Skip to content

King of Gods 814

King Of Gods

บทที่ 814 จ้าวหยูเฟยเข้าร่วม

ในอากาศเหนือทิวเขา

โครม! เงาชายหัวล้านรูปร่างสูงใหญ่ของจิวอู๋จี้ร่วงลงมาจากบนฟ้า กระแทกเข้ากับแนวทิวเขาจนฝุ่นตลบ

พอดีในเวลานี้เอง

พวกยอดฝีมือองค์ชายสิบสามและผู้เฒ่าหน้าเหี่ยวเพิ่งจะมาถึง แต่ละคนใจสั่นด้วยความหวาดกลัว

ทุกคนล้วนแต่แจ้มแจ้งในกำลังรบของจิวอู๋จี้ เมื่ออยู่ในซากเมืองโบราณก็มีเพียงจ้าวหยูเฟยที่สามารถกดข่มเขาได้ส่วนหนึ่ง

สามารถพูดได้ว่า จิวอู๋จี้ยากจะเจอคู่ต่อสู้ในขั้นต่ำกว่าจักรพรรดิ กำลังรบของเขาไม่ด้อยไปกว่าราชันระดับสุดยอดผู้หนึ่งเลย

“ ‘ขโมยผมม่วงสองคน’ พวกนั้นทำอย่างไรกัน จึงทำให้การต่อต่อสู้จบลงได้รวดเร็วเช่นนี้?”

ผู้เฒ่าหน้าเหี่ยวใจลอยไปชั่วขณะ

พวกเขาเพิ่งจะมาถึง เห็นเพียงจุดจบแต่กลับไม่ทันเห็นเหตุการณ์ก่อนหน้า

จากที่วิเคราะห์ จิวอู๋จี้และขโมยผมม่วงสองคนน่าจะเผชิญหน้ากันไม่นานมากนัก

เมี้ยว~ แมวตัวน้อยสีเทาเงินตัวใหญ่กว่าฝ่ามือเพียงเล็กน้อย เอาแส้ยาวสีทองหม่นหดกลับเป็นสร้อยแขวนไว้รอบคอ

“แมวตัวนั้น…” ยอดฝีมือพวกนั้นที่เดินทางมาถึงมีสีหน้าแปลกประหลาด

ผู้เฒ่าหน้าแห้งเหี่ยวและองค์ชายสิบสามเหมือนเห็นการลงมือของเจ้าแมวขโมยตัวน้อยที่เข้ามามีส่วนร่วมในการต่อสู้ของราชัน

“ถอย!”

จ้าวเฟิงและหนานกงเซิ่งที่อยู่ในแสงสีเงินม่วงโบยบินหนีไปไกล

เจ้าแมวขโมยตัวที่ปรากฏกายอย่างเงียบเชียบหายไปโดยไร้ร่องรอยเช่นกัน

“แค่ก แค่ก!”

ท่ามกลางฝุ่นละออง จิวอู๋จี้ฝืนลุกขึ้นมา ร่างกายดูอ่อนแรงอย่างเห็นได้ชัด ใบหน้าตื่นตระหนกและไม่ยินยอม

“จิวอู๋จี้…ด้วยความสามารของเจ้า ต่อให้เอาชนะเด็กสองคนนั่นไม่ได้ แต่ก็ไม่ควรจะพ่ายแพ้จนอนาถเช่นนี้”

‘เจียงเฉิน’ ผู้เป็นอัจฉริยะขั้นราชันของตระกูลเจียงเพิ่งเดินทางมาถึง

ยอดฝีมือที่เพิ่งจะมาถึงภายหลังส่วนหนึ่งล้วนมีสีหน้าตระหนกสงสัย สายตาเป็นประกายแวววับ

ในสถานการณ์เช่นนี้ คนที่เหลือไม่กล้าผลีผลามไล่ตาม ‘สองขโมยผมม่วง’ ต่อให้กล้าก็ยังไม่มีความเร็วเช่นนั้น

