บทที่ 803 มังกรวารีล้างโลกา
โครม เปรี้ยง——
โลกใต้ดินสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ไฟและหินหนืดปะทุทะลักออกมาจากส่วนลึกของแกนโลก
เผ่าพันธุ์ส่วนหนึ่ง ถึงแม้จะได้รับคำเตือนก่อนตายของไต้ซือแล้วก็ยังคงอพยพกันไม่ทัน
“โลกใบนี้จะสั่นสะเทือนด้วยหวาดกลัวเพลิงโทสะของเผ่าพันธุ์ล้างโลกา เทพบรรพกาลเสียหยาง (อาทิตย์มาร) ข้าจะทำลายคฤหาสน์เจ้าก่อนแล้วค่อยทำลายโลกของเจ้า”
เสียงที่ทำให้ฟ้าดินสะเทือนเลือนลั่น ดังกึกก้องมาจากแกนกลางโลก
เสียงร้องคำรามของมังกรที่โกรธเกรี้ยวดังไปทั่วโลกของเมืองใต้ดิน ขนาดโลกบนดินยังสัมผัสได้ถึงแรงสะเทือนเบาๆ
“รีบหนีเร็ว!”
“แย่แล้ว! มังกรวารีล้างโลกากำลังจะหลุดออกจากผนึก…”
ยอดฝีมือและลูกศิษย์ของสามสำนักต่างหาอุโมงค์ใต้ดินแต่ละแห่งเพื่อหนีออกไปด้านนอก
พรึ่บ!
หนานกงเซิ่งที่เร็วที่สุด กลายร่างเป็นแสงสีเงินเส้นสายหนึ่งก่อนเข้าไปในพื้นที่เหนือโลกใต้ดินชั้นหนึ่ง
ปีกอัสนีโบยบิน!
หลังของจ้าวเฟิงปรากฏปีกแสงราวคลื่นน้ำสีฟ้าคู่หนึ่งแล้วโบยบินจากไป
ในที่ดังกล่าวไม่เห็นเงาของจ้าวเฟิงและหนานกงเซิ่งอีกแล้ว
คนทั้งสองมีความเร็วในการตอบโต้สูงที่สุด
“ศิษย์น้องจ้าว…”
พวกของหลิ่วเทียนฝานร้องอย่างตกใจ เมื่อมองเห็นหนานกงเซิ่งและจ้าวเฟิงหายตัวไปตามลำดับ
“ไม่ต้องสนใจเขา พวกเราหนีออกจากโลกของเมืองใต้ดินก่อน”
ผู้เฒ่าเฟ่ยเอ่ยสั่ง เดินนำอยู่เบื้องหน้า
ยอดฝีมือและลูกศิษย์ของทั้งสองสำนัก ทั้งตำหนักวิญญาณปฐพีและวังสุริยันม่วง ต่างหาอุโมงค์ทางเดินอย่างเร่งร้อนเพื่อถอยไปยังโลกบนดิน
เพียงแค่ครู่เดียว หินหนืดก็ไหลทะลักมา
หากเพียงพลังของหินหนืดเท่านั้น ยังไม่อาจจะคุกคามลูกศิษย์ยอดฝีมือของสำนักเหล่านี้ แต่กลับเป็นเผ่าพันธุ์ชั้นต่ำของเมืองใต้ดินที่ต้องเผชิญหน้ากับภัยพิบัติ
ทว่า ในหินหนืดดังกล่าวยังแฝงไปด้วยเพลิงของแกนโลก อานุภาพธรรมดาก็สามารถทำให้ขอบเขตแก่นก่อกำเนิดสูญสลายเป็นธุลี
เพลิงแกนโลกที่แข็งแกร่งกว่านั้นอาจจะสามารถคุกคามราชันในขอบเขตปราณเทวะได้ด้วยซ้ำ
“ดูท่าทางแล้วน่าจะยังเหลือเวลาอีกช่วงหนึ่ง มังกรวารีล้างโลกาถึงจะพุ่งทะยานออกจากแกนโลก”
กูเจาจื้อแห่งตำหนักวิญญาณปฐพีเอ่ยเสียงต่ำ
การกระทบกันและการสั่นไหวที่มาจากแกนโลกส่งมาเป็นระลอกๆ
จากสถานการณ์ภัยพิบัติที่เกิดขึ้นและความถี่การสั่นสะเทือน ก็พอจะสามารถประเมินสถานการณ์บริเวณแกนโลกคร่าวๆ ได้
“พวกเจ้าออกไปจากเมืองใต้ดินก่อน” กูเจาจื้อเอ่ยกำชับ
ทางฟากของตำหนักวิญญาณปฐพี มีครึ่งก้าวสู่ราชันหลายคน ยอดฝีมือในวัยอาวุโสก็มีประสบการณ์มากมาย
แซ่ด ขวับ!
