บทที่ 918 เอาแต่ใจ
“เจ้าขจัดพิษแล้วจริงรึ เจ้าทำได้ยังไงกัน?”
โจวซู่เอ๋อร์ทนนิ่งไม่ไหวอีกต่อไป นางมองไม่ออกเลย แล้วจะแอบขโมยเรียนได้อย่างไร?
แม้กระทั่งตาเฒ่าอิงที่เห็นอะไรมามาก ใบหน้ายังตกตะลึง นิ่งเงียบตกอยู่ในภวังค์ เขาคิดว่าจ้าวเฟิงคงจะใช้วิธีอะไรสักอย่างขจัดพิษ แต่นึกไม่ถึงเลยว่าจะใช้วิชาดวงตา
วิชาดวงตาราวแปดส่วนมักจะส่งผลกับวิญญาณ ยากนักที่จะส่งผลต่อชั้นวัตถุ อีกทั้ง วิชาดวงตาที่จ้าวเฟิงใช้เมื่อครู่ เขาไม่เข้าใจเลยสักนิด
ขวับ! จ้าวเฟิงยกแขนซ้ายขึ้นโบก นำรังผึ้งอัคคีเทียนหงเก็บเข้าไปยังมนตราอากาศ
“พาข้าไปเลือกวัตถุดิบยาอย่างอื่นเถอะ!”
จ้าวเฟิงเมินสายตาที่มองมาอย่างสงสัยของโจวซู่เอ๋อร์ มุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้มหยอกล้อ
“ได้ เจ้าสามารถเลือกตัวยาชนิดใดก็ได้สิบอย่างที่ราคาเทียบเท่ากับรังผึ้งอัคคีเทียนหง ข้าจะไม่เก็บเงินเจ้า แต่เจ้าต้องบอกข้าถึงวิธีขจัดพิษ!”
คิ้วราวใบหลิวของโจวซู่เอ๋อร์ชี้เฉียง โมโหจนต้องกระทืบเท้า แล้วรีบคุยโวใหญ่โตทันที เพราะอยากแลกกับวิธีขจัดพิษผึ้งจากจ้าวเฟิง ต้องรู้ก่อนว่า ราคาของรังผึ้งอัคคีเทียนหงเทียบเท่ากับบัวฟ้าวารีครามหนึ่งต้นเลยทีเดียว ที่โลกภายนอก มันเป็นของล้ำค่าที่หาได้ยากยิ่ง
ข้อเสนอเย้ายวนใจเช่นนี้ ต่อให้เป็นจักรพรรดิชั้นยอดที่มีอำนาจอิทธิพลมากก็ยากจะปฏิเสธ
“ข้ามีผลึกเริ่มต้นมากมาย!”
จ้าวเฟิงรีบอธิบายทันที
“เยี่ยม เจ้ามีผลึกเริ่มต้น ช่างหัวแข็งจริงๆ!”
โจวซู่เอ๋อร์กระทืบเท้า ฝืนฉีกยิ้มออกมา เด็กหนุ่มคนนี้เอาแต่ใจเสียจริง
องค์ชายเก้าแอบหัวเราะ เขาไม่ได้บอกโจวซู่เอ๋อร์ถึงฐานะของจ้าวเฟิง ด้วยสิ่งของที่จ้าวเฟิงเก็บเกี่ยวมาได้จากมิติเทพลวงตา มีหรือจะสนใจราคาของวัตถุดิบยาพวกนี้
เห็นโจวซู่เอ๋อร์ที่ปฏิเสธเขาให้อยู่แต่ข้างนอก ลำบากเพราะจ้าวเฟิงครั้งแล้วครั้งเล่า องค์ชายเก้ารู้สึกสาแก่ใจ อดไม่ได้ที่จะขำออกมา
“ข้าต้องการวัตถุดิบยาที่ดีที่สุดของที่นี่!” จ้าวเฟิงเห็นว่ากำลังได้ที จึงต่อรองเพิ่ม
หากเวลาปกติมีลูกค้ามาพูดเช่นนี้ แน่นอนว่าโจวซู่เอ๋อร์ย่อมดีใจเป็นอย่างมาก
ทว่าตอนนี้ สายตาคับแค้นใจของนางจ้องเขม็งไปที่จ้าวเฟิงตั้งแต่ต้นจนจบ ในใจมีเพียงคำว่า ‘เอาแต่ใจเสียจริง!’ วนเวียนซ้ำไปซ้ำมา
โจวซู่เอ๋อร์จึงหยิบของล้ำค่าธาตุไฟจากคลังยาหายากของตัวเองมามอบให้จ้าวเฟิง
พลังของตาสีทอง ทำให้จ้าวเฟิงเห็นได้ชัดถึงจำนวนของจุดธาตุไฟในวัตถุดิบยาทุกชนิด
จ้าวเฟิงใช้วิธีนี้มาแยกแยะยาที่ไม่รู้จักบางตัว เพิ่มความรู้ใหม่ๆ ให้ตัวเอง
“พี่ซู่เอ๋อร์ ท่านทบทวนดูอีกทีเถอะ ในสุสานราชวงศ์มีทรัพยากรล้ำค่ามากมาย มีแม้กระทั่งสมบัติล้ำค่าที่ตกทอดมาแต่สมัยบรรพกาล”
ในยามนี้ องค์ชายเก้าก้าวขึ้นไปเกลี้ยกล่อมอีกครั้ง
“ข้าคิดดีแล้ว ไม่อยากไป!”
