนึ่งที่เผ่าพันธุ์โลกใต้ดินมอบให้
‘บรรณาการ’ ที่เผ่าพันธุ์ต่างๆ มอบให้ จ้าวเฟิงและเจ้าแมวขโมยตัวน้อยเก็บเอาไว้เองสี่ส่วน
อีกหกส่วนมอบให้ตำหนักวิญญาณปฐพี สำนักศักดิ์สิทธิ์วั่น และวังสุริยันม่วงแบ่งกันตามสมควร
ในวันนี้เอง
จ้าวเฟิงเอา ‘หญ้าเขี้ยวมังกร’ ที่เป็นของล้ำค่าช่วยเสริมสร้างร่างกายออกมา เพื่อใช้ทะลวงผ่านกายสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ขั้นที่สี่ระดับสูงไปอีกก้าว
ทรัพยากรล้ำค่าที่ช่วยเสริมร่างกายพวกนี้ มีส่วนหนึ่งมาจากห้องเก็บสมบัติในตอนนั้น แล้วยังมีส่วนหนึ่งเป็นบรรณาการจากเผ่าพันธุ์อื่นๆ
“พอประมาณแล้ว…”
ทั่วร่างของจ้าวเฟิงแช่อยู่ในบ่อเลือด ผิวกายปรากฏเค้าเส้นอัสนีคล้ายโลหะสีฟ้าเงินที่เปล่งแสงเรืองรอง
ในบ่อเลือด พลังกายที่ไร้รูปร่างกลุ่มหนึ่งยิ่งสาดซัดออกมา ยิ่งแข็งกล้าขึ้นไปทุกที
สิ่งมีชีวิตทุกอย่างที่เข้าใกล้ เลือดลมร่างกายทั้งหมดล้วนสัมผัสได้ถึงแรงกดดันที่หนักหน่วงอย่างประหลาด
ในเวลานั้นเอง พลังกายกลุ่มนั้นเป็นดั่งภูเขาใหญ่ ทำลายขีดจำกัดอย่างหนึ่งไปจนเกิดเสียงดังโครม ลูกศิษย์ส่วนหนึ่งที่อยู่ใกล้เคียงเลือดลมปั่นป่วน เกือบจะกระอักเลือด
จุดที่จ้าวเฟิงอยู่มีพลังแก่นแท้ร่างกายพาดผ่านไปในอากาศ แล้วจากไปพร้อมกับเสียงวายุอัสนีโครมคราม เหมือนมีคลื่นถาโถมซัดเข้าฝั่ง
“ข้าในตอนนี้พึ่งเพียงร่างกายเนื้อก็สามารถสังหารแก่นก่อกำเนิดระดับต่ำได้ในหมัดเดียว”
จ้าวเฟิงสัมผัสได้ถึงความแข็งแกร่งของจิตใจและร่างกาย
ความแข็งแกร่งของแก่นแท้ร่างกายหล่อเลี้ยงวิญญาณและจิตใจของเขาอีกขั้นหนึ่งจนเกิดเป็นพลังที่ทรงอำนาจ
การฝึกฝนกายสายฟ้าปฐพีทองไม่ได้เป็นเพียงการฝึกฝนร่างกายเท่านั้น เมื่อแก่นแท้ร่างกายแกร่งมากขึ้นจนถึงระดับหนึ่งแล้ว ก็จะสามารถเพิ่มความแข็งแกร่งของจิตใจ
เมื่อถึงระดับหนึ่งแล้ว จะถึงขั้นที่สามารถหลอมรวมแก่นแท้ร่างกายและแก่นแท้ดวงวิญญาณให้เป็นหนึ่งได้
ถึงตอนนั้น แก่นแท้ดวงวิญญาณที่ผ่านการฝึกฝนก็จะไม่ใช่จุดด้อยอีกต่อไป
ครึ่งเซียนคุนอวิ๋นในช่วงรุ่งโรจน์ก็มาถึงจุดนี้ ถึงขั้นที่สามารถฝึกฝนได้พลังเฉพาะขั้นสูงอย่าง ‘ชุบชีวิตด้วยเลือด’ ด้วยพื้นฐานดังกล่าว
นับจากนั้น กายสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ของจ้าวเฟิงก็มาถึงขั้นที่สี่ระดับสูง
‘ขั้นที่ห้า’ ในภายภาคหน้าจะเท่ากับปราณเทวะ ในขั้นที่หกจะเป็นขอบเขตเทวาเร้นลับ
ขั้นที่เจ็ดจะสามารถฝึกฝนจนได้กายครึ่งเซียน เหนือกว่าขั้นที่เจ็ดขึ้นไป กายสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ยังมีขั้นที่แปดที่เหนือกว่า ‘กายศักดิ์สิทธิ์ปฐพีทอง’ ฉบับดั้งเดิมด้วย
ถึงกระทั่งยังมีขั้นที่เก้าที่อยู่ในแนวคิดทฤษฎี!