กูเจาจื้อเคลื่อนกายลากแสงสายฟ้าที่แหลมคมออกยาว และเดินทางไปตามเส้นทางที่จ้าวเฟิงและหนานกงเซิ่งไป
“ผลึกปีศาจเพียงแค่ถูกย้ายไปที่เขตแดนมิติของหนานกงเซิ่งชั่วคราวเท่านั้น เรื่องนี้ยังเปลี่ยนแปลงได้”
กูเจาจื้อคิดวางแผนในใจ
ไม่ถึงครึ่งชั่วยาม ลูกศิษย์ของทั้งสามสำนักได้เร้นกายจากไป โดยแลกกับการบาดเจ็บของคนจำนวนน้อย
โลกบนดิน
บนทะเลทรายที่เวิ้งว้าง เสียงพัดของทรายหวีดหวิว
สวบ! หนานกงเซิ่งและจ้าวเฟิงปรากฏกายขึ้นบนผืนทรายตามลำดับ
“จ้าวเฟิง นี่คือเลือดของเจ้า”
หนานกงเซิ่งใช้เคล็ดวิชามิติ เอาเลือดบริสุทธิ์บ่อหนึ่งมอบให้แก่จ้าวเฟิง
จ้าวเฟิงผงกศีรษะน้อยๆ แต่กลับไม่ได้รีบจากไปแต่อย่างใด
“ศิษย์น้องจ้าว เจ้ายังมีแผนการอะไรบ้าง?” หนานกงเซิ่งถาม
เรื่องดำเนินมาจนถึงตอนนี้ เขาทายได้เลยว่าจ้าวเฟิงจะต้องเผชิญหน้ากับการเปลี่ยนแปลงต่างๆ มากมายจนทำให้ถือกำเนิดใหม่
“ข้ามีความคิดอย่างหนึ่ง แต่ไม่รู้ว่าศิษย์พี่หนานจะกล้าหรือไม่” จ้าวเฟิงยิ้มเรียบๆ
ทันใดนั้นเอง คนทั้งสองก็สื่อสารกันผ่านห้วงคิดเซียน
“เจ้า…ที่แท้เจ้าจะฉวยโอกาสจากมังกรวารีล้างโลกา?”
