Skip to content

King of Gods 919

King Of Gods

บทที่ 919 ข้าก็อยากฆ่าเช่นกัน

“ท่านทั้งสอง การแสดงชุดนี้สนุกหรือไม่?”

จ้าวเฟิงทักทายอย่างอบอุ่น ดังขึ้นในวิญญาณของชายวัยกลางคนทั้งสอง ปลุกให้พวกเขาตื่นจากภวังค์ วิญญาณสะท้านด้วยความหวาดหวั่น

ทั้งสองมองตากัน ก่อนจะหยิบเอายันต์สีเหลืองหม่นออกมาแผ่นหนึ่ง แล้วตีตราพลังวิญญาณลงไป จากนั้น ยันต์แผ่นนั้นก็หลอมรวมกับอากาศแล้วเลือนหายไป

พวกเขาเป็นสมาชิกหน่วยข่าวกรองมากประสบการณ์ เชี่ยวชาญในการพรางกาย การรับรู้สัมผัส และการสะกดรอยตาม ดังนั้นเหตุการณ์การต่อสู้ของจ้าวเฟิงเมื่อครู่ ส่วนใหญ่พวกเขาจึงเข้าใจแล้ว

เพียงแต่คาดไม่ถึงว่าจ้าวเฟิงจะรู้ถึงตัวตนของพวกเขาตั้งแต่แรก

จ้าวเฟิงไล่ล่าไปทางยายเฒ่าผู้นั้นก็เพื่อเข้าใกล้พวกเขา เลี่ยงไม่ให้พวกเขาจับได้ถึงความไม่ชอบมาพากล แล้วหนีไปเสียก่อน

ความสามารถและความชาญฉลาดของจ้าวเฟิงทำให้พวกเขานับถือ ทั้งสองไร้ซึ่งทางหนี ก่อนตายจึงทำได้แค่เพียงส่งข่าวออกไปเท่านั้น

ฟิ้ว! ลำแสงสีทองอ่อนสายหนึ่งทะลุผ่านทุกสรรพสิ่ง สาดแสงไปไกลอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

ชั่วขณะต่อมา กลางอากาศ ยันต์สีเหลืองหม่นแผ่นนั้นก็ปรากฏ ก่อนจะค่อยๆ สลายหายไป

ชายทั้งสองหวาดหวั่นในใจขึ้นอีกครั้ง แววตาทั้งสองข้างไร้ซึ่งความหวัง เมื่อมองไปยังท้องฟ้าก็เห็นคนยักษ์อัสนีเพลิงโลหิตปรากฏขึ้นตรงหน้าแล้ว

ภายใต้พลังมหาศาลที่เข้ากดข่ม ทั้งสองที่แม้แต่จะพูดยังยากลำบากทรุดลงคุกเข่าอยู่บนพื้น และรอการพิพากษา

ดวงตาซ้ายของจ้าวเฟิงจับจ้อง พลังดวงตาวิญญาณที่แข็งแกร่งไหลทะลักออก พุ่งเข้าสะกดวิญญาณของทั้งสองเอาไว้

“สืบวิญญาณ!”

ในดวงตาซ้าย คลื่นพลังวิญญาณชั่วร้ายปรากฏขึ้น ก่อนพุ่งเข้าสู่วิญญาณของคนทั้งสอง

เพียงแค่สองชั่วอึดใจ

จ้าวเฟิงสะบัดมือ พลังเพลิงโลหิตและอัสนีสีชาดพวยพุ่ง ร่างของคนทั้งสองสลายกลายเป็นจุณ

“องค์ชายสิบสาม!”

