Skip to content

King of Gods 841

King Of Gods

บทที่ 841 สองโจรตัวปลอม

ขวับ!

ชั้นแสงสีเงินม่วงพาจ้าวเฟิงกับหนานกงเซิ่งทะยานวูบวาบไปตามระเบียงทางเดิน สะพาน และทางน้ำ

ระดับของหนานกงเซิ่งในตอนนี้ อานุภาพวิชาข้ามผ่านมิติไม่อาจนำมาเทียบกับเมื่อก่อน

โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสภาพแวดแวดล้อมที่พื้นที่ซับซ้อน เมื่อสำแดงวิชาข้ามมิติจึงยิ่งเหมือนปลาได้น้ำ

“หืม?”

จ้าวเฟิงซึ่งอยู่ภายใต้แสงหลายชั้นรู้สึกถึงบางอย่าง ใบหน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย

จุดที่ต่อสู้กันก่อนหน้านี้ พลังแกร่งกล้าที่ทำลายทุกสิ่งในฟ้าดินพลันหลั่งทะลักมา

กลิ่นอายจากพลังวิญญาณนั้นแตะถึงขั้นสมบูรณ์ดังใจนึก

“เซวียนหยวนเหวิน? เขาก็ฝึกได้พลังจักรพรรดิ?”

หนานกงเซิ่งยากจะปกปิดความตกตะลึงบนหน้า

เซวียนหยวนเหวินเป็นอันดับเจ็ดในรายชื่อจักรพรรดิต้าเฉียน จึงยิ่งจินตนาการได้ยากว่า สามอันดับแรก อัจฉริยะอันดับหนึ่ง จะน่าสะพรึงกลัวเพียงใด

มั่นใจได้ หากครั้งนี้ออกจากมิติเทพลวงตาไปได้อย่างปลอดภัย อัจฉริยะในรายชื่อจะเลื่อนลำดับขึ้นแน่

“ไม่ใช่เพียงพลังจักรพรรดิ เขาเป็นจักรพรรดิปราณเทวะโดยสมบูรณ์แล้ว”

จ้าวเฟิงถอนใจเบาๆ

ตอนรวมตัวกันที่หลุมถ้ำไหม้ดำรูปร่างมังกร

จ้าวเฟิงเคยมองประเมินเซวียนหยวนเหวิน พบว่ากลิ่นอายสำนึกรู้ของฝ่ายตรงข้ามใกล้เคียงจักรพรรดิมากนัก อีกทั้งเจตนาเก็บงำไว้

จักรพรรดิในขอบเขตปราณเทวะ!

หนานกงเซิ่งออกจะยอมรับได้ยาก นี่คือจักรพรรดิปราณเทวะที่อายุแค่ยี่สิบ ถ้าอยู่ที่ชางไห่คงไม่อาจคาดคิดได้

ถึงแม้เป็น ‘เทพราชาดวงตาซ้าย’ ในช่วงสุดยอด จ้าวเฟิงก็ยังเป็นแค่ปราณเทวะช่วงกลางที่มีพลังจักรพรรดิชั้นยอด ไม่ได้บรรลุถึงขั้นจักรพรรดิปราณเทวะทั้งหมด

“หนีไปตามทางที่ข้าบอก!”

จ้าวเฟิงกล่าวเสียงต่ำ

เขารู้สึกได้รางๆ ถึงกลิ่นอายทรงพลังที่ไล่ตามติดมาจากด้านหลัง

ตอนนี้จ้าวเฟิงไม่อยากประมือกับจักรพรรดิปราณเทวะที่สมบูรณ์พร้อม

เรื่องเสียแรงเปล่า คงไม่มีใครนึกอยากทำ อยู่ๆ ถูกทุกคนเคียดแค้นไล่ฆ่าโดยไร้สาเหตุ จ้าวเฟิงต้องสืบหาความจริงก่อน

“ใครกันแน่ที่สวมรอยเป็นพวกเรา?”

