Skip to content

King of Gods 839

King Of Gods

บทที่ 839 ทางเลือกของหนานกงเซิ่ง

ประสิทธิผลของบัวฟ้าวารีครามมีหลายประการ กลีบดอก เม็ดบัว และใบบัวของมัน ล้วนมีประโยชน์ไม่ธรรมดาต่อราชันปราณเทวะ

จ้าวเฟิงนำเม็ดบัวหนึ่งเม็ดออกมาก่อนเพื่อเสริมสร้างพลังวิญญาณให้แข็งแกร่งขึ้น

ทุกส่วนของบัวฟ้าวารีครามส่งผลช่วยชะล้าง เพิ่มความบริสุทธิ์ ส่วนเม็ดบัวให้ผลลัพธ์คล้ายคลึงกันต่อพลังวิญญาณ

ก่อนหน้านี้ จ้าวเฟิงสกัดและดูดซับพลังวิญญาณจาก ‘หินมาร’ เพราะเป็นการใช้พลังภายนอกเร่งเพิ่มความแกร่งกล้าให้ดวงวิญญาณในเวลาอันสั้น

วิธีการประเภทนี้ จะมากน้อยก็เหลือข้อเสียไว้ส่วนหนึ่ง

ยามนี้จ้าวเฟิงจึงใช้ ‘บัวฟ้าวารีคราม’ ชะล้างเพิ่มเสถียรภาพให้พลังวิญญาณ พร้อมทั้งขจัดอาการเจ็บป่วยที่มองไม่เห็น

“หากได้บัวฟ้ามาเร็วกว่านี้หน่อย คงจะสมบูรณ์แบบ”

จ้าวเฟิงอดถอนใจไม่ได้

เขาหยิบกลีบบัวมาเคี้ยวแล้วกลืนลงไป กลิ่นอายประหลาดและสดชื่นกระจายทั่วร่าง

นอกจากช่วยชะล้าง กลีบบัวยังสามารถกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนสภาพของระดับขั้นชีวิต กำจัดพิษร้ายกับโรคภัยแอบแฝง

หลังเข้าสู่มิติเทพลวงตา จ้าวเฟิงอาศัยพลังภายนอกเพิ่มพละกำลังขึ้นสูงในเวลาสั้นๆ ร่างกายต้องแบกรับภาระส่วนหนึ่ง ทั้งยังมีการเจ็บป่วยหลงเหลือ

เมื่อใช้กลีบดอกกับเม็ดบัว วิญญาณและกายเนื้อของเขาจึงได้รับการชะล้างเพิ่มความแข็งแกร่ง

ครึ่งวันต่อมา

จ้าวเฟิงใช้บัวฟ้าวารีครามอีกต้น ทั้งร่างสดชื่นเย็นสบาย ลมปราณวิญญาณไปถึงจุดสูงสุด

เขายังนึกเสียดายอยู่บ้าง

ถ้าได้บัวฟ้ามาเร็วกว่านี้อีกสักหน่อย กำลังและพลังฝึกตนคงก้าวหน้าทุกส่วนอย่างละมุนละม่อมกว่านี้

เสียดายก็เพียงแต่ วิญญาณจ้าวเฟิงอยู่ขั้นราชันปราณเทวะซึ่งสูงส่งพอแล้ว คุณลักษณะกับระดับการเกาะตัวเหนือราชันไปมาก เม็ดบัวนั้นอย่างมากที่สุดคือช่วยเสริมสร้าง ไม่ได้ทำให้พัฒนาขึ้น

กลับกัน หนานกงเซิ่งใช้บัวฟ้าวารีคราม พลังฝึกตนกับชั้นวิญญาณยกระดับขึ้นไม่น้อย

ขณะนี้ หนานกงเซิ่งอยู่ในช่วงสำคัญของการทะลวงสู่ปราณเทวะช่วงปลาย

จ้าวเฟิงคอยคุ้มกันอยู่ด้านข้าง

“หนานกงเซิ่งน่าจะไปถึงปราณเทวะช่วงปลายภายในสามวัน”

เขาเก็บสายตากลับ ตอนเข้ามาในส่วนลึกของคฤหาสน์เสียหยาง เขาก็คิดจะถือโอกาสเพิ่มระดับเสีย