“ข้าดูแคลนศัตรูไป เด็กผมม่วงคนนั้น…” สีหน้าของจิวอู๋จี้ตึงเครียด

เขาเล่าเรื่องทั้งหมดอย่างคร่าวๆ ส่วนเรื่องที่เขาคาดเดาเกี่ยวกับจ้าวเฟิงกลับไม่ได้พูดออกมา

ในความจริงแล้ว

จิวอู๋จี้ควบคุมสถานการณ์ทั้งหมดเอาไว้ได้ครั้งหนึ่งในขณะที่ประมือกันช่วงแรก

แต่ส่วนสำคัญคือในท้ายที่สุดแล้ว ‘เขตแดนศาสตร์วิญญาณ’ ของจ้าวเฟิงได้ส่งผลกระทบต่อการต่อสู้ทั้งหมด

แล้วบวกกับการลอบโจมตีของเจ้าแมวขโมยตัวน้อย ทำให้จิวอู๋จี้พ่ายแพ้หมดรูปทั้งที่ไม่ควรจะเกิดขึ้น

ถ้าหากประมือกันอีกครั้ง จิวอู๋จี้อาจจะไม่ชนะ แต่อย่างน้อยก็คงไม่พ่ายแพ้อย่างรวดเร็วและน่าอนาถเช่นนี้

“ดูๆ ไปแล้ว…ที่จีหลานแห่งตระกูลจีพูดมาไม่ผิด คนที่น่ากลัวจริงๆ คือเด็กหนุ่มผมม่วงผู้นั้น”

ผู้เฒ่าหน้าเหี่ยวบ่นพึมพำ

จิวอู๋จี้รวมไปถึงเด็กหนุ่มในขั้นราชันของจวนหยวนกงต่างก็เห็นด้วย

ความสนใจของทุกคนจดจ่ออยู่ที่หนานกงเซิ่งที่ถนัดแขนงมิติ จนมองข้ามเด็กหนุ่มผมม่วงที่อยู่ข้างกายเขา ความจริงพิสูจน์แล้วว่า เด็กหนุ่มผมม่วงที่ถูกมองข้ามผู้นั้นถึงจะเป็นคนที่น่ากลัวจริงๆ

บริเวณของทิวเขาที่ฝุ่นควันลอยคละคลุ้ง ยอดฝีมือและแกนนำของกองกำลังที่ร่วมล้อมสังหารค่อยๆ รวมตัวกัน จากการต่อสู้ครั้งนี้ ทุกคนหมดความมั่นใจในการจะไล่ล่าสังหาร ‘ขโมยผมม่วงสองคน’ อย่างไรบุญคุณความแค้นที่ทุกคนมีต่อขโมยทั้งสองคน ก็ยังไม่ได้ถึงขั้นที่ว่าไม่ข้าหรือเจ้าจะต้องตาย แต่ว่าอย่างจิวอู๋จี้ เจียงเฉิน องค์ชายสิบสาม ยังคงดึงดันไม่อยากจะยอมแพ้ง่ายๆ เช่นนี้

สวบ! ในวินาทีหนึ่ง บนเมฆด้านหลัง มีแสงเมฆสีม่วงเจิดจ้าที่ทะลักระลอกไอสวรรค์มหาศาลตรงเข้ามา

“ใครกัน!”

ยอดฝีมือสำนักจำนวนมากร้องเสียงดัง

“เป็นจ้าวหยูเฟย…”

ราชันหลายคนและจิวอู๋จี้หน้าเปลี่ยนสี

วูบ! เซียนในชุดม่วงเรือนร่างอรชรและงดงามสูงส่งนางหนึ่งร่อนลงบริเวณทิวเขาอย่างรวดเร็ว

จ้าวหยูเฟยสอดมือเข้ามายุ่งอย่างฉับพลันในสถานการณ์เช่นนี้ มันคือเรื่องอะไรกัน?