ดวงตาทั้งสองข้างของจ้าวเฟิงเย็นชา เขารู้เรื่องทั้งหมดแล้วผ่านการสืบวิญญาณ

พรรคพวกขององค์ชายสิบสามแอบส่งข่าวให้กับวังเก้านิรย เพื่อให้วังเก้านิรยเริ่มลงมือก่อน

หนึ่ง เพราะเกรงกลัวศรสังหารเทพในมือของจ้าวเฟิง

สอง เพื่อสืบดูพลังที่แท้จริงของเขา

หากวังเก้านิรยล้มเหลว พวกมันก็จะส่งนักฆ่ามาอีก ทีนี้ก็จะจัดการจ้าวเฟิงได้ง่ายขึ้นมาก

“ที่แท้หยูเฟยก็ยังไม่รู้เรื่องอะไรจริงๆ” ในใจของจ้าวเฟิงยิ่งมั่นใจ แววตาเย็นเยียบเด็ดขาด

กำจัดจ้าวเฟิงทิ้งคือแผนการขององค์ชายสิบสาม

เพียงแค่ตนตายไป ที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของจ้าวหยูเฟยก็พังทลาย ยิ่งเมื่อมีข้อผูกมัดของการหมั้นหมายจากองค์จักรพรรดิ องค์ชายสิบสามก็มีเหตุผลที่จะเกลี้ยกล่อมหยูเฟย จากนั้นจึงค่อยๆ ล่อหลอกให้ได้ใจมา

หากยิ่งเขาชิงตำแหน่งรัชทายาทมาได้ ทั้งหมดก็จะยิ่งง่ายดายขึ้น

“เหอะๆ อยากให้ข้าตาย อยากได้ตำแหน่งรัชทายาท!”

จ้าวเฟิงหัวเราะเสียงเย็น สายตาเหี้ยมโหดเย็นชา ไอสังหารไร้รูปร่างทำให้รอบด้านตกอยู่ในความมืดสลัว

“แต่ว่าวังเก้านิรยและฝ่ายองค์ชายสิบสามคงไม่เลิกราง่ายๆ เพียงแค่นี้!”

แววตาของจ้าวเฟิงเคร่งขรึม ตกอยู่ในภวังค์

องค์ชายสิบสามต้องกำจัดตนทิ้งเพื่อให้ได้จ้าวหยูเฟยไปอย่างแน่นอน อิทธิพลเทียมฟ้าที่อยู่เบื้องหลังเขา จะป้องกันอย่างไรก็ป้องกันได้ไม่หมด นอกจากนั้น วังเก้านิรยกับพวกฝักฝ่ายองค์ชายสิบสามก็ล้วนมีความคิดเหมือนกัน ทว่าวังเก้านิรยถึงกับยอมเสียสละส่งสี่จักพรรดิออกมา เพียงเพื่อจะแลกกับศรสังหารเทพแค่ดอกเดียว

สี่จักรพรรดิพวกนี้ท่าทางคงจะไม่รู้ ผู้นำระดับสูงของวังเก้านิรยไม่ได้หวังว่าพวกเขาจะสังหารจ้าวเฟิงได้ น่าเสียดายที่พวกเขาก็ตายหมดเสียแล้ว เลยไม่มีผู้ใดนำข่าวกลับไปรายงานได้

หลังครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะ จ้าวเฟิงก็ยิ่งแน่ใจในความคิด มุมปากยกขึ้นปรากฏเป็นรอยยิ้ม “หึๆ ท่าทางโชคชะตาคงจะกำหนดไว้แล้ว!”

เนตรเทพเจ้าดวงที่เก้า กับองค์ชายเก้า!

เมื่อตัดสินใจแล้ว จ้าวเฟิงก็บินมุ่งหน้าไปยังเมืองฉางหง

หอโอสถเซียน

องค์ชายเก้ายังคงอยู่ชั้นที่เก้า กำลังพูดคุยอยู่กับโจวซู่เอ๋อร์ จ้าวเฟิงมุ่งหน้าไปหาทันที

“เจ้ามาทำไมอีก?”

