Skip to content

King of Gods 813

King Of Gods

บทที่ 813 ศัตรูผู้แข็งแกร่งล่าถอย

พรึ่บ! แสงสีเงินม่วงโบยบินไปยังเทือกเขาไกลออกไปด้วยความเร็วที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

หลังจากที่ทำลายเด็กหนุ่มในขั้นราชันจากจวนหยวนกง แล้ว แถวนั้นก็ไม่มีใครพอจะขัดขวางจ้าวเฟิงและหนานกงเซิ่งได้อีก

ราชันที่ตามไล่ล่าพวกเขาในภายหลังมีจำนวนน้อยนักที่จะเร็วได้เท่ากับหนานกงเซิ่ง

“รวดเร็วเหลือเกิน…”

ราชันของตระกูลสือและตระกูลต่งตามไปได้เพียงชั่วครู่ ก็ทำได้เพียงมองแสงสีเงินม่วงดังกล่าวไกลออกไปทุกที คิดจะรั้งราชันในแขนงมิติเอาไว้ ความยากนั้นเป็นหลายเท่าตัวของราชันคนอื่นในระดับเดียวกัน

“แผนการล้อมโจมตีล้มเหลวได้อย่างไรกัน!”

เสียงเกรี้ยวกราดดังขึ้นจากอีกฟากของป่าโบราณ

พรึ่บ! ชายหัวล้านรูปร่างสูงใหญ่ในชุดนักรบสีดำแหวกอากาศมาพร้อมกับพลังศาสตร์มารที่รุนแรงและทรงพลัง

ผู้ที่มาเยือนคือ ‘จิวอู๋จี้’ แห่งวังเก้านิรย จากนั้นเป็นผู้เฒ่าหน้าเหี่ยวย่นและองค์ชายสิบสามแห่งราชวงศ์ที่เร่งรุดมาถึง

“การไล่ล่าเป็นขั้นๆ มาจนถึงกาารล้อมสังหาร ในช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวาน สองคนนั้นก็จับได้…”

ผู้เฒ่าหน้าเหี่ยวถอนหายใจ

กองกำลังขั้วอำนาจมากมายของพวกเขา ระดับขั้นพรสวรรค์ก็ไม่ด้อยไปกว่าใคร ในนั้นไม่ขาดแคลนยอดฝีมือที่สามารถสะกดรอยตาม

หลังจากที่ไล่ล่าอย่างระมัดระวังและตัดตำแหน่งอยู่หลายวัน สำนักต่างๆ ก็ยืนยันตำแหน่งที่อยู่ของจ้าวเฟิงและพวกได้แล้ว จึงจะทำการล้อมจับ

แต่คาดคิดไม่ถึงว่า ในช่วงเวลาสำคัญสุดท้ายกลับแหวกหญ้าให้งูตื่น

อีกฟากหนึ่ง บนชั้นเมฆเหนือยอดเขา

“หนานกงเซิ่ง ความสามารถของเครื่องประดับเจ้านับว่าไม่เลวเลย…”

จ้าวเฟิงค่อนข้างจะประหลาดใจ

ในขณะที่เลือกของในตอนแรก จ้าวเฟิงไม่ใส่ใจอะไรในเครื่องประดับจมูกนี้ด้วยไม่ใช่รสนิยมของเขา ที่แท้ เครื่องประดับจมูกชิ้นนี้ของหนานกงเซิ่งทำให้มีความสามารถในการดมกลิ่นที่ว่องไว ประสาทสัทผัสทางจมูกประเภทนี้ สามารถใช้สะกดรอยตาม และยังใช้ตัดสินธาตุของสมบัติทรัพยากรต่างๆ ได้ ถึงขั้นที่ว่ามันสามารถสกัดกั้นพิษต่างๆ จากภายนอกได้ด้วย และก็เป็นเพราะเครื่องประดับจมูกชิ้นนี้ ทำให้หนานกงเซิ่งสัมผัสถึงกลิ่นอายของพวกคนที่ไล่ล่าสังหารเหล่านั้น บวกกับดวงตาเทพเจ้าของจ้าวเฟิงที่สอดส่ายสายตาหาเส้นทางการหลบหนีที่ดีที่สุด