โจวซู่เอ๋อร์จ้องเขม็งไปยังจ้าวเฟิงที่กำลังเลือกวัตถุดิบยา ไม่สนใจองค์ชายเก้า
“ข้ารู้ว่าท่านเกลียดเสด็จพ่อ แต่ว่า…”
องค์ชายเก้าแอบทอดถอนใจด้วยความเศร้า
“เจ้าหุบปาก ห้ามพูดถึงเขา!”
โจวซู่เอ๋อร์พูดตัดบทองค์ชายเก้า แววตาพลันเย็นเยียบ
จ้าวเฟิงที่กำลังเลือกวัตถุดิบยาตะลึงในใจ ฐานะของสตรีนางนี้ เขาพอจะเดาได้บ้างแล้ว
นอกจากนั้น องค์ชายเก้ายังอยากได้โจวซู่เอ๋อร์มาเป็นพวก คงจะเป็นเพราะถูกใจในฝีมือการรักษาของนาง แต่เดิมจ้าวเฟิงเพียงแค่อยากจะซื้อวัตถุดิบยาแบบง่ายๆ หากช่วยได้ ก็จะถือโอกาสช่วยองค์ชายเก้าให้ใกล้ชิดคนที่เขาอยากจะได้ตัวมาเสียหน่อย
ไม่คิดว่าองค์ชายเก้าเพียงแค่อ้าปากก็แตะย้อนเกล็ดของโจวซู่เอ๋อร์ ทำให้การเจรจาหยุดชะงักกลางคัน
“จักรพรรดิองค์ปัจจุบันโปรดปรานองค์ชายสิบสามนัก มีโอกาสมากที่เขาจะชิงตำแหน่งรัชทายาทมาได้ หากท่านเกลียดจักรพรรดิองค์นี้มากนัก ท่านก็ช่วยให้องค์ชายเก้าได้ตำแหน่งรัชทายาทมา เช่นนี้ไม่ดีหรือ?”
จ้าวเฟิงเลือกวัตถุดิบยาเสร็จ ยิ้มอย่างอ่อนโยน พูดไปตามอารมณ์ในฐานะคนที่มองจากภายนอก
จิตใจของโจวซู่เอ๋อร์ราวกับถูกชนเข้าอย่างจัง นางมองจ้าวเฟิงทันใด อยากจะพูดอะไร แต่กลับไม่พูดออกมา นางสะบัดหน้ากลับไป ดวงตาสุกสกาวมองไปยังที่ไกล
องค์ชายเก้าและตาเฒ่าอิงใจสั่นสะท้านทันที คำพูดของจ้าวเฟิงช่างกล่าวได้อย่างเหมาะเจาะพอดี สมบูรณ์อย่างหาที่เปรียบไม่ได้
อีกทั้งประโยคนี้ต้องมาจากคนนอกเท่านั้นจึงจะน่าเชื่อถือ
องค์ชายเก้ามองมาทางจ้าวเฟิงอย่างรู้สึกซาบซึ้ง จากนั้นมองโจวซู่เอ๋อร์ รอดูปฏิกิริยาของนาง
จ้าวเฟิงเลือกยาเสร็จก็นำใส่แหวนเก็บของ แล้วเดินจากไป
ออกจากหอโอสถเซียนมาแล้ว จ้าวเฟิงเดินเล่นไปทั่วอยู่ชั่วขณะ ก่อนไปจากตลาดแลกเปลี่ยนซื้อขาย
ยอดเขาเตี้ยทอดตัวยาวต่อเนื่อง ป่าลึกเงียบสงัด นี่ป็นสถานที่ที่ไร้ซึ่งผู้คน
“พวกเจ้านี่ก็ช่างมีความอดทนเสียจริง!”