จ้าวเฟิงเด็ด ‘กลีบ’ บัวฟ้าวารีครามมาเคี้ยวกินอีกสองสามกลีบ

กลีบดอกนี้ช่วยเร่งให้สภาวะวิญญาณเปลี่ยนสภาพ ส่งผลต่อกายสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ขั้นที่สี่ช่วงสุดยอดไม่เท่าไหร่ สิ่งสำคัญคือ แก่นแท้ชีวิตของเขามีรากฐานมั่นคงจนล้ำหน้าราชันปราณเทวะทั่วไปแล้ว

ทว่าจ้าวเฟิงยังไม่วางมือ เขากินกลีบบัวครั้งแล้วครั้งเล่า ทุกกลีบที่กินไป กลิ่นอายเย็นสบายจะกระจายและชะล้างในร่าง กำจัดสิ่งแปลกปลอม รวมถึงอาการเจ็บป่วย

เพียงกลีบสองกลีบมีผลลัพธ์ธรรมดา แต่หากเป็นสิบกว่ากลีบหรือร้อยกลีบเล่า?

ควรรู้ว่า บัวฟ้าวารีครามทุกต้นมีกลีบราวยี่สิบทั้งสิ้น เมื่อจำนวนไปถึงระดับหนึ่งจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้

สองวันต่อมา

จ้าวเฟิงกินกลีบบัวไปแล้วสองร้อยกลีบ ผิวหนังทุกส่วนขาวผ่องเนียนละเอียดดุจผิวทารก มากพอให้สตรีบางคนนึกอิจฉา

พู่ ~ วูบ วูบ

จ้าวเฟิงปิดตาสนิท ระหว่างที่ระลอกวารีอัสนีโอบล้อมทั่วกาย มันส่งเสียงเบาๆ ไม่หยุด

แกรก แกรก! ขณะนั้น กระดูกทั้งร่างดังลั่น ลวดลายอัสนีสีฟ้าเงินลอยอยู่เหนือผิว แล้วพลันเปล่งแสงทองรำไร

สิ่งที่น่าแปลกยิ่งกว่าคือ ร่างกายและกระดูกของเขายืดขยายออกครึ่งหนึ่งจนละม้ายคล้ายยักษ์ตัวเล็ก

คุณสมบัติร่างกายอยู่เหนือมนุษย์ธรรมดาไปแล้ว

ฟึ่บ! ชั้นแสงแก่นแท้พลังสีฟ้าเงิน ลอยแผ่เลือนรางอยู่รอบกายจ้าวเฟิง

โครม! พริบตานั้น ภูเขาจำลองที่เขาพักอยู่พลันทลายลงเสียงดังสนั่น ระยะสิบจั้งโดยรอบมีกองเศษหินไหม้ดำ

“แก่นแท้พลังกายทรงพลังนัก…”

อีกฟากหนึ่ง หนานกงเซิ่งกำลังทะลวงขั้น เลือดลมในตัวพลุ่งพล่าน ใจกายถูกกดจนหนักอึ้ง

ยังดีที่ทั้งคู่เว้นระยะห่างจากกันพอควรเวลาฝึกบำเพ็ญ

แกรก แกรก!

กล้ามเนื้อกระดูกของจ้าวเฟิงหดตัวลง ขนาดเล็กมากที่สุดคือเท่าเด็กเจ็ดแปดขวบ แต่ใบหน้ายังเหมือนเดิม

ฟุ่บ! ลวดลายสายฟ้าของแก่นแท้พลังสว่างเรืองรองขึ้น จนแทบรวมตัวเป็นรูปร่าง กลายเป็นชั้นเกราะป้องกันรอบตัว

“กายสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ขั้นที่ห้า!”