สำหรับหนานกงเซิ่งแล้ว นี่เท่ากับเป็นพลังสายเลือดที่สามารถช่วยเหลือเขาได้เลยทีเดียว

แน่นอนว่า เครื่องประดับจมูกชิ้นนี้ไม่มีค่าอะไรกับจ้าวเฟิงมากมายนัก ดวงตาเทพเจ้าของเขามีความสามารถคล้ายๆ กันแล้ว หรือกระทั่งแข็งแกร่งกว่าด้วยซ้ำ แตกต่างกันตรงที่หนึ่งคือประสาทสัมผัสทางตา ส่วนอีกอย่างคือประสาทสัมผัสทางจมูก

“เจ้าหัวขโมย จะหนีไปไหน”

พลังมหาศาลในศาสตร์มารที่เขย่าขวัญทะลักถาโถมมาจากทิวเขาด้านหลัง

จ้าวเฟิงและหนานกงเซิ่งใจชาวาบ

พรึ่บ! เห็นเพียงชายหนุ่มฉกรรจ์หัวล้านที่หลังงอกปีกมารเพลิงสีดำดังมารตนหนึ่ง ทะยานเข้ามาใกล้อย่างดุดัน

รวดเร็วเหลือเกิน! บนใบหน้าของจ้าวเฟิงและหนานกงเซิ่งเผยความเคร่งขรึม

’จิวอู๋จี้’ ผู้นี้ ไม่เสียทีที่เป็นยอดมือผู้โดดเด่นในบรรดาราชันอาวุโส พลังลึกล้ำ เคล็ดวิชาก็แกร่งกล้า

ในเวลาดังกล่าว จิวอู๋จี้ได้เปรียบทางด้านความเร็ว เขาสามารถไล่ตามจ้าวเฟิงและหนานกงเซิ่งทัน

“เจ้าคนหัวล้าน! แค่เจ้าเพียงคนเดียวคิดจะรั้งพวกเราไว้งั้นเรอะ?” หนานกงเซิ่งหัวเราะเสียงเย็น

แน่นอนว่ากำลังคนที่ไล่ล่าสังหารมา คนที่พอจะไล่ตามมาได้ทันจริงๆ ก็เห็นจะมีเพียงแต่จิวอู๋จี้ บางทีผู้เฒ่าหน้าเหี่ยวที่อยู่ข้างกายองค์ชายสิบสาม ก็คงมีความสามารถอยู่บ้างเช่นกัน เพียงแต่ฝ่ายหลังคอยพะวงจะปกป้ององค์ชาย

“เช่นนั้นก็ลองดู…”

จิวอู๋จี้เลียริมฝีปากไปมา ใบหน้ามืดทะมึนโหดเหี้ยม

ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นยอดฝีมืออาวุโส แต่ว่าความสามารถจริงๆ ของเขา อย่างน้อยก็ เป็นหนึ่งในสิบสามอันดับต้นๆ ของอัจฉริยะรายชื่อจักรพรรดิ และค่อนไปทางอันดับต้นๆ อยู่เล็กน้อย

โครม! ปีกมารเพลิงสีดำบริเวณหลังของจิวอู๋จี้ หอบเอาลมพายุเพลิงสีดำที่ลอยคละคลุ้งชั้นหนึ่งมาด้วย จึงทำให้ท้องฟ้าใกล้เคียงมืดทะมึน อานุภาพมารมหาศาลที่มีพลังของเขตแดนมิติ ปะทะเข้าใส่จ้าวเฟิงและหนานกงเซิ่งอย่างรวดเร็ว

“โครม!”