หนานกงเซิ่งอดสูดลมหายใจหวาดหวั่นไม่ได้
ความคิดของจ้าวเฟิงใจกล้าเกินคนทั่วไป
“มีทั้งอันตรายและโอกาส แต่ข้าเชื่อว่าขอแค่ศิษย์พี่หนานควบคุมและใช้ผลึกปีศาจ ย่อมต้องมีวิธีการในการป้องกันแน่”
จ้าวเฟิงเอ่ยอย่างแบ่งรับแบ่งสู้
สีหน้าของหนานกงเซิ่งเขียวคล้ำสลับไปมา ลังเลอยู่ชั่วขณะหนึ่ง แล้วจึงผงกศีรษะอย่างแน่วแน่
พรึ่บ! กูเจาจื้อแห่งตำหนักวิญญาณปฐพีเผยกายใกล้ๆ กันกับคนทั้งสอง ทั้งยังเดินมาทักทายอีกด้วย
หนานกงเซิ่งย่อมเข้าใจว่ากูเจาจื้อผู้นี้ยังไม่ถอดใจกับ ‘ผลึกปีศาจ’
แต่ในเวลานี้ จ้าวเฟิงและหนานกงเซิ่งตกลงเป็นพันธมิตรกันอย่างเป็นทางการ ตัดสินใจร่วมมือกันค้นหาเอาผลประโยชน์ของมิติเทพลวงตา
กูเจาจื้อมองเห็นจ้าวเฟิงและหนานกงเซิ่งคุยกันด้วยท่าทีสนิทสนมแนบแน่นกว่าเดิม ใจก็เย็นวาบ
หนานกงเซิ่งแค่คนเดียวก็แข็งแกร่งขนาดนี้แล้ว ถ้าหากว่าบวกกับจ้าวเฟิงที่ลึกล้ำเกินคาดเดา เขาจะไม่มีโอกาสชนะแม้แต่นิดเดียว
เมื่อเห็นดังนั้น กูเจาจื้อทำได้เพียงค่อยๆ หลีกเร้นกายไปก่อนชั่วคราว
“จ้าวเฟิง!”
“ศิษย์น้องจ้าว…”
ผู้เฒ่าเฟ่ยและข่งเฟยหลิงแห่งสำนักศักดิ์สิทธิ์วั่นก็มาถึงในบริเวณใกล้เคียง
“ผู้เฒ่าเฟ่ยและเพื่อนรว่มสำนักทุกคน พวกท่านรีบหนีออกไปให้ไกลจากมังกรวารีทมิฬเถอะ”
จ้าวเฟิงรีบเตือน
ดวงตาเทพเจ้าของเขาได้สำรวจสถานการณ์ใต้ดิน จากการสั่นสะเทือนของผืนดิน เวลาที่มังกรวารีล้างโลกาจะกลับมาเห็นดาวเห็นเดือนน่าจะอีกไม่นานแล้ว
“จ้าวเฟิง แล้วเจ้า…” ช่งเฟยหลิงและหลิ่วเทียนฝานสีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย
“ข้าและหนานกงเซิ่งยังมีธุระอย่างอื่นต้องสะสางด้วยกัน หากมีวาสนาคงได้พบกันอีก” จ้าวเฟิงตัดบท
เมื่อพูดประโยคนี้จบ เขาและหนานกงเซิ่งจากไปทันที กลมกลืนเข้ากับผืนทรายที่อยู่ไกลลิบ
“จ้าวเฟิงผู้นี้ไม่มีความคิดเรื่องพรรคพวกแม้แต่น้อย”
“เขาเดินทางไปเพียงลำพัง ไม่ไยดีในความเป็นตายของพวกเรา”
คนของสำนักศักดิ์สิทธิ์วั่นเอ่ยอย่างไม่พอใจยิ่ง
มีเพียงผู้เฒ่าเฟ่ยที่อารมณ์สงบนิ่งดังเก่า ถอนหายใจก่อนเอ่ย “บางทีพวกเจ้าอาจจะเป็นภาระของเขา ก็คิดซะว่าเขายังเป็นเพียงแค่ศิษย์ในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับต่ำธรรมดาเถอะ”
ยามที่แยกกันในโลกใต้ผืนดิน เขามองออกแล้วว่าจ้าวเฟิงอยากจะแยกตัวออกจากสำนักไปร่วมมือกับหนานกงเซิ่ง
เมื่อได้ยินเช่นนั้นแล้วคนอื่นๆ ก็ไม่มีใครตีโพยตีพายอีก
ถ้าหากว่าจ้าวเฟิงเป็นเพียงแค่คนในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับต่ำธรรมดา เช่นนั้นแล้วเขาจะอยู่หรือไปก็ไม่มีความหมายใดๆ ต่อกองกำลัง เมื่อคิดแบบนี้แล้วใจก็สงบลง
ครืน~
