Skip to content

King of Gods 843

King Of Gods

บทที่ 843 กำจัดตราประทับ

หลังผ่านไปนานหลายปี จ้าวเฟิงสำแดง ‘เนตรสวรรค์’ อีกครั้ง การกระทำเปิดเผยเช่นนี้ไม่ใช่เพราะต้องการแสดงอำนาจต่อกำลังคนที่แข็งแกร่งทุกฝ่าย และไม่ใช่เพื่อยั่วยุศัตรูอย่างมังกรวารีล้างโลกา

เป้าหมายของเขามีหนึ่งเดียวคือ ควบคุมสถานการณ์คฤหาสน์เสียหยางในตอนนี้

เมื่อคู่หูโจรตัวปลอมปรากฏกาย ทั้งความเป็นศัตรูและการต่อต้านจากทุกกลุ่มคน จนถึงการเคลื่อนไหวอย่างลับๆ ของมังกร ทำให้จ้าวเฟิงกุมสถานการณ์ได้น้อยลงเรื่อยๆ

เผชิญหน้าศัตรูในขณะที่มีทั้งอันตรายและผลประโยชน์ นี่ไม่ใช่สิ่งที่เขาอยากจะเห็น

ทว่าจ้าวเฟิงใช้ ‘เนตรสวรรค์’ มองทั้งคฤหาสน์จากเบื้องบน จึงกุมสถานการณ์ได้ประมาณหนึ่งอีกครั้ง และวาดแผนการไว้ในใจแล้ว

ตัวตนของคู่หูโจรตัวปลอมเป็นไปตามที่เขาคาดเดา เบื้องหลังมีมังกรวารีทมิฬชักใยอยู่จริงๆ ลองคิดดู หากไม่มีมังกรคอยชี้นำ สองโจรตัวปลอมจะเผยตัวในช่วงเวลาสำคัญทุกครั้งและลอบหลบหนีไปสำเร็จได้อย่างไร?

นอกจากเนตรสวรรค์ของจ้าวเฟิง ผู้ที่มีความสามารถมองทุกอย่างจากด้านบนก็มีเพียงมังกรวารีทมิฬ

มังกรวารีทมิฬควบคุมสถานการณ์ทั้งคฤหาสน์ผ่าน ‘ตราประทับล้างโลกา’ ในตัวทุกคนเช่นกัน

ความแตกต่างอยู่ที่ตอนนี้มันไม่อาจเข้าร่วมโดยตรง ต้องสร้างผลกระทบในคฤหาสน์ทางอ้อมผ่านมังกรฟ้าวารีทั้งสอง

ด้านนอกคฤหาสน์ การโจมตีจากโทสะของมังกรถี่มากยิ่งขึ้น

“ผ่านไปอีกสักยี่สิบกว่าวัน มังกรวารีล้างโลกาอาจเข้ามาในคฤหาสน์ได้”

แววตาจ้าวเฟิงขยับวูบไหว

ความคิดแรกเริ่มของมังกรวารีทมิฬ คงอยากใช้ประโยชน์จากผู้มาเยือนเหล่านี้ให้นำหน้าเปิดทาง ถึงอย่างไร มันก็ยังเกรงกลัวคฤหาสน์เทพอยู่มาก

ภายในนั้นมีภยันอันตรายตามมาไม่น้อยเช่นกัน

“เมื่อครู่เกิดอะไรขึ้นกันแน่?”

ภายในห้องใต้ดิน หนานกงเซิ่งมองจ้าวเฟิงอย่างแปลกใจ ขณะนี้ เขาเห็นใบหน้าอีกฝ่ายสงบนิ่งไม่หวั่นเกรง มีความเชื่อมั่นในการควบคุมทุกสิ่ง หนานกงเซิ่งเดาได้ไม่ยาก ภาพเหตุการณ์เมื่อครู่ต้องเกี่ยวกับจ้าวเฟิงแน่

“ก่อนจะไปต่อ พวกเราคลี่คลายปัญหาเล็กๆ น้อยๆ กันก่อน”

จ้าวเฟิงอมยิ้มน้อยๆ

“เจ้าหมายถึง…ตราประทับล้างโลกา?”