ร่างของหนานกงเซิ่งและจ้าวเฟิงสั่นเทา พื้นที่มิติที่อยู่สั่นไหวอย่างรุนแรง จนมีแนวโน้มไม่มั่นคง

ในเวลาเดียวกัน กลิ่นอายของเงามืดที่ดำสนิทราวกับหมึกก็พยายามบุกทะลวงเข้ามาในเขตแดนมิติของหนานกงเซิ่ง

“แย่แล้ว!” จ้าวเฟิงหนานกงเซิ่งถอยร่นติดๆ กัน แรงกดดันกลุ่มหนึ่งหลั่งไหลทะลักเข้ามาจากรอบทิศทาง การปะทะในขั้นแรกเริ่มของเขตแดนมิติ ทำให้ตัดสินความต่างของราชันทั้งสองได้ ถึงแม้ว่าหนานกงเซิ่งจะเป็นอัจฉริยะที่หาได้ยาก มีกายจิตวิญญาณฟ้าและกายจิตว่างในเวลาเดียวกัน แต่เขตแดนมิติที่ราชันธรรมดาสร้างขึ้นมักอยู่ได้ไม่นาน

เมื่อย้อนกลับมามอง ‘จิวอู๋จี้’ ปราณที่แท้จริงที่แฝงอยู่ของเขาลึกล้ำเกินจะเปรียบ ศาสตร์วิชาอยู่ในระดับขั้นสมบูรณ์แบบ

เขตแดนมิติที่เขาสร้างย่อมแข็งแกร่งไม่ด้อยไปกว่าราชันระดับสุดยอด

“หัตถ์เวหามาร!”

จิวอู๋จี้ตะโกนเสียงกร้าว มือข้างหนึ่งที่เต็มไปด้วยเพลิงเผาผลาญ ขยายออกจนกลายเป็นมือขนาดใหญ่สีดำที่ทะลวงผ่านฟ้าดิน

พรึ่บ! ‘หัตถ์เวหามาร’ ใหญ่ยักษ์นั้นทำให้เกิดไอเพลิงเมฆมารที่ลอยคละคลุ้ง ทำให้แผ่นดินปริแยกฟ้าถล่มลง กำลังรบของมันข้ามผ่านเส้นแบ่งพลังไปแตะขั้นราชันระดับสุดยอดแล้ว

ตูม! บึ้ม!

จ้าวเฟิงและหนานกงเซิ่งร่วมแรงกับรับการโจมตี แต่ก็ยังโดนหัตถ์เวหามารกดดันจนร่วงหล่นลงไปยังหุบเขาด้านล่าง

อันดับแรก ในเขตแดนมิติของจิวอู๋จี้มีแรงกดดันอยู่ขั้นหนึ่ง

พวกส่วนประกอบของวิชา ความชำนาญ ระดับพลัง จิวอู๋จี้ก็แตะขั้นราชันระดับสุดยอดไปแล้ว

แต่จ้าวเฟิงและหนานกงเซิ่ง กำลังรบหลักก็ยังคงเป็นหนานกงเซิ่ง และจนถึงตอนนี้จ้าวเฟิงล้วนแต่ให้ความช่วยเหลือเป็นหลัก

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า…เจ้าหัวขโมยสองคน! จะสังหารพวกเจ้า ข้าคนเดียวก็เพียงพอแล้ว”

จิวอู๋จี้ตะโกนก้อง ตรงไปสังหารคนทั้งสองอย่างอุกอาจและไร้ความกังวล

ความจริงแล้ว จิวอู๋จี้มีความสามารถจะทะลวงผ่านขั้นราชันระดับสุดยอดเมื่อสิบปีก่อน แต่เพื่อจะเพิ่มอัตราส่วนในการเข้ามาภายในมิติเทพลวงตาให้ได้ เขาจึงจำกัดการพัฒนาของพลังฝึกตน คงไว้ที่ขั้นราชันระดับลึกซึ้ง

นี่เป็นเพราะว่า สัดส่วนที่ราชันระดับสุดยอดจะเข้ามาภายในมิติเทพลวงตาค่อนข้างต่ำ ต่อให้เป็นสำนักสี่ดาวก็ไม่มีโอกาสมากนัก

“ดูซิว่าวิชาของเจ้าจะสามารถดำรงอยู่ต่อไปได้นานเท่าใด!”