เมื่อเวลาหมุนเวียนเปลี่ยนไป ความรู้สึกสั่นสะเทือนจากใต้ดินก็ยิ่งรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
กลุ่มคนของสำนักศักดิ์สิทธิ์วั่นรีบร้อนเดินทาง เพื่อหลีกหนีออกจากต้นตอของการสั่นสะเทือนให้ไวที่สุด
คนของตำหนักวิญญาณปฐพีและวังสุริยันม่วงก็ล้วนแต่กระจายตัวไปคนละทิศคนละทาง
ประมาณสองชั่วยามผ่านไป
ตู้ม! ในโลกใต้ดินมีเสียงพังครืนลงมา พร้อมด้วยเสียงโหยหวนหวาดกลัวของสิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วน
บนพื้นเกิดรอยแยกกว้างราวกับเป็นแม่น้ำสายใหญ่
หินหนืดใต้ดินที่มีอุณหภูมิสูงปะทุจากพื้นดิน กลิ่นอายทำลายล้างฟ้าดินก็ทะลักออกมาด้วย
เวลานั้น ในรัศมีหลายหมื่นลี้รอบๆ สิ่งมีชีวิตนับไม่ถ้วนหรือจะเป็นยอดฝีมืออัจฉริยะที่มาจากโลกภายนอก ล้วนสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายทำลายล้างจนหายใจไม่ออก
เสียงคำรามกึกก้องของมังกรทำให้ผืนดินสั่นสะเทือน ไฟระอุกับหินหนืดพวยพุ่งออกมาจากพื้นดิน
พู่ว~
มังกรวารีมหึมายาวถึงห้าร้อยจั้งบินขึ้นจากรอยแยกหินหนืด นัยน์ตาสองข้างของมันมืดมิดเย็นชา มีขนาดพอๆ กับห้องหนึ่ง ร่างปกคลุมด้วยเกล็ดสีดำเก่าแก่ เมื่อมองอย่างละเอียดจะพบว่าร่างของมังกรเกล็ดดำยังรัดตรึงด้วยโซ่สีดำหนาเท่าถังน้ำหลายเส้น ในขณะที่โบยบินก็ส่งเสียงดัง ‘เคร้ง เคร้ง’ ไม่หยุด
มังกรวารียักษ์เกล็ดสีดำตัวนั้น ทิ้งไว้เพียงเงาดำขนาดใหญ่ มองเห็นได้แม้แต่ในระยะพันลี้
กลิ่นอายภัยพิบัติที่ทำลายฟ้าดิน ส่งผลให้เกิดความหวาดกลัวไปทั่ว โดยมีมังกรวารีสีดำเมื่อมตัวนั้นเป็นจุดศูนย์กลาง รัศมีคุกคามกระจายออกไปหลายหมื่นลี้
ในทะเลทราย
ลูกศิษย์ส่วนหนึ่งที่หนีออกไปไกล ขาสองข้างยังสั่นเทา
กลิ่นอายสายเลือดของเผ่าพันธุ์มังกรล้างโลกาและพลังมังกรไร้รูปร่าง ทำให้สิ่งมีชีวิตนับหมื่นต้องสั่นสะท้านหวาดกลัวโดยสัญชาตญาณ
“แข็งแกร่งยิ่งนัก! นั่นคือมังกรวารีล้างโลกา…”
สมาชิกของทั้งสามสำนักที่ล่าถอยไปไกล แต่ละคนล้วนใจเต้นด้วยความพรั่นพรึง
ทำให้พวกเขารู้สึกว่า พลังของมังกรเกล็ดดำตัวนี้น่าจะอยู่เหนือขั้นจักรพรรดิในขอบเขตปราณเทวะไปมาก
“พวกมดปลวก ตายซะเถอะ…”
มังกรวารีล้างโลกาโบกกรงเล็บขนาดใหญ่ ลมพายุสีดำทะมึนที่ไร้รูปร่างหมุนคว้างไปเป็นรัศมีสิบลี้
“อ๊าก — —”
เผ่าพันธุ์ใต้ดินต่างๆ ที่หนีไปบนพื้นดินเผชิญหน้ากับภัยพิบัติต่างๆ
มนุษย์หนู มนุษย์หมาป่า มนุษย์กิ้งก่า และเผ่าพันธุ์อื่นๆ จำนวนนับร้อยในเมืองใต้ดิน ล้วนสูญสลายเป็นเถ้าธุลีภายใต้แรงพายุดำทะมึนจากกรงเล็บยักษ์ของมังกรวารี
ทุกเวลาทุกนาทีมีการดับสลายของเผ่าพันธุ์ใต้ดิน
ในนี้ส่วนมากตายด้วยเพลิงของไฟหินหนืด มีจำนวนน้อยนิดอย่างยิ่งที่ถูกสังหารโดยมังกรวารีล้างโลกาในทันที
“มดปลวกฝูงหนึ่งเท่านั้น!”