หนานกงเซิ่งกระจ่างแจ้งทันที

จ้าวเฟิงพยักหน้า นั่งขัดสมาธิ

ในห้องใต้ดิน จ้าวเฟิงและหนานกงเซิ่งเริ่มคิดหาวิธีขจัดตราประทับล้างโลกา

“ตราประทับฉบับง่ายนี้ สุดท้ายก็เป็นแค่กลิ่นอายสายเลือดล้างโลกาอย่างหนึ่ง หนานกงเซิ่ง เจ้าลองโคจรพลังมิติกับพลังผลึกปีศาจกลืนกินมันดู”

จ้าวเฟิงเอ่ย

ขณะพูด เขาเริ่มคลายตราประทับแล้ว

ตราประทับล้างโลกาแฝงด้วยเสวียนอ้าวทำลายล้างที่ทรงพลังอย่างยิ่ง แต่โชคดีที่ชีวิตก่อนจ้าวเฟิงฝึกมรดกวายุอัสนี จึงเข้าใจเสวียนอ้าวชนิดนี้ในระดับหนึ่ง

อีกทั้งเสวียนอ้าวทำลายล้างของเผ่าพันธุ์ล้างโลกายังเกี่ยวพันกับต้นกำเนิดฟ้าดินด้วย

เปรี๊ยะ เปรี๊ยะ! วิ้ง!

จ้าวเฟิงโคจรวายุอัสนีธาตุน้ำ จากนั้นใช้บัวฟ้าวารีครามเพื่อคุณประโยชน์ด้านการชะล้าง ส่วนลึกในร่างกาย กลิ่นอายพลังสีแดงอมดำแทรกซึมเข้าสู่เลือดเนื้อและกระดูก กระทั่งรุกล้ำถึงชั้นวิญญาณ

การทดลองของจ้าวเฟิงกลับไม่ส่งผลใดต่อกลิ่นอายดังกล่าว

นอกคฤหาสน์เสียหยาง

“เจ้าเด็กโง่เขลา! แม้นี่จะเป็นตราประทับล้างโลกาอย่างง่าย คนต่ำกว่าครึ่งเซียนก็ยากจะกำจัดออก…”

มังกรวารีทมิฬที่กำลังจู่โจมชะงักงัน ใบหน้าฉายแววเหยียดหยาม

แต่ตอนนั้นเอง สีหน้ามันพลันเปลี่ยนไป

“เป็นไปได้อย่างไร…”

ฉับพลันทันใด มังกรวารีล้างโลการู้สึกถึงสัญญาณการอ่อนกำลังลงของตราประทับที่ไม่ดับสูญ

ต้นตอของมันคือจ้าวเฟิงผู้เป็นหนึ่งในมารคู่ผมม่วง

เปรี๊ยะ เปรี๊ยะ! ในทะเลวิญญาณสีม่วงของเขาพลันมีลวดลาย ‘อัสนีลงทัณฑ์’ หลายร้อยเส้นสว่างไสว พร้อมแผ่พลังที่เทพเซียนภูติผียังต้องหวาดกลัว

พลังอัสนีเทวะเหล่านั้นหลอมรวมเข้าในวายุอัสนีธาตุน้ำ ก่อนขจัดทำลายกลิ่นอายพลังสีแดงดำหลายเส้นในกาย

“ดีที่ข้าฟื้นคืนพลังจักรพรรดิได้ในขั้นต้นแล้ว”

จ้าวเฟิงสามารถคุมพลังอัสนีเทวะส่วนหนึ่งในร่าง เมื่อมีประสบการณ์จากชีวิตก่อน จึงโคจรมันเสมือนปลาได้น้ำ

วายุอัสนีธาตุน้ำเข้ากันได้ดีเยี่ยม มันผสานเข้ากับเลือดเนื้อกระดูกหรือกระทั่งเส้นเลือดอย่างง่ายดาย จากนั้นกำจัดกลิ่นอายตราประทับแต่ละส่วน ทว่า กลิ่นอายพลังนั้นเกี่ยวข้องกับเสวียนอ้าวทำลายล้างจากต้นกำเนิดฟ้าดิน ถึงเป็นอัสนีเทวะก็ไม่อาจมีอำนาจข่มได้

ข้อดีของจ้าวเฟิงอยู่ที่เขาเป็นนายของร่างนี้ ทว่าตราประทับล้างโลกามีเพียงหนึ่ง ไร้ที่พึ่ง ดวงตาเทพเจ้ามองเห็นทุกอย่างจนหมดสิ้น