“จ้าวหยูเฟย ตระกูลตวนมู่ของเจ้าคงจะไม่ได้ร่วมมือกับ ’ขโมยผมม่วงสองคน’ หรอกนะ”

ใบหน้าของจิวอู๋จี้ดำคล้ำลง เอ่ยถามอย่างสงสัย

ในขณะที่อยู่ภายในซากเมืองโบราณ มีเพียงตรกูลตวนมู่ที่ขโมยผมม่วงสองคนไม่ได้ปล้นชิง ทั้งสองฝ่ายคือผู้ที่ได้รับผลประโยชน์มากที่สุด

“ขโมยผมม่วงสองคน? ด้วยความสามารถของพวกเจ้า จะปล่อยให้สองคนนั้นหนีไปเรอะ?”

จ้าวหยูเฟยเอ่ยอย่างไร้อารมณ์ความรู้สึกใด

เมื่อได้ยินเช่นนี้ จิวอู๋จี๋จึงโมโหในทันใด

ในฐานะยอดฝีมือผู้อาวุโสอย่างเขา ยังพ่ายแพ้ต่อจ้าวหยูเฟยและสองขโมยผมม่วงต่อกัน อับอายจนไม่รู้ว่าจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนแล้ว

ยอดฝีมือที่เป็นผู้นำกำลังคนในเหตุการณ์ สีหน้าออกจะกระอักกระอ่วน

“น้องหยูเฟย!”

‘องค์ชายสิบสาม’ ชุดนักรบสีทองม่วงดวงตาเป็นประกาย กุลีกุจอเดินมาทักทายด้วยสีหน้าเป็นมิตร

ผู้เฒ่าหน้าเหี่ยวอดจะถอนหายใจยาวไม่ได้ ดูเหนื่อยหน่ายอยู่เล็กน้อย

คนที่รู้เบื้องหลังต่างมีสีหน้า ‘กระจ่างแจ้ง’ กระซิบกระซาบกันขึ้น

ความชื่นชมและการเกี้ยวพาจ้าวหยูเฟยขององค์ชายสิบสาม ไม่ใช่ความลับอะไรในแวดวงของตระกูลชนชั้นสูงในเมืองหลวง ด้วยช่วงอายุของจ้าวหยูเฟยและองค์ชายสิบสามค่อนข้างจะใกล้เคียงกัน

ที่เมืองหลวงต้าเฉียนเคยพบปะกันบ้างเป็นครั้งคราว องค์ชายสิบสามเห็นกิริยาและใบหน้าที่งดงามของจ้าวหยูเฟยก็ต้องตาต้องใจอย่างลึกซึ้งในทันที

จ้าวหยูเฟยมีสายเลือด ‘เผ่าพันธุ์วิญญาณ’ ใบหน้าผิวพรรณเปล่งประกายราวเทพธิดา หญิงสาวธรรมดาบนโลกใบนี้ไม่สามารถจะเทียบเคียงได้เลย

ในราชวงศ์ต้าเฉียนแห่งนี้ ไม่รู้ว่ามีเด็กหนุ่มองอาจหล่อเหลาและลูกหลานตระกูลชนชั้นสูงเท่าไรที่เชิดชูจ้าวหยูเฟยเป็นดัง ‘เทพธิดา’

หนึ่งในนี้ก็มี ‘องค์ชายสิบสาม’ ผู้สูงศักดิ์ เป็นหนึ่งในผู้ที่มีความสามารถมากพอจะเข้าแข่งขันที่สุด

ในบรรดาองค์ชายทั้งหลาย ถึงแม้ว่าองค์ชายสิบสามจะไม่โดดเด่นอะไรมากนัก แต่กลับได้รับความเอ็นดูจาก ‘จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ต้าเฉียน’ รัชสมัยนี้ ถึงขั้นได้รับอนุญาตให้ใช้ ‘กระบี่จักรพรรรดิศักดิ์สิทธิ์’ ไว้ปกป้องร่างกาย

“จากข่าวคราวลับๆ ที่ได้มา ราชวงศ์ต้าเฉียนเคยเสนอเรื่องแต่งงานเพื่อกระชับสัมพันธ์กับตระกูลตวนมู่ แม้กระทั่งจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ยังตั้งใจให้องค์ชายสิบสามแต่งกับจ้าวหยูเฟย”

“มีเรื่องแบบนี้ด้วยจริงหรือ? เช่นนั้นแล้วตระกูลตวนมู่ที่กำลังตกอับจะปฏิเสธโอกาสเช่นนี้ได้อย่างไร?”