จ้าวเฟิงเผยสีหน้าตื่นเต้นดีใจ

‘ครึ่งเซียนคุนอวิ๋น’ ในตอนนั้น หลังใช้เลือดคืนชีวิต ก็พึ่งพาทรัพยากรมหาศาล ทว่า ‘กายศักดิ์สิทธิ์ปฐพีทอง’ ยังไปถึงแค่ขั้นที่ห้า เพียงเหนือกว่าจ้าวเฟิงด้านโลกมิติส่วนตัว

ทว่า ‘กายสายฟ้าปฐพีทอง’ ของจ้าวเฟิง มองได้ว่าเป็น ‘กายศักดิ์สิทธิ์ปฐพีทอง’ ฉบับทรงพลังกว่า อนาคตไปได้ไกลยิ่งกว่า

ผ่านไปหลายชั่วอึดใจ ร่างจ้าวเฟิงกลับคืนสู่สภาพเดิม ลวดลายสายฟ้ารอบตัวหดกลับไปอย่างรวดเร็ว หลังจากกายสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ไปถึงขั้นที่ห้า จ้าวเฟิงเชื่อมั่นในตัวเองมากขึ้นอีก

นับแต่นั้นมา จ้าวเฟิงไม่ใช้ปราณที่แท้จริง ไม่ใช้สายเลือดดวงตา ใช้เพียงพลังแก่นแท้ร่างกาย ก็กดข่มราชันปราณเทวะทั่วไปได้

ราชันเหล่านั้นเข้าประชิดตัวเมื่อใด เกรงว่าจะถูกเขาบดขยี้จนแหลก ไม่เพียงแต่ด้านกำลัง กายสายฟ้ายังช่วยให้มีพลังป้องกันกับความสามารถในการมีชีวิตรอดที่แข็งแกร่ง ไปจนถึงพลังฟื้นฟูด้วย

กล่าวได้ว่า กายสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ขั้นที่ห้าเทียบเท่ากับ ‘กายอมตะ’ ขั้นแรก หากมีพละกำลังไม่มากพอ ก็ไม่อาจคุกคามถึงแก่นได้

สองชั่วยามต่อมา

บริเวณภูเขาจำลองปรากฏพลังแก่กล้าของราชัน แสงสีเงินม่วงกลางอากาศทับซ้อนกันราวกับเมฆ

พริบตาเดียว กลิ่นอายพลังชั่วร้ายส่งผลให้ไอสวรรค์รอบด้านจับตัวแข็งอย่างประหลาด

วินาทีนั้น แม้แต่ค่ายกลเทพคุ้มกันที่อยู่ใกล้เคียงยังตอบสนองและสั่นไหวโดยไร้สาเหตุ

สีหน้าจ้าวเฟิงแปลกไป ไม่ใช่เพราะหนานกงเซิ่งทะลวงถึงช่วงปลาย แต่เป็นเพราะพลังฝึกตนยกระดับขึ้น จึงเกิดปรากฏการณ์เหล่านี้

ควรรู้ว่า ในคฤหาสน์เสียหยางมีกฎเกณฑ์เข้มงวด แรงต้านต่อพลังแต่ละชนิดก็ร้ายกาจยิ่ง

ทว่ากลิ่นอายพลังตอนหนานกงเซิ่งข้ามผ่านระดับ กลับทำให้ค่ายกลตอบสนองบางอย่าง ชวนให้ต้องคิดใคร่ครวญ

“สำเร็จแล้ว!”

ผมม่วงของหนานกงเซิ่งยิ่งแผ่ความชั่วร้าย ตราโลหิตม่วงกลางหว่างคิ้วสีสันเด่นชัด

ทุกลมหายใจ ทุกอากัปกิริยา ล้วนแผ่พลังไร้เทียมทานซึ่งทำให้ราชันทั่วไปไร้ซึ่งกำลังรบได้

จ้าวเฟิงมองสำรวจ ก็แปลกใจเล็กน้อย

ยามนี้ ผลึกปีศาจผสานกับเขตแดนมิติของหนานกงเซิ่งโดยสมบูรณ์ กระทั่งหลอมรวมเข้าสู่แหล่งกำเนิดรากฐานในมิติปราณที่แท้จริง

อานุภาพของมิติกับพลังผลึกปีศาจ ประสานรวมกันเป็นหนึ่งเดียว

หนานกงเซิ่งในตอนนี้แข็งแกร่งอย่างที่ไม่เคยเป็น พลังอยู่เหนือจิวอู๋จี้แห่งวังเก้านิรยไปแล้ว

ถ้าไม่ใช้สายเลือดดวงตาซ้ายกับพลังจักรพรรดิ จ้าวเฟิงคงไม่มีหวังจะเอาชนะเขา

“หนานกงเซิ่ง ยินดีด้วย! พลังของเจ้าต่อให้อยู่อัจฉริยะรายชื่อจักรพรรดิ ก็ติดยี่สิบอันดับต้นได้”