ดวงตาจ้าวเฟิงมีแสงวาบผ่าน ตั้งแต่เข้ามาในมิติเทพลวงตา ใบหน้าเขาไม่เคยปรากฏแววโกรธเกรี้ยวมาก่อน

ท่าทางของตระกูลเจียงและจวนฉีกงเหมือนไม่ได้เล่นละครเสียด้วย

สวบ! ชั้นแสงสีเงินม่วงหายวูบวาบด้วยความเร็วสูงขึ้นอีกขั้น

ระหว่างทาง จ้าวเฟิงโคจรแก่นแท้พลังกายศักดิ์สิทธิ์กับวิชาศาสตร์วิญญาณ จัดการลบกลิ่นอายที่หลงเหลือยามหลีกหนีไป

ในช่วงชีวิตก่อน ตอนเผชิญหน้า ‘คำสั่งล่าสังหาร’ ที่ยาวนาน เขาเปลี่ยนจากผู้ถูกล่ามาเป็นผู้ล่า จึงมีประสบการณ์ด้านการแกะรอยและการพลิกสถานการณ์อยู่บ้าง

จ้าวเฟิงไม่เพียงกำจัดกลิ่นอาย แต่ยังจงใจสร้างกลิ่นอายพลังที่คลุมเครือเอาไว้

เวลาจิบชาหนึ่งถ้วยผ่านไป

ด้านหลังจึงไม่เห็นวี่แววกลิ่นอายพลังแก่กล้าของจักรพรรดิแล้ว

หนานกงเซิ่งถอนใจโล่งอก จ้าวเฟิงที่ร่วมมือกับเขา ไม่เสียทีที่เป็น ‘เทพราชาดวงตาซ้าย’ ผู้สะเทือนชังไห่ สลัดเซวียนหยวนออกง่ายดายเช่นนี้

“สถาการณ์ตอนนี้ไม่เป็นผลดีกับเรานัก กำลังคนทุกฝ่ายที่เข้ามาในคฤหาสน์ล้วนอยู่ฝั่งตรงข้ามกับเรา”

จ้าวเฟิงมีสีหน้าเคร่งขรึม ไร้ความรู้สึกภูมิใจ

หนานกงเซิ่งคิดตามเล็กน้อย ใจชาวาบโดยพลัน

เท่ากับว่า ขั้วอำนาจสามสี่ดาวในคฤหาสน์ล้วนมองมารคู่ผมม่วงเป็นศัตรูและจะกำจัดทิ้ง หากเปลี่ยนเป็นกลุ่มขั้วอำนาจทั่วไป เกรงว่ามีแต่จะตกที่นั่งลำบาก

“ใครกันแน่ที่กล้าสวมรอยเรา? อยู่ภายใต้พลังอำนาจของมังกรวารีทมิฬ ทำเช่นนี้พวกเขาได้ประโยชน์อะไร?”

หนานกงเซิ่งอดครุ่นคิดไม่ได้

สิ่งแรกที่ทั้งคู่นึกถึงคือ วังเก้านิรยและจิวอู๋จี้

แต่ความขัดแย้งระหว่างพวกเขาและจิวอู๋จี้ เป็นแค่ปัญหาด้านผลประโยชน์และศักดิ์ศรี ไม่ถึงขั้นต้องตายตกกันไปข้าง

ท้ายที่สุด มังกรวารีล้างโลกาต่างหากจึงจะเป็นศัตรูของทุกคนในตอนนี้

“คิดตามหลักการทั่วไป ดูเหมือนทุกคนไม่มีความจำเป็นต้องทำแบบนั้น”

แววตาจ้าวเฟิงเป็นประกาย

หนานกงเซิ่งผงกศีรษะ ต่อให้เป็นผู้แข็งแกร่งต่างเผ่าพันธุ์ก็ไร้แรงจูงใจในการลงมือ

เพราะศึกภายในไม่เป็นผลดีใดๆ ต่อพวกเขา

มีเพียงคนทุกกลุ่มพร้อมใจร่วมแรงกัน ถึงจะมีโอกาสอยู่รอดต่อไปท่ามกลางวิกฤติจากมังกร