ร่างเกล็ดดำใหญ่ยักษ์ของมังกรวารีล้างโลกาโบยบินผ่านไป เผ่าพันธุ์ต่างๆ ใต้ดินจำนวนนับพันนับหมื่นถูกบดขยี้จนตาย
แกรก!
ภายใต้กรงเล็บของมังกรวารีทมิฬ พื้นดินแยกตัวออก มันร้องคำราม พายุฝนฟ้าคะนอง เมฆดำทะมึนและสายฟ้าลั่นแปลบปลาบสอดประสาน
“มังกรวารีทมิฬ! ปิศาจจะลงโทษเจ้า!”
ยอดฝีมือของเผ่าพันธุ์ใต้ดินที่ติดอยู่ในสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานลุกขึ้นมาโจมตีกลับ
หนึ่งในนั้นมีผู้นำยักษ์ขั้นราชัน นำยอดฝีมือของเผ่าพันธุ์ใต้ดินในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูงและครึ่งก้าวสู่ราชันส่วนหนึ่งทะยานไปหามังกรวารีทมิฬ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้นำยักษ์ในขั้นราชันตนนั้น ร่างกายใหญ่โตพอๆ กับอาคารสามชั้น พลังในการป้องกันน่าตื่นตะลึง
ผัวะ!
หางขนาดใหญ่ของมังกรวารีล้างโลกาสะบัดอย่างรุนแรงครั้งหนึ่ง ทันทีที่เข้าปะทะ ร่างของยอดฝีมือผู้แข็งแกร่งก็จะกลายเป็นก้อนเนื้อเละๆ ไป
โครม!
ผู้นำยักษ์ในขั้นราชันผู้นั้นร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผล พลังป้องกันเข้าใกล้ขั้นจักรพรรดิของเขา เมื่ออยู่เบื้องหน้ามังกรวารีล้างโลกายังไม่อาจต้านทานการโจมตีได้
พู่ว!
มังกรวารีล้างโลกาอ้าปากพ่นระลอกเพลิงสีดำทมิฬ ทำให้ผู้นำยักษ์กลายเป็นขี้เถ้าไป
อีกทั้งสิ่งที่พ่นออกมาเหมือนจะไม่ใช่เพลิงมังกรล้างโลกดั้งเดิมที่แท้จริงอีกด้วยร่างกายใหญ่โตไร้เทียมทานของมังกรวารีล้างโลกา ทับสังหารเผ่าพันธุ์ใต้ดินที่อยู่ใกล้เคียง
โครม เปรี้ยง——
ในทุกที่ที่มังกรวารีทมิฬผ่าน อารยธรรมทุกอย่างของโลกใต้ดินล้วนแต่ถูกกวาดราบจนเป็นหน้ากลอง
หลังจากที่ปล่อยลูกไฟออกมาแล้ว มังกรวารีล้างโลกาก็ชะงักงันไปชั่วครู่หนึ่งอยู่กลางอากาศ ยังมีเผ่าพันธุ์ใต้ดินจำนวนเล็กน้อยแตกกระสานซ่านเซ็นหนีไป มังกรวารีทมิฬดูแคลนเกินกว่าจะไล่ตามสังหาร
เคร้ง เคร้ง เคร้ง!