ความน่าจะเป็นและอนาคตที่ยิ่งใหญ่ เป็นแรงผลักดันอันแรงกล้าให้จ้าวเฟิงฝึกตนใหม่อีกครั้ง
ต่อให้ไม่มี ‘คำสาปมรณะ’ เขาก็เลือกที่จะฝึกใหม่อีกครา
พู่ว~
จ้าวเฟิงพ่นลมหายใจยาวออกมา ค่อยๆ ชันกายขึ้นจากบ่อเลือด และต้องรับมือกับแววตาที่เคารพยำเกรงจากสมาชิกของสำนักที่อยู่รอบบริเวณ
“จ้าวเฟิง นี่คือ ‘หินวิญญาณ’ ที่หายากในเมืองใต้ดิน เป็นของล้ำค่าในศาสตร์วิญญาณแขนงมรณะ”
ผู้เฒ่าเฟ่ยประคองเพชรสีดำสนิทราวหยกสีดำสองชิ้นขึ้นมา
บนเพชรหยกดำชิ้นนั้นสาดซัดระลอกพลังวิญญาณที่หนาวเหน็บออกมา คนทั่วไปไม่อาจจะเข้าใกล้ได้เลย
“ของล้ำค่าในศาสตร์วิญญาณ? ดีมาก ดีมาก!” ใบหน้าของจ้าวเฟิงเผยแววยินดี
ในจำนวนของบรรณาการที่ได้มา จ้าวเฟิงสามารถยกให้ผู้อื่นได้ เขาให้ความสำคัญแต่ทรัพยากรล้ำค่าที่มีประโยชน์ต่อตนเองเท่านั้น
ในกลุ่มนี้ จ้าวเฟิงเคยระบุถึง ‘ทรัพยากรล้ำค่าศาสตร์วิญญาณ’ อีกทั้งยังเรียกร้องระดับขั้นที่ค่อนข้างสูง
สมบัติล้ำค่าในศาสตร์วิญญาณส่งผลช่วยในการฟื้นฟูพลังวิญญาณของจ้าวเฟิง
“มีสมบัติล้ำค่าในศาสตร์วิญญาณที่มากพอ ‘พลังจักรพรรดิ’ ของข้าก็สามารถฟื้นคืนได้จนหมด”
จ้าวเฟิงคาดหวังในใจ
จะต้องรู้ว่า ‘พลังจักรพรรดิ’ ของจ้าวเฟิงแฝงเสวียนอ้าวของพลังอัสนีเทวะไว้ หากไม่เช่นนั้นแล้ว ในยามก่อนเขาจะไม่สามารถไล่ล่าสังหารจักรพรรดิแห่งความตายผู้เชี่ยวชาญในแขนงวิญญาณและแขนงมรณะได้
ทันทีที่พลังจักรพรรดิฟื้นฟูกลับมาทั้งหมด พลังของจ้าวเฟิงก็จะเปลี่ยนแปลงไปราวติดปีก
แต่ทว่าสมบัติล้ำค่าในศาสตร์วิญญาณหายากอย่างยิ่งในโลกนี้ จำนวนและคุณสมบัติที่จ้าวเฟิงหาเจอในเมืองใต้ดินแห่งนี้ไม่ถือว่าเป็นไปตามที่ต้องการมากนัก
พรึ่บ! ในเวลานี้เอง ลำแสงสีเงินสว่างก็สว่างวาบ แล้วปรากฏขึ้นเบื้องหน้าของจ้าวเฟิง
ผู้มาเยือนคือหนานกงเซิ่ง!
“จ้าวเฟิง ข้าสังหารราชาแมงป่องผู้นั้นแล้ว และได้แก่นผลึกขั้นราชาของสิงโตวายุอัสนีมาด้วย”
หนานกงเซิ่งหายใจค่อนข้างถี่กระชั้น