จ้าวเฟิงหยุดฝีเท้า หันหลังกลับในทันที ดวงตาซ้ายพุ่งเป้าไปยังพื้นที่ด้านหลังห่างไปอีกพันลี้ พร้อมส่งเสียงจากวิญญาณออกไป
“บุก!” แสงหม่นสีเทาสี่สาย พลันพุ่งออกมาจากเงาของป่าทึบที่มืดสลัว พลังจากทั้งสี่มุมล้อมจ้าวเฟิงเอาไว้
“กลิ่นอายสายมาร วังเก้านิรย?”
จ้าวเฟิงเอ่ยเสียงเรียบ มองไปยังผู้อาวุโสใบหน้าชั่วร้ายหนึ่งในนั้น
ผู้อาวุโสสีหน้าท่าทางเรียบนิ่ง ส่งจิตสื่อสารกับอีกสามคนที่เหลือ
พวกเขาสะกดรอยตามจ้าวเฟิงมาตั้งนานแล้ว จนกระทั่งพบว่าจ้าวเฟิงเข้าไปในหอโอสถเซียน แถมยังพูดคุยกับองค์ชายเก้าที่ชั้นแปดอีกช่วงระยะหนึ่ง พวกเขาจึงเริ่มระมัดระวังมากขึ้น
ยามนี้เป็นช่วงเวลาที่อ่อนไหวมาก โดยเฉพาะกับเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเหล่าองค์ชายผู้เข้าร่วม ‘ศึกชิงตำแหน่งรัชทายาท’
หากจ้าวเฟิงถูกองค์ชายเก้าชักชวน แล้วพวกเขาลอบสังหาร
เรื่องนี้ทางราชสำนักจะต้องสืบหาอย่างแน่นอน เพราะนี่เป็นการกระทำที่แทรกแซงศึกชิงตำแหน่งรัชทายาทอย่างร้ายแรง เบื้องหลังจะพลอยถูกเปิดโปง ต่อให้เป็นวังเก้านิรยก็ต้องเดือดร้อนเช่นกัน
ทันใดนั้น ในมือของผู้อาวุโสมีตราคำสั่งโลหะสีดำปรากฏขึ้น พลังวิญญาณที่อยู่บนนั้นสั่นไหว ข้อมูลบางอย่างไหลเข้าสู่วิญญาณของผู้อาวุโส
ผู้อาวุโสหน้าตาเจ้าเล่ห์มองยังเงาดำอีกสามร่าง ก่อนจะพยักหน้าเล็กน้อย
ฉับพลันทันใด จักรพรรดิสายมารทั้งสี่เรียกใช้พลังโลกมิติส่วนตัว พวกมันหลอมรวมซึ่งกันและกัน พลังจากกฎเกณฑ์ที่ไร้รูปร่างแทรกซึมไปในอากาศ
จ้าวเฟิงราวกับตกลงสู่โลกอันมืดมิด คลื่นใต้น้ำรุนแรงแต่ละสายไหลทะลักเชี่ยวกรากในความมืด ชวนให้สั่นไปทั้งวิญญาณ
การพันธนาการจากพลังกฎเกณฑ์ของโลกมิติส่วนตัว คลื่นอากาศที่ไม่มั่นคง ในสถานการณ์แบบนี้ ไม่สามารถดึงมนตราอากาศออกมาใช้ได้
“เซียนวังเก้านิรยตายไปคนหนึ่งแล้ว ยังไม่ได้รับบทเรียนอีกรึ?”