น้ำเสียงไม่พอใจของโจวซู่เอ๋อร์ดังออกมาก่อนเป็นอันดับแรก นางจนปัญญาที่จะจัดการกับจ้าวเฟิงแล้วจริงๆ

เด็กหนุ่มผู้นี้ช่างดื้อด้านนัก

จ้าวเฟิงเมินนาง เดินมายังหน้าองค์ชายเก้า พูดออกไปอย่างไม่อ้อมค้อมว่า “องค์ชายเก้า หากคำสัญญาในตอนแรกที่ท่านให้ไว้ยังมีผลละก็ ข้าตกลง!”

องค์ชายเก้าตะลึงงัน ก่อนในใจจะยินดีจนแทบคลั่ง

ตอนที่เจอกับจ้าวเฟิงเขาก็เคยถามไปแล้ว หากแต่จ้าวเฟิงแสดงออกว่าไม่สนใจ

แต่เดิมเขาก็ไม่ได้ตั้งความหวังเอาไว้มาก สองปีครึ่งมานี้ จ้าวเฟิงคงจะคิดรอบคอบดีแล้ว เขากลับไม่คิดไม่ฝันว่าจ้าวเฟิงออกไปเพียงแค่ชั่วครู่ ก็กลับมารับปากตกลงเขาแล้ว ช่างเหมือนกับที่โจวซู่เอ๋อร์ว่าไว้จริงๆ เอาแต่ใจตัวเองเหลือเกิน

นอกจากนั้น จากการที่เขาพูดคุยกับโจวซู่เอ๋อร์ เป็นเพราะคำแนะนำของจ้าวเฟิงก่อนหน้านี้แท้ๆ จึงทำให้มีความคืบหน้าส่วนหนึ่ง

ความมั่นใจขององค์ชายสี่พลันเพิ่มพุ่งพรวด ในใจของเขา จ้าวเฟิงเชี่ยวชาญการโจมตีวิญญาณ สามารถเป็นกำลังหลักในการต่อสู้ อีกทั้งยังเป็นนักฝึกสัตว์ที่ฝีมือโดดเด่น และยังมีมนตราอากาศอาวุธเสริมชิ้นนี้อีก ดังนั้นจ้าวเฟิงจึงมีประโยชน์อย่างมาก

โจวซู่เอ๋อร์ที่อยู่ด้านข้างขมวดคิ้วเล็กน้อย

หลังจากที่จ้าวเฟิงจากไปแล้ว องค์ชายเก้าจึงพูดถึงฐานะของจ้าวเฟิง ทำให้โจวซู่เอ๋อร์ตกใจไปชั่วขณะ

นึกถึงมิติเทพลวงตาและคฤหาสน์ลับเทพบรรพกาล กลุ่มอิทธิพลทั้งหลายล้วนเสียเปรียบภายใต้เงื้อมมือจ้าวเฟิง จนปัญญาที่จะตอบโต้ ในใจของโจวซู่เอ๋อร์ยอมรับมากขึ้น จากนั้นองค์ชายเก้ายังบอกอีกว่าเขาก็ชักชวนจ้าวเฟิงด้วยเช่นกัน จนถึงตอนนี้จ้าวเฟิงก็ยังคงไม่รับปาก แต่ก็ไม่ได้ฝักฝ่ายเข้ากับองค์ชายองค์ใด

โจวซู่เอ๋อร์เองก็เช่นเดียวกัน ก่อนหน้านี้องค์ชายสี่ องค์ชายเจ็ด และองค์ชายแปดล้วนมาหานางเพื่อบอกถึงเจตนารมณ์ อีกทั้งไม่ใช่มาแค่เพียงครั้งเดียว แต่นางก็ปฏิเสธทั้งหมดเช่นกัน

“ทำไมจู่ๆ เจ้าจึงตอบรับเขา?