หนานกงเซิ่งร่อนลงบนพื้น ตราจันทร์เสี้ยวบนหน้าผากสาดแสงประกาย เรือนผมสีม่วงสะบัดพลิ้วไปตามสายลม

บนพื้นดิน จ้าวเฟิงและหนานกงเซิ่ง สองคนผู้มีเรือนผมสีม่วงมองสบตากัน

“ลงมือ!” คนทั้งสองลงมือพร้อมกัน

“กายสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์!”

โครงกระดูกทั่วร่างของจ้าวเฟิงส่งเสียงดังกรอบ ร่างกายสูงใหญ่ขึ้นหลายส่วน ทั่วร่างปรากฏระลอกธาตุทองสีเงินขึ้นชั้นหนึ่ง

โครม! ลายสายฟ้าของแก่นแท้พลังกายศักดิ์สิทธิ์ปรากฏขึ้นรางๆ ก่อนตรงดิ่งไปหาจิวอู๋จี้ที่อยู่กลางอากาศ

เมื่อได้เพิ่มความแข็งแกร่งจากวิชากายสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ แก่นแท้พลังกายศักดิ์สิทธิ์ของจ้าวเฟิงก็แทบจะเทียบเท่ากับราชันได้ในระยะเวลาอันสั้น

แต่นี่เป็นเพียงแค่พลังพื้นฐานของเขาเท่านั้น

“ปีกวายุอัสนี!”

เบื้องหลังของจ้าวเฟิงเผยลำแสงปีกคู่หนึ่งลักษณะเหมือนระลอกวารีอัสนีคิดไม่ถึงเลยว่าจะดึงดูดพลังมหาศาลของวายุอัสนีที่แกร่งกล้าในฟ้าดิน ระดับพลังสูงส่งอย่างยิ่ง

และไม่ได้จบเพียงขั้นนี้!

“เปิดออก!”

ทั่วร่างกายขอจ้าวเฟิงปรากฏลูกไฟสีแดงสว่างเจิดจ้า เขากลายเป็นดังร่างมารเพลิงโลหิตผู้หนึ่ง ท่าทางอำมหิต

หลังจากเพิ่มพลังขึ้นสองครั้งแล้ว การโจมตีของแก่นแท้พลังกายสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ก็แตะไปถึงระดับขั้นราชัน หรือกระทั่งเหนือกว่าราชันทั่วไปด้วย

ยังมีขั้นสุดท้าย!

“ตู้ม!”

รองเท้าโบราณสีฟ้าที่จ้าวเฟิงสวมอยู่ สาดซัดแสงลูกไฟเพลิงสีเขียวเส้นหนึ่ง และความเร็วก็เพิ่มขึ้นในฉับพลันหลายเท่าตัว ในความเร็วที่เพิ่มขึ้นจนถึงขีดสุดนั้น แรงที่ระเบิดทะลักของจ้าวเฟิงก็ไปถึงระดับขั้นที่น่าสะพรึงขวัญ

จิวอู๋จี้รู้สึกถึงเพียงเสี้ยวเงาสั่นแวบหนึ่ง เงาร่างกายขนาดใหญ่ของปีกอัสนีเพลิงโลหิต นำพลังมหาศาลในฟ้าดินที่ไม่อาจจะบรรยายได้ปะทะลงมาใกล้ๆ

ผลั่ก! โครม แก่นแท้พลังหมัดที่ร้ายกาจของจ้าวเฟิงปะทะเข้ากับร่างของจิวอู๋จี้

“เป็นไปได้อย่างไร…”

ร่างกายเละเลือดลมของจิวอู๋จี้พลันหนักอึ้ง ร่างกายสั่นสะท้าน ยากเกินจะเชื่อได้

คิดไม่ถึงเลยว่าการโจมตีของเด็กหนุ่มผู้นั้นจะทะลวงผ่านกลุ่มพลังศาสตร์มารที่ไร้รูปร่างรอบกายและเขตแดนของเขาจนกระทบไปยังร่าง

“ทำลาย!”