จ้าวเฟิงอมยิ้มเอ่ยยินดี

ขณะเพิ่งเข้ามาในมิติเทพลวงตา พลังของหนานกงเซิ่งอยู่แค่ประมาณร้อยอันดับแรก

“ถึงปราณเทวะช่วงปลายเร็วกว่าที่คาดไว้มาก ทุกอย่างเป็นเพราะมีผลึกปีศาจและศิษย์น้องจ้าว…”

หนานกงเซิ่งอดทอดถอนใจไม่ได้ แววตายามมองจ้าวเฟิงกลับซับซ้อน

หากไม่ได้พบจ้าวเฟิง เขาคงไม่ได้โอกาสระดับนี้ และคงไม่ก้าวหน้าอย่างต่อเนื่อง

จ้าวเฟิงโคลงศีรษะไม่ใส่ใจ

ตอนแรกสุดที่เข้ามาในมิติ พลังเขาไม่มากพอ ยังต้องพึ่งพากองกำลังขั้วอำนาจ

ดีที่เขาพบหนานกงเซิ่ง ได้อาศัยพลังขั้นราชันกับพรสวรรค์มิติเฉพาะตัว จึงเป็นเสมือนปลาที่ได้น้ำ

บางมุมมองอาจกล่าวได้ว่า จ้าวเฟิงช่วยเหลือหนานกงเซิ่ง หนานกงเซิ่งก็เกื้อกูลเขา

สองฝ่ายมีความต้องการร่วมกัน จึงกลายเป็นกลุ่มที่สมบูรณ์แบบ

ตอนนี้ไม่ว่าจ้าวเฟิงหรือหนานกงเซิ่ง ล้วนสามารถฉายเดี่ยวได้

กายสายฟ้าของจ้าวเฟิงผ่านขั้นที่สี่ กำลังรบพื้นฐานไม่ใช่จุดอ่อนอีกต่อไป ไม่จำเป็นต้องมีอีกฝ่าย

เพียงแต่สองคนรวมกลุ่มจะสำแดงอานุภาพได้ยอดเยี่ยมยิ่งกว่า

“จ้าวเฟิง ข้าสัมผัสได้ถึงเสียงร้องเรียกที่คุ้นเคยของพลังจากส่วนลึกในคฤหาสน์”

หนานกงเซิ่งอยากเอ่ยแต่หยุดไว้ ในที่สุดก็เปิดปาก

ได้ยินแล้วดวงตาเขาเป็นประกาย ไม่ต้องคาดเดาเลย สิ่งนั้นต้องเกี่ยวข้องแนบแน่นกับผลึกปีศาจแน่

ผลึกปีศาจ เป็นไปได้มากว่าเกิดจากพลังตกผลึกของเทพเสียหยาง คงอยู่ในเมืองใต้ดินเพื่อระงับไม่ให้มังกรดิ้นรนจนเกิดภัยพิบัติ อย่างไรก็ตาม ผนึกที่ทรงพลังผ่านเวลานานหลายปี ย่อมปรากฏช่องโหว่และรอยร้าว

การที่คนทั้งสองนำมันมาเป็นเพียงแค่ชนวนเหตุเท่านั้น

“หนานกงเซิ่ง ยามนี้เจ้าผสานกับพลังผลึกปีศาจในขั้นต้น มันยังไม่เปลี่ยนนิสัยเจ้าจริงๆ หากตามเสียงเรียกนี้ไป พลังของเจ้าอาจแกร่งกล้าขึ้นไม่รู้จบสิ้น ทว่าอันตรายในนั้นคาดการณ์ยาก กระทั่งสุดท้ายอาจไม่ได้อะไรเลย”

น้ำเสียงจ้าวเฟิงเจือการเอ่ยเตือน

เสียงเรียกดังกล่าวต้องเกี่ยวพันกับพลังที่เทพเสียหยางเหลือไว้ ไม่ก็ทางหนีทีไล่บางอย่าง