โจวซู่เอ๋อร์เดินไปข้างหน้า มองดวงตาของจ้าวเฟิง

ระยะเวลาสองปีครึ่ง จ้าวเฟิงไม่ยอมตอบรับองค์ชายเก้า แล้วไยเพิ่งออกไปเพียงชั่วครู่ก็ตอบรับเสียแล้ว

นางสงสัยยิ่งนักว่าระหว่างนั้นเกิดอะไรขึ้น จึงทำให้เขาตัดสินใจเด็ดขาดเช่นนี้

“เพราะว่าข้าอยากจะสังหารองค์ชายสิบสาม!”

จ้าวเฟิงยิ้มบางๆ คำพูดลอยออกมา

องค์ชายสิบสามจองล้างจองผลาญจ้าวเฟิงถึงเพียงนี้ แถมยังทำให้ความสัมพันธ์ของเขากับตระกูลตวนมู่เลวร้ายลง ทำให้ท่านอาจารย์ตวนมู่ชิงที่เป็นคนกลางวางตัวไม่ถูก ทำให้จ้าวหยูเฟยชอกช้ำเป็นกังวล

คนผู้นี้ ให้อภัยไม่ได้เด็ดขาด!

สีหน้าขององค์ชายเก้า ตาเฒ่าอิง และผู้อาวุโสชุดดำที่อยู่หน้าประตูชะงักนิ่ง ลมหายใจสะดุด มองมายังจ้าวเฟิงอย่างมีนัยลึกล้ำ

หากอยู่ข้างนอก ด้วยประโยคที่พูดมาเมื่อสักครู่นี้ จ้าวเฟิงต้องตายตกอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้องค์ชายเก้าจะเป็นพี่ชายขององค์ชายสิบสาม หากแต่มารดาของเหล่าองค์ชาย ส่วนมากแล้วก็ไม่ใช่คนเดียวกัน ระหว่างองค์ชายด้วยกันแสดงออกว่ารักใคร่ปรองดอง แท้จริงแล้วกลับนึกอยากให้อีกฝ่ายตายไปเสียให้รู้แล้วรู้รอด แต่ก็ทำได้เพียงหวังเท่านั้น ระหว่างองค์ชายจะไม่มีทางลงมือกันเองเด็ดขาด ต่อให้เป็นการลอบลงมือก็ไม่กล้า เพราะเพียงแค่ถูกจับได้ ก็จะโดนถอดออกจากสายเลือดเชื้อพระวงศ์ไปตลอดกาล

“เหอะๆ!”

จู่ๆ โจวซู่เอ๋อร์ก็หัวเราะเยาะขึ้น จากนั้นพูดอย่างสบายๆ ว่า “ข้าก็อยากฆ่าเช่นกัน องค์ชายเก้า คำขอร้องของท่าน ข้าตกลง!”

องค์ชายเก้ายังคาดเดาว่าเหตุใดจ้าวเฟิงจึงพูดออกมาเช่นนี้ สุดท้ายโจวซู่เอ๋อร์ก็พูดเช่นนี้ด้วยเหมือนกัน อีกทั้งยังตอบตกลงคำชักชวนของเขา ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเร็วเกินไป ทำเอาเขาไม่อยากจะเชื่อ ได้ยอดฝีมือมาสองคนในชั่วพริบตาเดียว ทำให้เขาพลันรู้สึกว่าทั้งหมดนี้เป็นความดีความชอบขององค์ชายสิบสาม ตนควรจะไปกล่าวขอบใจต่อหน้า

ตาเฒ่าอิงเผยรอยยิ้มยินดีปรีดา แววตาลึกล้ำมองมายังจ้าวเฟิง

ก่อนหน้าที่จะถึงตอนนี้ แต่เดิมองค์ชายเก้าร่วมศึกชิงตำแหน่งรัชทายาท โอกาสชนะแทบจะเรียกได้ว่าเป็นศูนย์ แต่ยามนี้มีความเป็นไปได้รางๆ แล้ว

“นอกจากนั้น สหายน้อยจ้าวเฟิง ตอนนี้เราก็เป็นพวกเดียวกันแล้ว เจ้าบอกข้าได้หรือไม่ว่าเจ้าขจัดพิษได้อย่างไร?”