ครึ่งชั่วยามต่อมา

จ้าวเฟิงบีบให้กลิ่นอาย ‘ตราประทับล้างโลกา’ ไปรวมที่มุมเล็กๆ มุมหนึ่ง ใช้วายุอัสนีธาตุน้ำที่ผสานอัสนีเทวะผนึกไว้ชั่วคราว แล้วจึงกำจัดทิ้งทีละน้อย

ตอนนี้ เขาพลันลงมือช่วยหนานกงเซิ่งรับมือกับตราประทับ ความจริงแล้ว หนานกงเซิ่งมีพรสวรรค์ด้านมิติสูงส่ง พร้อมด้วยพลังชั้นยอดของผลึกปีศาจ จึงมีวิธีคุกคามตราล้างโลกาได้ในระดับหนึ่ง เว้นก็แต่เขาไม่มีดวงตาเทพเจ้า ทำให้ขาดการรับรู้และกำหนดตำแหน่งของกลิ่นอายให้ชัดเจน

จ้าวเฟิงตบมือข้างหนึ่งลงบนบ่าหนานกงเซิ่ง

พริบตาเดียว ประสาทสัมผัสหนานกงเซิ่งสั่นไหว กลิ่นอายตราประทับในกายปรากฏให้เห็นทั้งหมด

“พลังที่มองทะลุปรุโปร่งเช่นนี้…”

หนานกงเซิ่งสั่นสะท้าน ที่แท้จ้าวเฟิงส่งประสาทสัมผัสดวงตาเทพเจ้าให้เขาร่วมใช้ด้วย สัมผัสเลือนรางที่มีต่อกลิ่นอายตราประทับแจ่มชัดขึ้นสิบกว่าเท่าหรือร้อยเท่า

ต่อจากนั้น เขาพลันโคจร ‘ชั้นแสงอัปมงคลสีม่วงอมเงิน’ ขึ้นปกคลุมกลิ่นอายแดงดำอย่างรวดเร็ว ก่อนจะกลืนกินและกำจัดมันทิ้งไป

วิ้ง! ผลึกปีศาจในตัวหนานกงเซิ่งกระสับกระส่าย ขับลวดลายแสงสีม่วงน่าเย้ายวนใจหลายต่อหลายวง กลิ่นอายแกร่งกล้านั้นถึงขั้นทำให้จ้าวเฟิงที่อยู่ด้านข้างหายใจลำบาก

“ไม่เสียทีที่เป็นผลึกเซียนที่แท้จริง”

ผลึกเซียนที่ปรากฏในโลกมนุษย์ ส่วนมากเป็นผลึกเซียนระดับล่าง อย่างเช่นผลึกที่ใช้กับค่ายกลข้ามดินแดนจิตวิญญาณ

ในความเป็นจริง ผลึกเซียนระดับล่างแฝงพลังชั้นสูงที่แทบไร้ขีดจำกัดเอาไว้แล้ว

พาหนะเพลิงวายุของจ้าวเฟิงฝังผลึกเซียนระดับล่างไว้หนึ่งชิ้น พลังงานแทบใช้ได้ไม่มีวันหมด ทว่าผลึกปีศาจที่หนานกงเซิ่งได้มาพิเศษยิ่งกว่า อย่างน้อยก็เป็นผลึกชั้นดีที่ว่ากันว่าเกิดจาก ‘พลังของเทพชั่วร้าย’ หลังตกผลึก

ไม่นานหลังจากนั้น หนานกงเซิ่งจำกัดกลิ่นอายพลังของตราประทับสำเร็จ และเริ่มสลายมันไปอย่างช้าๆ อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะจ้าวเฟิงหรือหนานกงเซิ่งก็ไม่อาจขจัดตราประทับล้างโลกาได้ฉับไวในเวลาอันสั้น

‘ตัวข้าต้องใช้เวลาประมาณหนึ่งวัน ทว่าหนานกงเซิ่งต้องใช้สองวันด้วยกัน’

จ้าวเฟิงคาดการณ์คร่าวๆ

ขณะกำจัดตราประทับ เขาก็คอยสนใจคฤหาสน์เสียหยางชั้นในไปพร้อมกัน

คฤหาสน์เสียหยาง หน้าหอโลหะทรงหกเหลี่ยมนาม ‘หอหลอมศาสตรา’