กลุ่มคนเกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์เสียงต่ำส่วนหนึ่ง

คนโดดเด่นอายุรุ่นๆ ส่วนหนึ่งมองไปทางองค์ชายสิบสามอย่างอิจฉาริษยา

หากสามารถแต่งกับเทพธิดาผู้มีสายเลือดสูงส่งเช่นนี้ นั่นเป็นเรื่องที่อัจฉริยะและขั้วอำนาจไม่น้อยต่างเฝ้าถวิลหา

เสียดายก็เพียงชาติกำเนิดมีสูงต่ำ อัจฉริยะทั่วไปไม่มีสิทธิ์จะตามเกี้ยวพาจ้าวหยูเฟย

“น้องหยูเฟย เรื่องเป็นแบบนี้…” ใบหน้าขององค์ชายสิบสามเป็นมิตรและอบอุ่น กระตือรือร้นเล่าเรื่องการไล่ตามจับ ‘ขโมยผมม่วงสองคน’ อีกครั้ง

ที่ผ่านมาจ้าวหยูเฟยเย็นชาต่อเขาอย่างยิ่งมาโดยตลอด

แต่ในครั้งนี้เทพธิดาในดวงใจกลับเดินมาถามเขาด้วยตนเอง ทำให้องค์ชายสิบสามปีติยินดี เพราะเหตุนี้ องค์ชายสิบสามจึงเล่ารายละเอียดทั้งหมดที่เขารู้โดยไม่สนใจอะไรทั้งนั้น

สิ่งที่ทำให้เขาตกใจก็คือ จ้าวหยูเฟยกลับมีท่าทีรับฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ

เมื่อได้ยินว่า ‘แมวขโมยตัวหนึ่ง’ ปรากฏตัวขึ้น ในดวงตาคู่งามของจ้าวหยูเฟยเปล่งประกายประหลาดที่ไม่เคยมีมาก่อน

“พี่เฟิง…ท่านปรากฏตัวแล้วจริงหรือ? แต่เพราะอะไร…”

ดวงตาสดใสของจ้าวหยูเฟยฉายแววยินดีและคาดไม่ถึง นั่นเป็นความร่าเริงสดใสของอิสตรีผู้งดงามที่องค์ชายสิบสามไม่เคยเห็นมาก่อน

หญิงงามในครรลองสายตานางนี้ ในดวงตากระจ่างคล้ายขมุกขมัว ยามที่นิ่วหน้าเมื่อครุ่นคิดอย่างละเอียดถี่ถ้วน เป็นภาพที่มอมเมาให้องค์ชายสิบสามลุ่มหลง

“จ้าวหยูเฟย! เจ้ายื่นมือเข้ามายุ่งกับเรื่องนี้ มีจุดมุ่งหมายอะไรกันแน่?” จิวอู๋จี้เอ่ยเสียงขรึม

เขาค้นพบว่า จ้าวหยูเฟยมีท่าทีสนใจในข่าวคราวของ ‘ขโมยผมม่วงสองคน’ อย่างยิ่ง

“เห็นได้ชัดว่าข้าเองก็ต้องการจะไล่ล่าเจ้าขโมยทั้งสองคนนั้นน่ะสิ”

จ้าวหยูเฟยเอ่ยด้วยสีหน้าเย็นชา

“อ๊า!”

ยอดฝีมืออัจฉริยะของสำนักทั้งหมดในที่นั้นประหลาดใจอย่างยิ่ง และมีสีหน้าตื่นตกใจ

“ไล่ล่าสังหาร? ตระกูลตวนมู่ของเจ้าและขโมยสองคนนั้นเหมือนจะไม่มีบุญคุณความแค้นอะไร ถึงขั้นมีผละประโยชน์ร่วมกัน”

สีหน้าของจิวอู๋จี้เฉยชา

ยอดฝีมืออาวุโสส่วนหนึ่งในเหตุการณ์ก็เผยอาการสงสัย

จ้าวหยูเฟยเองก็ต้องการไล่ล่าสังหาร ‘ขโมยผมม่วงสองคน’ นี่เหมือนว่าค่อนข้างไร้เหตุผล

“จิวอู๋จี้ พวกเจ้าและหัวขโมยคู่นั้นเคยประมือกันมาก่อน สัมผัสได้หรือไม่ว่าในเขตแดนมิติของบุรุษชุดดำ มีผลึกเซียนเม็ดหนึ่งที่บริสุทธิ์ หนำซ้ำไม่ใช่ผลึกเซียนระดับล่าง”

ใบหน้าของจ้าวหยูเฟยมีแววเยาะๆ

ผลึกเซียนบริสุทธิ์?