สีหน้าท่าทางของจ้าวเฟิงเรียบนิ่ง พูดกลั้วหัวเราะ
“ผู้เยาว์ หากไม่ใช่เพราะเจ้าใช้อาวุธเทพชั้นรอง เจ้าจะสังหารจ้าวลัทธิมารเก้านิรยได้หรือ?”
ผู้อาวุโสในชุดดำทั้งตัวอดหัวเราะดูถูกไม่ได้
จ้าวเฟิงเป็นเพียงแค่ขอบเขตปราณเทวะช่วงปลาย ต่อให้เป็นอัจฉริยะเหนือใคร มีลูกไม้มากมาย แต่พวกเขามีสามจักรพรรดิไร้เทียมทาน อีกหนึ่งจักรพรรดิขั้นสุดยอด เท่านี้ก็เพียงพอ อีกทั้งการต่อสู้ครั้งนี้ พวกเขาก็มีแผนรับมือไว้แล้ว
พวกเขาทั้งสี่ล้อมจ้าวเฟิงเอาไว้ โจมตีมาจากที่ไกลๆ
เพียงจ้าวเฟิงใช้ศรสังหารเทพ พวกเขาก็จะสลายตัวอย่างรวดเร็ว สุดท้ายจะมีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ต้องดับดิ้น
นี่ก็ต้องดูที่ดวงของใครของมันแล้ว
จักรพรรดิทั้งสี่ลงมือทันใด ภายในโลกมิติส่วนตัวของตน อานุภาพการโจมตีจะเพิ่มสูงขึ้น แต่จ้าวเฟิงกลับถูกกดข่มอย่างรุนแรง
“กายศักดิ์สิทธิ์อัสนี!”
ทั่วทั้งร่างของจ้าวเฟิงมีลายสายฟ้าสีทองขยับวูบวาบ ร่างกายขยายใหญ่ขึ้นในพริบตา ราวกับยักษ์ที่ส่องแสงสีฟ้าทอง แก่นแท้พลังที่ทรงอานุภาพ ทำให้มิติส่วนตัวของจักรพรรดิทั้งสี่เริ่มบิดเบี้ยวไม่มั่นคง
ตูม ตูม!
การโจมตีของจักพรรดิทั้งสี่ระเบิดใส่ร่างฟ้าทองสว่างไสวของจ้าวเฟิง แสงอัสนีแปลบปลาบมากมายแผ่กระจาย ก่อนจะหายไป
“อะไรกัน กายเนื้อของเจ้าเด็กนี่แข็งแกร่งถึงเพียงนี้เชียวรึ?”
ผู้อาวุโสหน้าตาเจ้าเล่ห์ตกใจ
ในรายงานข่าวกล่าวไว้ว่าการป้องกันร่างกายของจ้าวเฟิงน่าตื่นตะลึง หากแต่ไม่คิดว่าจะแข็งแกร่งได้ถึงเพียงนี้ สามารถต้านรับการหยั่งเชิงโจมตีของจักพรรดิทั้งสี่ได้
หากเป็นเช่นนี้แล้ว คงยากที่จะบีบบังคับให้จ้าวเฟิงใช้ศรสังหารเทพ
“ใช้พลังทั้งหมดลงมือ!”
ในเพลิงมารสีดำอีกสาย มีเสียงของยายเฒ่าลอยออกมา มือทั้งสองข้างส่งกลุ่มเปลวไฟสีดำขาวแปลกประหลาดออกไป
“เจ้าเด็กคนนี้ ปล่อยเอาไว้ไม่ได้เด็ดขาด!”
ในมือผู้อาวุโสหน้าตาเจ้าเล่ห์มีไม้เท้ากระดูกสีขาวดำปรากฏขึ้น ไข่มุกมารสีดำบนยอดไม้เท้าแผ่กลิ่นอายพลังมืดมิดที่ชวนให้ผู้คนหวาดหวั่น
“มารทลายสวรรค์!”
ผู้อาวุโสโบกไม้เท้ากระดูก ลำแสงมารสีดำพวยพุ่งออกมาจากไข่มุกมาร ภายในนั้นยังมีคลื่นพลังวิญญาณมืดหม่นเจือปนอยู่ด้วย
ตูม ตูม ตูม!