โจวซู่เอ๋อร์พลันแปรเปลี่ยนอารมณ์ เผยรอยยิ้มน่ารัก มองจ้าวเฟิงด้วยท่าทีราวกับว่าเคยคุ้นกันดี

ผู้คนรอบข้างยิ้มฝืดเฝื่อน

สีหน้าของผู้หญิงพลิกเร็วกว่าหน้าหนังสือจริงๆ

แต่ว่าพวกเขาล้วนแปลกใจเช่นเดียวกัน

“ต่อไปหากมีโอกาส ข้าจะค่อยๆ อธิบายให้ท่านฟัง ในตอนนี้พวกเราเป็นพวกเดียวกันแล้ว วัตถุดิบยาในหอโอสถเซียนควรจะให้เปล่าๆ ใช่หรือไม่?”

จ้าวเฟิงเลี่ยงคำถามของโจวซู่เอ๋อร์ แล้วย้อนถามกลับ

พลังของดวงตาซ้าย พูดออกไปก็ไม่เป็นไร หากแต่หลักการของการ ‘แยกส่วน’ จะเปิดเผยออกไปไม่ได้เด็ดขาด

โจวซู่เอ๋อร์หน้าตึงทันที จริงด้วยสินะ อยากจะเอาเปรียบจ้าวเฟิงเป็นการคิดไกลเกินไปจริงๆ

“ฮ่าๆ!” องค์ชายเก้าหัวเราะอย่างโล่งใจ วันนี้ช่างน่ายินดีจริงๆ

“องค์ชายเก้า ข้าเพิ่งมาถึงแผ่นดินใหญ่ยังไม่มีที่พัก ไม่ทราบว่า…”

จ้าวเฟิงค่อนข้างกระอักกระอ่วน เอ่ยขึ้นอย่างช้าๆ

เขามาหาองค์ชายเก้า เหตุผลหนึ่งก็เพื่อหาที่พักที่ปลอดภัย

“ข้าเข้าใจดี สหายจ้าวไม่สู้ไปยังที่ของข้าก็แล้วกัน ปลอดภัยอย่างแน่นอน เหมาะสำหรับการฝึกบำเพ็ญอีกด้วย!”

องค์ชายเก้าเข้าใจความหมายของจ้าวเฟิงดี และเข้าใจชัดว่าจ้าวเฟิงเป็นพวกหมกมุ่นกับการฝึกบำเพ็ญตน จึงเชิญจ้าวเฟิงไปยังที่ของเขา

“เช่นนั้นก็รบกวนแล้ว!”

จ้าวเฟิงพยักหน้าเล็กน้อย ไม่เกรงใจแม้แต่นิดเดียว ไม่มีที่ใดจะปลอดภัยไปกว่าวังของราชนิกุลอีกแล้ว เช่นนี้ฐานะของเขาไม่ต้องบอกก็เป็นที่รู้กัน ต่อให้เป็นองค์ชายสิบสามและวังเก้านิรยก็ไม่กล้าบุ่มบ่ามลงมือ

“พี่ซู่เอ๋อร์ เช่นนั้นข้าขอตัวก่อน!”

องค์ชายเก้าบอกลาโจวซู่เอ๋อร์ พาจ้าวเฟิงและตาเฒ่าอิงมุ่งตรงไปวังหลวง

“องค์ชายเก้า โจวซู่เอ๋อร์คือองค์หญิงรึ?”

จากการเรียกขานขององค์ชายเก้าต่อโจวซู่เอ๋อร์ จ้าวเฟิงพอเดาได้เลาๆ

“ใช่แล้ว พี่ซู่เอ๋อร์เคยเป็นองค์หญิงที่เสด็จพ่อโปรดปรานที่สุด!”