มังกรวารีล้างโลกาดิ้นรนกลางอากาศในทันใด เพียรพยายามจะใช้ร่างกายอันใหญ่โตไร้ผู้ใดต้านทานของมันทำลายโซ่สีดำขนาดราวถังน้ำ
แต่ทว่า วัสดุในการสร้างโซ่สีดำนั้นพิเศษอย่างยิ่ง ยิ่งมันดิ้นรนเท่าไรก็ยิ่งหมดเรี่ยวแรงลงไปเท่านั้น
“ ‘โซ่ผนึกวิญญาณ’ นี้กักขังพลังจำนวนมากของข้าเอาไว้ กระทั่งไม่สามารถดูดซึมไอสวรรค์ในฟ้าดินได้…”
การดิ้นรนของมังกรวารีทมิฬไม่มีผลใดๆ
“เทพบรรพกาลเสียหยาง! โลกของเจ้าสูญสลายเป็นซากแล้ว รอให้ข้าไปที่ที่พักของเจ้า หากุญแจให้เจอ และฟื้นฟูพลังก่อน ข้าจะทำลายโลกนี้ให้สิ้นซากไป”
มังกรวารีล้างโลกาคำรามอย่างโกรธเกรี้ยวไม่หยุด
“วูบ!”
ทันใดนั้น มังกรวารีล้างโลกาก็กลายร่างเป็นเงามังกรดำขนาดใหญ่ตัวหนึ่ง แล้วผสานเป็นส่วนหนึ่งของผืนฟ้า
ในทะเลทรายเวิ้งว้างว่างเปล่า
ถึงแม้ว่ายอดฝีมือผู้แข็งแกร่งของทั้งสามสำนักจะจากไปไกลแล้ว ก็ยังคงรู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือนอยู่ดี
บางที มังกรวารีล้างโลกาอาจสัมผัสได้ถึงสิ่งมีชีวิตเล็กจ้อยเหล่านี้ แต่ไม่คิดจะไปไล่ล่าสังหารทีละคน
การล่าสังหารเมื่อครู่เป็นเพียงแค่การระบายความอัดอั้นที่มีมาอย่างยาวนาน
จุดสำคัญของมันในตอนนี้คือการทำลาย ‘โซ่ผนึกวิญญาณ’ เพื่อทะลวงขีดจำกัดขึ้นไปอีกขั้นหนึ่ง
พู่ว~
ยอดฝีมือผู้แข็งแกร่งของทั้งสามสำนักสัมผัสได้ถึงระยะห่างของ ‘มังกรวารีล้างโลกา’ แต่ละคนยังขวัญหนีดีฝ่อ ถอนหายใจยาว
ในเวลาเดียวกันนั้นเอง
ณ ส่วนลึกของทะเลทราย ภายในหลุมทรายลับตาแห่งหนึ่ง
พรึ่บ! พรึ่บ!
เงาสองร่างปรากฏขึ้น ร่างหนึ่งเป็นบุรุษหนุ่มชุดดำ อีกหนึ่งคือเด็กหนุ่มผมม่วงใบหน้าหล่อเหลา
“จ้าวเฟิง เจ้าตัดสินใจจะไล่ตาม ’มังกรวารีล้างโลกา’ จริงหรือ?”
หนานกงเซิ่งยังหวาดกลัวอยู่
“ไม่ต้องตามติดมาก เพียงแค่ไล่ตามกลิ่นอายทำลายล้างของมันไป มังกรวารีทมิฬตัวนี้จะต้องมีความเชื่อมโยงกับมิติเทพลวงตาและความลับที่สำคัญของเทพแน่ๆ”
จ้าวเฟิงเอ่ยด้วยสีหน้าสงบ แววตาเปล่งประกาย