สี่จักรพรรดิขับเคลื่อนพลังสายมาร ไม่ออมมืออีกต่อไป ลงมืออย่างสุดกำลัง
ทั้งโลกมิติส่วนตัวอันมืดมิด พลังมารที่น่าสะพรึงกลัวพวยพุ่ง เกิดเป็นเสียงกรีดร้องโหยหวน
“ฮ่าๆ มาได้ดีจริงๆ!”
วายุอัสนีคุ้มกาย!
วู้ม วู้ม วู้ม!
รอบกายของจ้าวเฟิงก่อตัวเป็นเกราะลายสายฟ้าโบราณที่สมจริงขึ้นชั้นหนึ่ง รัศมีสีทองเจิดจรัส รายล้อมด้วยเสียงกัมปนาทของวายุอัสนีเป็นพักๆ
การโจมตีทั้งหมดโดนเกราะคุ้มกายสกัดกั้นเอาไว้ เพียงชั่วขณะเดียว สายฟ้าแปลบปลาบคำรามก้อง แสงรัศมีตัดสลับไปทั่ว!
ตูม! ผิวของเกราะลายอัสนีโบราณเปล่งแสงสายฟ้าสว่างเจิดจ้า พลันทำให้การโจมตีทุกอย่างสั่นสะเทือนจนกลายเป็นผุยผง ส่วนการโจมตีวิญญาณที่แทรกซึมเข้ามา เมื่อสัมผัสเข้ากับกายวิญญาณอัสนีเทวะ ก็ถูกพลังอัสนีเทวะ ระเบิดทำลายอย่างบ้าคลั่งจนสลายไปทันที
ปรากฏการณ์ทั้งหมดนี้ จ้าวเฟิงสังเกตเอาไว้ในสายตา
ทันใดนั้นเขาก็นึกขึ้นได้ ตัวเองจะสามารถเลียนแบบ ‘วายุอัสนีคุ้มกาย’ มาสร้างเป็นวิชาลับปกปักวิญญาณได้หรือไม่ แต่ว่าในตอนนี้ ต้องวางความคิดนี้เอาไว้ก่อน
หลังจากที่กายสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ของจ้าวเฟิงถึงขั้นห้าระดับสุดยอดแล้ว ก็ยังไม่เคยใช้ในการต่อสู้ซึ่งหน้ามาก่อน
ในยามนี้ มีคนมาหาถึงที่เพื่อช่วยจ้าวเฟิงฝึกกายสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ และปลุกพลังกายที่ตกตะกอนในร่างกว่าครึ่งปีพอดี
ทันใดนั้น พลังโลกมิติส่วนตัวในอากาศรอบด้านพลันสลายไปสิ้น
จักรพรรดิสายมารทั้งสี่คนใช้วิชาลับหนีไปแล้ว
“แย่แล้ว แสดงพลังที่แท้จริงมากไป ตกใจหนีไปซะแล้ว!”
จ้าวเฟิงกระอักกระอ่วนเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มเย็น “พวกเจ้าหนีได้รึ?”
ตูม! ประโยคนี้ดังขึ้นในวิญญาณของจักพรรดิทั้งสี่พร้อมกัน ทำเอาวิญญาณของพวกเขาสั่นสะท้าน เหงื่อไหลซึมชื้นไปทั่วทั้งร่าง รีบใช้วิชาซ่อนกาย และเร่งความเร็วขึ้น
วู้ม วู้ม! ในดวงตาซ้ายของจ้าวเฟิง คลื่นพลังวิญญาณแข็งแกร่งก่อตัวขึ้น ดวงตาทองที่สุกใสราวกับอำพัน สาดแสงสีทองออกไปนับไม่ถ้วน เหนือหัวของผู้อาวุโสเจ้าเล่ห์ มีเนตรสวรรค์โปร่งแสงสีทองอ่อนปรากฏขึ้นข้างหนึ่ง หนามผลึกอัสนีแตกกระจายออกมาจากในนั้น แล้วพุ่งทะลุไปในวิญญาณของผู้อาวุโส
หนามผลึกอัสนีสีทองแฝงด้วยคุณลักษณะทะลุผ่าน มันทะลวงเข้าไปในส่วนลึกของวิญญาณ จากนั้นประกายแสงจากพลังอัสนีเทวะก็ระเบิดออกอย่างบ้าคลั่ง ร่างของผู้อาวุโสดับสิ้นทันที
ในขณะเดียวกัน ดวงตาซ้ายของจ้าวเฟิงมีคลื่นแสงสีทองอ่อนสาดส่องออกไป โดยที่ไม่มีอะไรมาขวางกั้น มันพุ่งทะลุผ่านทุกสิ่ง สาดส่องไปนับพันลี้ ตรงไปยังศีรษะของเงาดำที่กำลังหลบหนีอยู่
ฉากอันน่าแปลกประหลาดปรากฏขึ้น ส่วนหัวของเงาดำพลันหายไปในพริบตา ก่อนที่ร่างทั้งร่างจะร่วงหล่น
ปีกอัสนีผ่านฟ้า!