เส้นสีเงินสว่างวาบหนึ่ง หนานกงเซิ่งใช้ท่าร่างมิติเข้าไปใกล้ และในใจกลางฝ่ามือจึงปรากฏคลื่นมีดไร้รูปร่างสีเงินม่วงระลอกหนึ่งออกมา พลังมิติที่น่ากลัวกระแทกจนสรรพชีวิตนับหมื่นสูญสลายกลายเป็นผุยผง หนำซ้ำการโจมตีของหนานกงเซิ่งยังหลอมรวมเอาพลังพิเศษของผลึกปีศาจเข้าไปด้วย

เปรี๊ยะ! โครม บึ้ม!

และในเวลานั้นเอง จิวอู๋จี้ก็ตั้งรับการโจมตีอันบ้าคลั่งของจ้าวเฟิงและหนานกงเซิ่งอย่างรวดเร็ว

“เขตพลังเวหามาร!”

จิวอู๋จี้ลอยตัวกลางอากาศ ความว่างเปล่ารอบกายของเขาเป็นสีดำบิดเบี้ยว เกิดสัมผัสประหลาดราวกับว่ามิติจะถล่มลงมา กลุ่มพลังที่แข็งแกร่งนั้นได้โยกย้ายและดูดซึมการโจมตีทั้งหมด

หัตถ์เวหามาร!

จิวอู๋จี้โบกมือยักษ์สีดำสนิท หลอมรวมเข้าไปในอากาศ เพลิงควันสีดำลอยละล่องกดทับจ้าวเฟิงและหนานกงเซิ่งอีกครั้ง

เขตแดนมิติของหนานกงเซิ่งก็สั่นไหวอีกระลอกหนึ่ง

แก่นแท้พลังกายศักดิ์สิทธิ์ของจ้าวเฟิงเจ็บปวดอย่างสาหัสจากการโดนโจมตีกดข่มอันรุนแรงของมือยักษ์สีดำ

“เฮอะ เฮอะ แรงระเบิดในชั่วขณะแล้วจะอย่างไร?”

จิวอู๋จี้หัวเราะเสียงเย็น เขาลอบคาดเดาว่าจ้าวเฟิงอาจจะเป็นราชันคนในคนหนึ่งหรือกระทั่งจักรพรรดิที่เปลี่ยนร่างถือกำเนิดใหม่

สำหรับราชันปราณเทวะแล้ว การเปลี่ยนร่างถือกำเนิดใหม่ไม่นับว่าเป็นเรื่องประหลาดอะไร ขอเพียงแค่รับแรงระเบิดของจ้าวเฟิงในช่วงเวลาสั้นๆ ได้ สามารถโจมตีกลับและควบคุมพลังนั้นเอาไว้

เพล้ง! ตู้ม!

ในตอนนี้ จ้าวเฟิงและหนานกงเซิ่งตกอยู่ในเหตุการณ์เลวร้ายอีกครั้ง โดน ‘หัตถ์เวหามาร’ กดดันจนตกลงบนพื้นแถวนั้น

สวบ สวบ!

ในเวลาเดียวกันนั้นเอง ยอดฝีมืออย่างพวกผู้เฒ่าหน้าเหี่ยวและองค์ชายสิบสามที่อยู่ไกลๆ ก็ไล่ตามมาเช่นกัน

“วินาทีสุดท้ายแล้ว ดูซิว่าพวกเจ้าจะหนีไปไหนกัน”

ในดวงตาของจิวอู๋จี้ฉายแววลิงโลด ขอแค่กำลังเสริมมาถึง จ้าวเฟิงและหนานกงเซิ่งถึงจะติดปีกก็ยากที่จะบินหนีไปได้

“โจมตีครั้งสุดท้าย!”

จ้าวเฟิงและหนานกงเซิ่งสบตากัน แล้วจึงโจมตีและปลดปล่อยพลังที่น่าสะพรึงขวัญออกมาอีกครั้งจากบริเวณใกล้เคียง

“น่าขันนัก!” มุมปากของจิวอู๋จี้ยกขึ้นเป็นรอยยิ้มเยาะ

ความต่างอย่างมหาศาลของพื้นฐานพลัง ไม่ใช่สิ่งที่จะพึ่งพาเพียงแรงระเบิดพลังเพียงชั่วขณะหนึ่งของกลวิธีการต่อสู้หรือไม่ก็ระดับพลังมาชดเชยได้

แต่ทว่าร่างกายของจิวอู๋จี้ก็ค้างแข็งขึ้นในทันใด

บึ้ม! หมัดของจ้าวเฟิงหลอมรวมเอาสายเลือดและแก่นแท้พลังที่แกร่งกล้า ในครรลองสายตาก็ปรากฏการทับซ้อนของมิติที่แปลกประหลาด เกิดความรู้สึกว่าจิตวิญญาณวุ่นวายสับสนไปหมด

“เขตแดนเมืองมายา!”