สีหน้าของจิวอู๋จี้และพวกเผยแววครุ่นคิด

“ถูกต้อง ในขณะที่ข้าและบุรุษชุดดำประมือกัน ก็สัมผัสได้ว่าภายในเขตแดนมิติของเขามีระลอกพลังอันแกร่งกล้าอยู่”

เจียงเฉินเอ่ยพลางผงกศีรษะ

ขณะที่จิวอู๋จี้กับเจียงเฉินและพวกปะทะกับหนานกงเซิ่ง ก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายผลึกปีศาจอยู่รางๆ

“กลิ่นอายสายเลือดของข้ามีสัมผัสแรงกล้าต่อหินผลึกที่แฝงด้วยระลอกไอสวรรค์ระดับสูงอยู่แล้ว นับประสาอะไรกับผลึกเซียนของแท้!”

จ้าวหยูเฟยอธิบาย

เมื่อฟังมาถึงตรงนี้ อัจฉริยะยอดฝีมือจำนวนมากจึงสงบลง

ว่ากันว่า จ้าวหยูเฟยมีสายเลือดของ ‘เผ่าพันธุ์วิญญาณ’ ในรายชื่อหมื่นเผ่าพันธุ์โบราณ สอดประสานเข้ากับไอสวรรค์ในฟ้าดิน จนมาถึงระดับขั้นที่เกินความคาดหมาย อีกทั้งผลึกเซียนที่แท้จริง เป็นสมบัติที่ประเมินค่ามิได้ในราชวงศ์แห่งดินแดนทวีป เกรงว่าเซียนส่วนหนึ่งหรือกระทั่งครึ่งเซียนล้วนต้องการจะแย่งชิงผลึกเซียนที่บริสุทธิ์นั้น

“ดีอย่างยิ่ง! เชื่อว่าการเข้าร่วมครั้งนี้ของจ้าวหยูเฟยจะทำให้สังหารเจ้าขโมยสองคนนั้นได้”

องค์ชายสิบสามยินดี สามารถใกล้ชิดกับเทพธิดาในดวงใจมากขึ้นอีกหน่อย คือสิ่งที่เขาเฝ้าฝันอยากได้ ถึงแม้ว่าจ้าวหยูเฟยจะเป็น ‘บุตรสาวบุญธรรม’ ของผู้อาวุโสสูงสุดแห่งตระกูลตวนมู่ แต่นางมีสายเลือดสูงส่งของเผ่าพันธุ์วิญญาณ เกรงว่าสำนักใดๆ ก็ล้วนแต่คาดหวังจะแต่งงานกับนาง

“ถ้าหากว่าได้แม่นางหยูเฟยมาเข้าร่วมด้วย โอกาสจะชนะนั้นย่อมเพิ่มขึ้นมาก”

เจียงเฉินแห่งตระกูลเจียงผงกศีรษะติดๆ กัน หญิงงามอันดับหนึ่งของตระกูลเจียงอย่าง ‘เจียงเฟยเสวี่ย’ สนทนากับจ้าวหยูเฟยอย่างออกรส คนทั้งสองเคยมีวาสนาได้พบหน้ากัน

การเข้าร่วมกลุ่มของจ้าวหยูเฟย ทำให้ของกำลังคนต่างๆ ในที่นั้นมั่นใจและฮึกเหิมเพิ่มขึ้นมาก

บวกกับความเย้ายวนของ ‘ผลึกปีศาจ’ ผู้ไล่ล่าสังหารของขั้วอำนาจเหล่านี้จึงกระตือรือร้นยิ่งนัก