กลุ่มคนที่นำโดยเหล่าเชื้อพระวงศ์และหอกระบี่ฟ้ากำลังหาวิธีทำลายค่ายกลเทพคุ้มกันประจำหอนี้

ก่อนหน้านี้ โอกาสที่พวกเขาเก็บเกี่ยวตรงรอบนอกของคฤหาสน์ ส่วนมากปราศจากการคุ้มครองจากค่ายกล และเป็นสิ่งที่ธรรมดาสามัญอย่างยิ่ง

ทว่า ‘หอหลอมศาสตรา’ ตรงหน้าแตกต่างออกไป มันมีค่ายกลคอยปกปักรักษา

“ทุกคนวางใจได้ ค่ายกลเทพคุ้มกันในคฤหาสน์มีแรงสะท้อนกลับไม่มากนัก หลักๆ มีไว้คุ้มกันสิ่งก่อสร้าง”

ปรมาจารย์ค่ายกลฝั่งราชนิกูลเอ่ยขึ้น

ด้านหน้าหอหลอมศาสตรา นอกจากสองขั้วอำนาจนี้ ยังมีกลุ่มคนจากตระกูลตวนมู่ ตระกูลเฉา จวนฉีกงและอื่นๆ เข้าร่วมด้วย

ในบรรดากำลังคนเหล่านี้มีราชันที่เป็นผู้นำมากกว่าหนึ่ง

หลังเข้าสู่คฤหาสน์ ยอดฝีมืออัจฉริยะส่วนใหญ่เก็บเกี่ยวโอกาสมาได้ไม่น้อย

ตอนนี้สมาชิกทุกคนมีกำลังรบต่ำสุดคือขั้นราชันหรือเทียบเท่าราชัน ดูแคลนไม่ได้เลยทีเดียว

“ความคิดข้าคือให้ใช้ค่ายกลแก้ค่ายกล โดยสร้างค่ายกลที่ขัดต่อหลักการแห่งหนึ่งตรงรอยแยก เพื่อทำให้รอยแยกนั้นขยายออก”

ปรมาจารย์ค่ายกลผู้นั้นอมยิ้มเอ่ย

ผู้แข็งแกร่งที่ชำนาญด้านค่ายกลจากขั้วอำนาจแต่ละฝ่าย ร่วมแรงกันสร้างค่ายกลขึ้นที่หน้าหอโลหะ

ครึ่งวันถัดมา ค่ายกลทรงพลังที่แน่นหนาและซับซ้อนเป็นรูปเป็นร่างอยู่หน้าหอ

วิ้ง! ผิวนอกของหอหลอมศาสตรามีระลอกไฟสีแดงเข้มกระเพื่อมไหว

คนมากฝีมือในบริเวณนั้นรู้สึกถึงความร้อนที่แผดเผา ปากลิ้นแห้งผาก ไม่ต่างจากมดปลวกบนกระทะร้อนระอุ

ถ้ารั้งอยู่แถวนี้นานๆ ต่อให้เป็นราชันปราณเทวะก็อาจโดนเผาไหม้ได้

ดีที่รอยแยกหน้าค่ายกลค่อยๆ ขยายใหญ่ขึ้น

กลุ่มขั้วอำนาจหลายฝ่ายสับเปลี่ยนกันเข้าไปประคับประคองค่ายกล

“ยังต้องใช้เวลาอีกหนึ่งวัน เราจึงจะเข้าไปด้านในได้ หากข้าเดาไม่ผิด ที่แห่งนี้คงเป็นจุดหลอมสร้างซ่อมแซมอาวุธวิเศษในคฤหาสน์เสียหยาง”

ปรมาจารย์ค่ายกลคนเดิมเผยรอยยิ้ม

ในสวนไกลออกไป สองเงาร่างผมม่วงอำพรางตัวอยู่ท่ามกลางแมกไม้ พลางสังเกตการณ์ทุกความเคลื่อนไหวในหอหลอมศาสตรา

“รอหอนั่นเปิดเมื่อไหร่ เราค่อยหาโอกาสลงมืออีกที”