ในทันใดนั้นเอง ประสาทสัมผัสของจิวอู๋จี้ก็ถูกบดบังไปอย่างมาก ร่างกายติดอยู่ในเมืองวงกตมายาที่ปกคลุมไปด้วยหมอกควันเลือนราง ความสามารถในการแยกแยะความจริงลดลงไปสี่ห้าส่วน

เพล้ง โครม! ตู้ม

การโจมตีถึงขีดสุดของจ้าวเฟิงและหนานกงเซิ่ง ทะลวงผ่านช่องโหว่ที่ ‘จิวอู๋จี้’ เผลอเรอ

อั๊ก! จิวอู๋จี้กระอักเลือดออกมาร่างกาย ร่างกายสั่นไหว ดิ้นรนออกมาจาก ‘เขตแดนเมืองมายา’

ถึงแม้ว่าจ้าวเฟิงจะเปลี่ยนร่างถือกำเนิดใหม่ แต่ว่าด้านดวงวิญญาณไม่ได้ฝึกตนใหม่ และยังเก็บเขตแดนศาสตร์วิญญาณนี้เอาไว้ด้วย

ในวันนี้ ดวงวิญญาณของเขาฟื้นฟูกลับสู่ระดับขั้นราชัน พลังของเขตแดนเมืองมายา และมีความลึกซึ้งหลายส่วนของช่วงรุ่งโรจน์ไปแล้ว

เมี้ยว เมี้ยว!

ยังไม่ทันได้รอให้จิวอู๋จี้ได้สติ เงามังกรทองขนาดยาวหลายสิบจั้งก็ตรงเข้ารัดร่างของอีกฝ่าย

“น่ารังเกียจ!”

ทั่วร่างของจิวอู๋จี้เกร็งกระตุกเมื่อถูกแส้สีทองเทาเส้นหนึ่งรัดร่าง ไอแหลมคมของมังกรทองทะลวงผ่านเข้าไปภายในร่าง

“เจ้าหัวล้าน ตายซะ!”

การโจมตีของจ้าวเฟิงและหนานกงเซิ่งเข้าปะทะร่างอีกครั้ง และยังมีการรบกวนและการโจมตีของเขตแดนมิติศาสต์วิญญาณด้วย

“อ๊าก!” จิวอู๋จี้กรีดร้องโหยหวน พลังนั้นเกินกว่าจะรับไหวเพียงลำพัง ทำได้เพียงฝืนกระชากการพันรัดของแส้สีทองของเจ้าแมวตัวน้อย

โครม! ผลั่ก ตุ้บ!

จิวอู๋จี้ร่วงลงจากกลางอากาศ บาดแผลที่มีเลือดเต็มแน่นทั่วร่าง ถึงขั้นมีรอยใหม่ของเลือดและเนื้อเบาบาง ดูไปแล้วอนาถาเกินจะมองดู

“คาดไม่ถึงว่าจิวอู๋จี้จะพ่ายแพ้แล้ว…”

พวกองค์ชายสิบสามและผู้เฒ่าหน้าเหี่ยวที่ไล่ตามมาที่หลัง ความตื่นตระหนกปรากฏขึ้นเมื่อเห็นเหตุการณ์ตรงหน้า

ในเวลาเดียวกันนั้นเอง เงาสุกสกาวสีม่วงที่งดงามก็ปรากฏขึ้นหน้าป่าโบราณที่จ้าวเฟิงและพวกฝึกตนอยู่ สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย

“มาช้าไปเล็กน้อยแล้ว! หนานกงเซิ่ง พวกเจ้าต้องอดทนให้ไหว…”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!