ไม่นาน คนที่เป็นแกนนำหลักซึ่งนำโดยอัจฉริยะขั้นราชันอย่างพวกจ้าวหยูเฟยกับจิวอู๋จี้ ก็มารวมตัวกันและเริ่มปรึกษาถึงกลยุทธ์ในการรับมือ

‘พี่เฟิง…ข้าจะต้องหาท่านให้เจอ’ จ้าวหยูเฟยตัดสินใจ

นางเชื่อมั่นว่า หลายปีมานี้จ้าวเฟิงคงแน่ใจเรื่องการตายของหลิวฉินซินแล้ว และจะกลับมาอยู่ข้างกายนางอีกครั้ง

มิติเทพลวงตา

ท้องฟ้าเหนือป่าไม้ที่กว้างใหญ้ไร้จุดสิ้นสุด แสงสีเงินเส้นหนึ่งพาเงาคนสองคนโบยบินไปอย่างรวดเร็ว

พู่ว~

จ้าวเฟิงและหนานกงเซิ่งถอนหายใจยาวออกมาเฮือกหนึ่ง มองกลับไปยังทิวเขาด้านหลัง

โดยเฉพาะอย่างยิ่งจ้าวเฟิงที่มีท่าทีอ่อนแอเล็กน้อย เพราะจากขีดจำกัดของพลังฝึกตนพื้นฐาน เมื่อปลดปล่อยกำลังรบที่แร่งกล้าขนาดนั้นออกมา จึงทำให้แรงกายและสายเลือดสิ้นเปลืองไปเป็นจำนวนมาก

“จิวอู๋จี้ยังแกร่งขนาดนี้ แล้วจ้าวหยูเฟยที่พลังแข็งแกร่งยิ่งกว่าจะถึงระดับขั้นไหนกัน”

หนานกงเซิ่งเอ่ยพึมพำ

ตอนนั้นที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์เจินอู่ เขาประลองผลออกมาเสมอกับจ้าวหยูเฟย

ในวันนี้ จ้าวหยูเฟยผู้นั้นเหนือกว่าเขาไปมาก

“หนานกงเซิ่ง ด้วยความเร็วในการก้าวหน้าของเจ้าในตอนนี้ จะต้องไปแตะจุดสูงสุดของอัจฉริยะแห่งราชวงศ์ดินแดนทวีปอย่างรวดเร็ว การประมือเมื่อครู่เจ้าก็ยังไม่ได้ใช้พวก ‘กระบี่ฟ้าดิน’ ที่เป็นไพ่ไม้ตายของเจ้าเลยด้วยซ้ำไป”

หลังจากที่จ้าวเฟิงดื่มของเหลววิญญาณลงไปแล้ว จึงส่ายศีรษะพลางยิ้ม

จิวอู๋จี้อยู่ในฐานะยอดฝีมืออาวุโส ถึงจะอยู่ในอัจฉริยะรายชื่อจักรพรรดิก็คงจะอยู่ประมาณในสามสิบอันดับแรก

หนานกงเซิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ในใจขบคิด ไม่รู้ว่าระดับความสูงส่งที่จ้าวเฟิงเคยมีในยามก่อน เมื่อเปรียบกับคนในอันดับต้นๆ ของราชวงศ์ต้าเฉียนจะอ่อนแอหรือแข็งแกร่งกว่ากัน

“ไปตามล่ามังกรวารีล้างโลกากันต่อ”

จ้าวเฟิงเลือกเส้นทาง

เขาเดาว่าจิวอู๋จี้ถูกทำร้ายจนบาดเจ็บหนัก กำลังคนพวกนั้นไม่น่าจะมีแรงมาไล่ล่าพวกเขาอีกรอบ แต่ที่จ้าวเฟิงไม่รู้ก็คือ เมื่อจ้าวหยูเฟยเข้าร่วมด้วย เหล่าคนไล่สังหารไม่เพียงแต่จะไม่ถอดใจ กองทัพของพวกเขายังแข็งแกร่งเพิ่มขึ้นอีกด้วย!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!