“บางทีข้าอาจรู้คำตอบแล้ว…”

คราวนี้จ้าวเฟิงกลับไม่เปิดปาก แต่สายตามองหนานกงเซิ่ง เผยเนื้อความบางส่วน

หากสองคนพูดคุยกัน มังกรวารีทมิฬจะมีปฏิกิริยาตอบสนองได้

หนานกงเซิ่งคล้ายครุ่นคิดบางอย่าง

พรึ่บ! คนทั้งสองลงมาที่ทางลอดใต้สะพานซึ่งอยู่ค่อนข้างต่ำ ด้านล่างคือลำธารเขียวมรกต มองเห็นปลาแหวกว่ายไปมาได้

ขณะนั้นเอง ตรงลานที่พักอาศัยซึ่งอยู่ไม่ไกล มีคนกลุ่มหนึ่งมาเยือน

“ข้าไม่เชื่อ! พี่เฟิงจะทำเรื่องแบบนี้…”

เสียงสุขุมเยือกเย็นของสตรีดังจากในกลุ่มนั้น น้ำเสียงสะท้อนถึงความแน่วแน่

“จ้าวหยูเฟย! ตวนมู่อวี้! ไม่ว่าเรื่องจริงเป็นอย่างไร พวกเราก็อย่าเพิ่งขัดแย้งกันเอง”

ผู้เฒ่าชุดเขียวกล่าวเสียงต่ำ

กำลังคนตรงหน้านี้คือตระกูลตวนมู่ หนึ่งในแปดตระกูลชนชั้นสูง หากเทียบกับตอนเพิ่งเข้าสู่มิติ ตระกูลตวนมู่ได้ราชันคนใหม่เพิ่มมาหนึ่งคน แน่นอนว่าผู้ที่มีกลิ่นอายทรงพลังที่สุด ยังเป็นจ้าวหยูเฟยผู้เหมือนนางเซียนหยกน้ำแข็ง กลิ่นอายพลังฝึกตนของนางเข้าใกล้ราชันช่วงสุดยอดแล้ว

“หยูเฟย…”

จ้าวเฟยที่อยู่ใต้สะพานมีสีหน้ามืดทะมึน

หากอำมหิตทำได้ถึงเพียงนี้ จะมีสิ่งใดทำไม่ได้อีก!

เขาไม่คิดเลยว่ามารคู่ผมม่วง ‘ตัวปลอม’ จะเคยลงมือจู่โจมแม้กระทั่งตระกูลตวนมู่

วูบ!

จ้าวเฟิงกระโดดขึ้นไป ผมม่วงโบกสะบัด ก่อนหยุดลงตรงหน้ากำลังคนเหล่านั้น

“จ้าวเฟิง!”

หนานกงเซิ่งเปลี่ยนสีหน้าเล็กน้อย ไม่นึกว่าจ้าวเฟิงจะเปิดเผยสถานะด้วยตนเอง ร่างเขาขยับไหว เร่งรีบตามหลังไป

ต้องรู้ว่า ตระกูลตวนมู่มีสามราชันผู้เก่งกาจ พลังของจ้าวหยูเฟยนางนั้นยิ่งแข็งแกร่งจนไม่อาจคาดเดา อีกอย่าง ทุกขั้วอำนาจล้วนเข้ามาในส่วนลึกของคฤหาสน์ แต่ละฝ่ายจะติดต่อสื่อสารระหว่างกัน

“มารคู่ผมม่วง!”

กลุ่มคนจากตระกูลตวนมู่เผยสีหน้าโกรธจัด จิตสังหารพลุ่งพล่าน

สองโจรชั่วช่างอหังการเกินไปแล้ว ก่อนหน้านี้เข้าโจมตีไม่ว่า ยามนี้ยังกล้าเสนอหน้าออกมาเอง

ความคิดแรกของผู้เฒ่าชุดเขียวคือหยุดยั้งคนทั้งสองก่อน พร้อมกันนั้นก็ส่งข่าวให้วังลอยฟ้ากับเหล่าราชนิกูล

“หยูเฟย”