ตอนนี้มีสองทางเลือกอยู่ตรงหน้าหนานกงเซิ่ง

ข้อแรก หยุดเมื่อถึงคราวเหมาะสม

ด้วยความช่วยเหลือจากผลึกปีศาจ ศักยภาพและการพัฒนาของเขา ถึงเผชิญหน้าขอบเขตเซียนสวรรค์ก็ไร้กังวล

ความสำเร็จภายหน้าของเขาจะไม่ด้อยไปกว่าครึ่งเซียนคุนอวิ๋นในช่วงสูงสุด

ข้อสอง ตามเสียงเรียกต่อไป

แต่อันตรายระหว่างนั้นไม่อาจคาดการณ์ได้

ถึงอย่างไร ผลึกปีศาจก็เป็นพลังจากเทพ คฤหาสน์นี้ก็เป็นที่พำนักของเทพ!

พลังอำนาจของเทพ มนุษย์ปุถุชนจะดูแคลนได้หรือ?

อีกอย่าง เสียหยางเป็นเทพชั่วช้า ไม่ใช่พวกดีอะไรแน่

หนานกงเซิ่งยืนอยู่ที่เดิม สูดลมหายใจลึก ใบหน้าสับสนไม่สงบ และพิจารณาอยู่นาน

สิ่งที่เลือกต่อจากนี้ คือจุดเปลี่ยนของชะตาชีวิตเขา

ในความเป็นจริง หนานกงเซิ่งได้ผลึกมา แต่ไม่ได้รับผลกระทบด้านจิตใจหรือโดนครอบงำ ก็นับว่าโชคดีหลายส่วนแล้ว

ขณะนั้นยังมีความช่วยเหลือจากจ้าวเฟิง ทั้งส่วนที่มองเห็นและมองไม่เห็นอีก

นอกจากนี้ จ้าวเฟิงในสายตาหนานกงเซิ่งคือยอดเขาสูงที่ยากจะข้ามผ่าน

“ศิษย์น้องจ้าว เจ้าผ่านปาฏิหาริย์จากคำสั่งล่าสังหารของจักรพรรดิ ซ้ำยังชุบชีวิตครึ่งเซียนคุนอวิ๋น ในเมื่อเจ้าช่วยข้ามาถึงจุดนี้ เช่นนั้นก็ช่วยให้ถึงที่สุดแล้วกัน”

ใบหน้าเขาเผยความซาบซึ้งและคาดหวัง ก่อนน้อมตัวให้จ้าวเฟิงด้วยความเคารพ

“ทางเลือกขึ้นอยู่กับเจ้า”

แก่นแท้พลังไร้รูปจากตัวจ้าวเฟิง ยับยั้งการคารวะของเขาไว้

“ลางสังหรณ์บอกข้าว่า พลังของเสียงที่คุ้นหูนั้นจะช่วยให้ข้าก้าวสู่จุดสูงสุดในชีวิต หรือถึงขั้นสัมผัสถึงขอบเขตของ ‘เทพ’ ได้!”

หนานกงเซิ่งสูดหายใจเข้าลึก นัยน์ตาฉายความปรารถนาและการแสวงหาซึ่งพลังอย่างแรงกล้า

ขอบเขตของเทพ!

ขนาดจ้าวเฟิงยังคล้อยตามไปบ้าง

“ดี นี่คือทางเลือกของเจ้า ข้าจะช่วยเหลือแน่!” จ้าวเฟิงรับปาก

ที่จริง ลึกในใจเขาขบคิดมากมาย ถ้าไปตามเบาะแสของหนานกงเซิ่ง อาจค้นพบสิ่งลี้ลับต้องห้ามเกี่ยวกับขอบเขตเทพที่ส่วนลึกของคฤหาสน์ก็เป็นได้

นอกคฤหาสน์

“ฮี่ฮี่ ยิ่งสนุกขึ้นเรื่อยๆ แล้ว”

ร่างเกล็ดดำของมังกรล้างโลกาบินวนอยู่กลางฟ้า พึมพำว่า “พวกมดปลวกจะสืบเสาะหาขอบเขตของเทพเจอได้ที่ไหนกัน แต่เจ้าสองคนนั้น หนึ่งประสานผลึกปีศาจ อีกหนึ่งเคยคืนชีพครึ่งเซียน ดูแคลนไม่ได้เลยจริงๆ…”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!