หลังใช้วิชาดวงตาสำเร็จไปแล้วสองครั้ง ทั้งร่างของจ้าวเฟิงแปรเปลี่ยนเป็นลำแสงอัสนีสีชาดแล้วเลือนหายไปในอากาศ
ในช่วงวินาทีถัดไป
จ้าวเฟิงก็มาปรากฏกายห่างออกไปพันลี้ กายอัสนีสีทองเปล่งแสงสายฟ้าวูบวาบ แก่นแท้พลังกายไร้รูปร่างเข้ากดดันไปทั่ว
ปีกแสงอัสนีสีชาดที่กลางหลังโหมกระพือ วายุอัสนีเพลิงแผ่กระจายอยู่ทั่ว ผสานผืนฟ้าและปฐพีเข้าด้วยกัน
ใบหน้าซีดขาวของยายเฒ่า ลอยเด่นออกมาจากในเงามืดด้านล่าง
หมัดศักดิ์สิทธิ์อัสนี!
หมัดทั้งสองของจ้าวเฟิงซัดออกไป ก่อให้เกิดแก่นแท้พลังหมัดสะเทือนฟ้าดินหลายต่อหลายสาย รูปร่างราวกับสายฟ้าโลหะที่เจิดจ้าทรงพลัง กลืนกินยายเฒ่าชุดดำลงไป
“ไม่ตาย?”
จ้าวเฟิงร้องแปลกใจเบาๆ ดวงตาพุ่งเป้าไปยังเงาดำที่กะพริบวูบไหวอยู่กลางอากาศ
ตูม ฟู่! จ้าวเฟิงโคจรสายเลือดเพลิงมารโลหิต ในกายสั่นสะเทือนอยู่ชั่วครู่ ทั่วทั้งร่างสาดแสงเปลวเพลิงร้อนแรงแสบตาออกมา
ฟู่ ฉึก ฉึก!
จ้าวเฟิงม้วนเอาพายุเปลวเพลิงราวกับลูกอัสนีสีโลหิตขึ้นมา ก่อนระเบิดพลังด้วยความเร็วที่ไม่มีอะไรเทียบได้ กดอัดไปยังด้านหน้า
ตูม! ร่างยายเฒ่าระเบิดออกเป็นชิ้นๆ ท่ามกลางกลุ่มอัสนีเพลิงสีเลือด
เหมียว! แสงสีเงินหม่นส่องประกายวูบวาบ แมวขโมยน้อยมาปรากฏตัวอยู่บนบ่าของจ้าวเฟิง แสดงทีท่าราวกับว่าเป็นฝีมือของตนเอง
สี่จักรพรรดิ ดับดิ้น!
จ้าวเฟิงถอนหายใจยาว ที่ตระกูลตวนมู่ เขาถูกกดดันจากผู้คนทั้งหลาย ด้วยเหตุผลมากมาย ทำให้มิอาจลงมือได้ ต้องอดกลั้นความโกรธเอาไว้เสียเต็มท้อง
ในยามนี้ คนวังเก้านิรยพวกนี้อุตส่าวิ่งมาหาเองให้เขาระบายอารมณ์เล่นๆ ช่างรู้ใจเสียจริง
เมื่อจัดการกับทั้งสี่คนนี้เสร็จ จ้าวเฟิงก็ยิ้มบางพลางมองไปไกลๆ “ท่านทั้งสอง การแสดงชุดนี้สนุกหรือไม่?”