จ้าวเฟิงยืนประจันหน้า ส่งกำปั้นไปทางพวกเขาอย่างช้าๆ

พริบตานั้น กลุ่มคนตระกูลตวนมู่ใจกายสั่นสะท้าน จิตสำนึกปั่นป่วน

เบื้องหน้าเพียงสั่นไหว คนทั้งหลายก็ตกเข้าสู่เมืองมายาเก่าแก่ที่มีหมอกโอบล้อม ไม่อาจหนีออกไปได้

คนส่วนใหญ่ถึงขั้นประสาทสัมผัสล้มเหลว ควบคุมตัวเองได้น้อยลงอย่างยิ่ง

ราชันอาวุโสที่มากฝีมือเช่นผู้เฒ่าชุดเขียว ทำได้แค่ฝืนโคจรชั้นพลังป้องกัน พอส่งเสียงผ่านชั้นวิญญาณ กลับเหมือนทิ้งก้อนหินลงมหาสมุทร

แค่หมัดเดียว คนทั้งหมดก็ตกอยู่ท่ามกลาง ‘เขตแดนเมืองมายา’ ของจ้าวเฟิง

“ฝีมือสูงส่งนัก” หนานกงเซิ่งตกตะลึง

ในกลุ่มตระกูลตวนมู่ มีเพียงจ้าวหยูเฟยที่ไม่ได้รับผลกระทบจากเขตแดนเมืองมายา

“ท่านคือพี่เฟิง!”

จ้าวหยูเฟยมั่นใจ สีหน้าฉายความยินดี

เด็กหนุ่มผมม่วงตรงหน้าชูมือข้างหนึ่งขึ้น ใช้เขตแดนเมืองมายาปกคลุมคนอื่นที่เหลือไว้

“หยูเฟย! พวกเจ้าตระกูลตวนมู่ก็โดนมารคู่ผมม่วงตัวปลอมลอบโจมตีด้วย?”

จ้าวเฟิงถามเสียงเบา

“อืม! เป็นสองคนที่เหมือนพวกท่านไม่มีผิด”

นางพยักหน้าตอบ

ครั้นได้ยินว่า ‘ตัวปลอม’ สองคำนี้ จ้าวหยูเฟยถอนหายใจโล่งอก

“ย้อนดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตอนนั้นได้หรือไม่…”

จ้าวเฟิงชะงักไป

เมื่อถึงขั้นราชันในขอบเขตปราณเทวะ วิญญาณจะแกร่งหาใดเปรียบ สามารถค้นความทรงจำในอดีต หวนรำลึกถึงความหลัง

“ได้”

จ้าวหยูเฟยโบกมือขาวราวหยก อากาศเบื้องหน้าปรากฏม่านแสงสีม่วง

วิ้ง! ในม่านแสงเผยให้เห็นภาพหนึ่ง

ตอนเริ่มแรก กำลังคนของตระกูลตวนมู่กำลังช่วยกันรับมือเถาวัลย์ เป้าหมายคือเพื่อเก็บผลแตงหลายลูกบนนั้น เถาวัลย์ดังกล่าวจัดการยากเย็นนัก จ้าวหยูเฟยเป็นกำลังหลักในการต่อกร

ทว่า ในช่วงสำคัญที่สุดตอนจะคว้าผลแตงมา

สวบ!

มีลำแสงสีเงินม่วงวูบไหว เงาร่างเรือนผมสีม่วงสองสายทะยานเข้าไป

“เป็นไปได้อย่างไร!”