ความคาดหวังรอคอยอันแรงกล้าฉายอยู่บนใบหน้ามังกรฟ้าวารีเว่ยจิ้ง

ยามนี้หอหลอมศาสตรายังไม่เปิดออก แต่กลับแผ่กลิ่นอายสมบัติที่น่าตื่นตกใจออกมา

มังกรวารีทมิฬเผยให้รู้ว่า ในหอนั้นอาจมีสมบัติอาวุธวิเศษที่มีมูลค่าใช้ได้

เวลาเดียวกัน ส่วนลึกของคฤหาสน์เสียหยาง ด้านหน้าหอสูงมืดทะมึนที่สร้างจากไม้

อัจฉริยะจากวังลอยฟ้าซึ่งมีเซวียนหยวนเหวินเป็นผู้นำยืนอยู่หน้าหอหลังนั้น

“วิชามายาความลับสวรรค์ จงเปิด!”

ศิษย์พี่จูเก๋อวาดมือข้างหนึ่ง จุดอักขระลายน้ำสีเขียวเข้มปรากฏขึ้น พื้นผิวฉายแสงทองเรืองรองดูเก่าแก่ มันบิดเบี้ยวพลางผสานเข้ากับประตูหลัก

เซวียนหยวนเหวินกับสตรีชุดแดงต่างใช้หนึ่งมือประคองบ่าศิษย์พี่จูเก๋อไว้

แกรก! ประตูใหญ่หน้าหอมืดทึบถูกศิษย์พี่จูเก๋อผลักออก

ชั่วพริบตานั้น ตำราเก่าแก่ที่สาดแสงอ่อนหลากสีภายในหอ พลันสะท้อนเข้าสู่สายตาทุกคน

ตำราเก่าแก่พวกนั้นลอยเคว้งอยู่ในหอกว้างใหญ่ ราวกับดวงดาวนับไม่ถ้วนบนฟ้ามืดมิด จำนวนอย่างน้อยหลายหมื่น

สวบ สวบ สวบ! คนของวังลอยฟ้าเข้าไปในหอตำรามืดทะมึนอย่างรวดเร็ว

แกรก! ศิษย์พี่จูเก๋อปิดประตูอย่างระมัดระวัง ทว่าไม่มีผู้ใดพบเห็น ช่วงที่ศิษย์ขั้นครึ่งก้าวสู่ราชันคนสุดท้ายเข้าไป เนตรสวรรค์โปร่งใสสีม่วงอ่อนปรากฏกลางฟ้าเหนือหอตำรา

เนตรสวรรค์เปล่งแสงประหลาด เจือแววขบขันเล็กน้อย ก่อนหายลับไปจากบนฟ้า

ห้องใต้ดิน ภายในคฤหาสน์เสียหยาง

“กำจัดหมดแล้ว”

จ้าวเฟิงพลันลืมตา กลิ่นอายตราประทับล้างโลกาในร่างหายไปหมดสิ้น

สมกับที่พลังอัสนีเทวะเป็นไม้ตายสำคัญของจ้าวเฟิง ภายใต้การกำจัดเอาไว้ไม่หยุด มันลบตราประทับล้างโลกาฉบับง่ายจนหมด

ครึ่งวันต่อมา จ้าวเฟิงช่วยหนานกงเซิ่งกำจัดตราประทับในร่าง

ครึ่งชั่วยามหลังจากนั้น ด้านหน้าหอหลอมศาสตรา

“สำเร็จแล้ว!”

ระลอกไฟสีแดงเข้มบนพื้นผิวหอหกเหลี่ยมพลันอับแสงลงหลายส่วน โดยเฉพาะบริเวณด้านหน้า

ครืน ~แกรก ประตูโลหะสีดำมืดถูกแรงไร้ลักษณ์ผลักออกไป ค่ายกลหลากสีหน้าหอทลายลงในพริบตา

วินาทีที่ประตูโลหะเปิดออก พลังไฟแรงกล้าที่น่าสะพรึงทะลักออกมา สายตาเห็นวายุเพลิงกึ่งโปร่งใสกวาดเหล่ายอดฝีมือตรงประตูออกไป

“ฮ่าฮ่า…” ด้านหน้าหอหลอมศาสตราได้ยินเสียงเหี้ยมโหดแว่วมา ยอดฝีมืออัจฉริยะส่วนหนึ่งที่ป้องกันไม่ทันกาล ทั้งร่างหลอมละลายกลายเป็นเถ้าธุลี

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version