จ้าวเฟิงกับหนานกงเซิ่งพากันหน้าซีดเผือด เพราะสองคนในภาพเหมือนพวกเขาทุกประการ เงาร่างสองสายเคลื่อนไหวค่อนข้างเร็ว แต่เค้าโครงรูปร่างกับวิธีการลงมือเหมือนมารคู่ผมม่วงมาก

ต่อจากนั้น คนทั้งสองจัดการจู่โจม และแย่งชิงผลไม้ล้ำค่าไป

จ้าวหยูเฟยต้องรับมือกับเถาวัลย์ที่ร้ายกาจนั่น สองคนนั้นจึงดำเนินการสำเร็จ

“พี่เฟิง…”

จ้าวหยูเฟยมีท่าทีเจ็บปวดใจและไม่อยากเชื่อ ดวงตามอง ‘มารคู่ผมม่วง’ จากไปไกล

พรึ่บ! เงาร่างทั้งสองกลายเป็นชั้นแสงสีเงินม่วง ระหว่างกะพริบวูบไหวก็ผสานเข้ากับอากาศรอบด้าน ก่อนหายไปอย่างไร้ร่องรอย

“เร็วยิ่งนัก! หรือว่าในสองคนนั้นมีใครชำนาญวิชามิติ?”

หนานกงเซิ่งสีหน้าหวาดหวั่น

เพียงดูจากภาพเหตุการณ์ก็แยกตัวปลอมของคู่โจรผมม่วงไม่ออก โดยเฉพาะการหลบหนีที่อำพรางตัวเข้ากับความว่างเปล่ารอบด้าน

“ไม่อยากจะเชื่อ…”

จ้าวเฟิงเอ่ยพึมพำ อัจฉริยะชั้นยอดที่มายังมิติเทพลวงตา มีคนมากความสามารถนับไม่ถ้วน เมื่อวิเคราะห์จากแค่ภาพเหตุการณ์ สองคนนั้นสำแดงความสามารถสามอย่างคือ

หนึ่ง การปลอมแปลงที่ยอดเยี่ยม

สอง เคล็ดวิชามิติคล้ายหนานกงเซิ่ง

สาม เคล็ดวิชาอำพรางกายหลบหนี สามารถหลอมรวมกับสภาพแวดล้อม ข้อสามกับข้อแรกอาจมาจากสายเลือดอย่างหนึ่ง

“หยูเฟย เจ้าพบจุดที่น่าสงสัยบ้างหรือไม่?

จ้าวเฟิงสอบถาม

จ้าวหยูเฟยขบคิด “ดูจากปฏิกิริยาของขั้วอำนาจอื่นๆ คู่โจรที่สวมรอยนั่นจะใช้กลยุทธ์ตีชิงตามไฟ ลงมือฉกชิงในช่วงเวลาสำคัญทั้งสิ้น”

“ทุกครั้งล้วนเป็นช่วงสำคัญ?”

จ้าวเฟิงกับหนานกงเซิ่งสบตากัน รู้สึกว่าช่างน่าเหลือเชื่อ

ครั้งก่อนๆ ที่พวกเขาปล้นชิง ยากนักที่จะได้โอกาสประจวบเหมาะเสียทุกครั้ง

“ข้าเข้าใจแล้ว”

‘คำตอบ’ ในใจจ้าวเฟิงแจ่มชัดขึ้นเรื่อยๆ จนแทบเป็นภาพฉายออกมา

ขณะนั้น เงาคนกลุ่มหนึ่งปรากฏในครรลองสายตาจากที่ไกลๆ

“หยูเฟย ไว้พบกันคราวหน้า”

จ้าวเฟิงเก็บมือที่ชูขึ้นทันที

ตุ้บ! ตุ้บ! เหล่าคนตระกูลตวนมู่ มีหลายคนที่ทรุดลงคุกเข่าไม่ก็ร่างกายโอนเอน

พรึ่บ! พวกผู้เฒ่าชุดเขียวเพิ่งหลุดพ้นจากผลกระทบของเขตแดนเมืองมายาในตอนนี้เอง

“มารคู่ผมม่วงไปไหนแล้ว?”

ทุกคนยังคงหวาดกลัว หลงทิศหลงทางกันเล็กน้อย

ส่วนผู้เฒ่าชุดเขียวกับบุรุษชุดฟ้า สองราชันมีสีหน้าหวาดหวั่น จับสังเกตได้รางๆ ว่าแสงสีเงินม่วงที่เลือนหายไปกลมกลืนเข้ากับกลุ่มสิ่งปลูกสร้างในส่วนลึกของคฤหาสน์

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!