องค์ชายเก้ายิ้มพูดออกมาตรงๆ

“เช่นนั้นไยถึงจากวังหลวงมา?” จ้าวเฟิงไม่เข้าใจ อีกทั้งโจวซู่เอ๋อร์ องค์จักรพรรดิ และองค์ชายสิบสาม ราวกับว่ามีความแค้นอย่างใหญ่หลวง

“มารดาของโจวซู่เอ๋อร์ แต่ก่อนก็เป็นฮองเฮาเช่นกัน เพียงแต่สิ้นไปแล้ว!”

สีหน้าขององค์ชายเก้าอ่อนโยน ทอดถอนใจเล็กน้อย

ระหว่างองค์ชายไม่มีไมตรีจิตมิตรภาพ แต่กับองค์หญิงนั้นไม่เหมือนกัน ระหว่างพวกนางและเหล่าองค์ชายไม่มีการแย่งชิงผลประโยชน์ใดๆ องค์ชายทั้งหมดถึงขั้นต้องเอาใจองค์หญิง เพราะคู่ครองขององค์หญิงเชื้อพระวงศ์ ในอนาคตต้องเป็นพวกตระกูลใหญ่มีชื่อเสียงแน่

จ้าวเฟิงพยักหน้าเล็กน้อย เข้าใจในทันที

หลังจากที่แม่ของโจวซู่เอ๋อร์จากไป จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์องค์ปัจจุบันก็สมรสใหม่กับหญิงคนหนึ่ง บุตรชายนางก็คือองค์ชายสิบสาม

เป็นเช่นนี้นี่เอง มิน่าเล่า ในตอนนั้นโจวซู่เอ๋อร์จึงพูดออกมาเช่นนั้น

แต่ว่า ถึงจ้าวเฟิงจะเอ่ยไปเช่นนั้น แต่ก็ไม่ลงมือซี้ซั้วบุ่มบ่าม

เบื้องหลังขององค์ชายสิบสามคือจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์และฮองเฮา สัญลักษณ์ของทั้งราชวงศ์ และเบื้องหลังของราชวงศ์ต้าเฉียนก็คือกลุ่มอำนาจสี่ดาว ตำหนักไท่หวง

หากไม่มีแผนที่รอบคอบ เขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ขององค์ชายสิบสามแน่นอน

หลังจากนั้นอีกยี่สิบกว่าวัน! จ้าวเฟิงมาถึงยังตำหนักของเชื้อพระวงศ์

เมื่อเข้าใกล้วังหลวง จ้าวเฟิงรู้สึกถึงพลังมหาศาลไร้ซึ่งรูปร่าง ปกปักทุกสิ่งอย่างในที่แห่งนี้ไว้

เมื่อก้าวเข้าสู่วังหลวง จ้าวเฟิงรู้สึกเหมือนตนเข้าสู่เขตพื้นที่ที่มีกฎเกณฑ์ของผู้อื่น การกระทำทุกอย่างของตนล้วนถูกควบคุมจากพลังลึกลับ

อาณาเขตของวังหลวง นอกจากองค์จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์และผู้มียศพิเศษบางส่วนแล้ว ที่เหลือห้ามโบยบินเป็นอันขาด

จ้าวเฟิงตามองค์ชายเก้าเข้าไปในวังหลวงจากประตูหน้า

“จ้าวเฟิง?”

เสียงที่คุ้นเคยลอยมาต้อนรับ

“พี่แปด!”

ใบหน้าขององค์ชายเก้าเผยรอยยิ้มบางๆ แฝงไว้ด้วยความได้ใจเล็กน้อย ความแข็งแกร่งของจ้าวเฟิง เชื่อว่าองค์ชายแปดและองค์ชายสิบสามล้วนสัมผัสได้เป็นอย่างดี

อีกทั้งองค์ชายแปดรู้จักกับจ้าวเฟิงก่อนที่จะเข้าไปในมิติเทพลวงตาเสียอีก แต่ในยามนี้จ้าวเฟิงกลับเข้ามาเป็นพวกเดียวกับเขา ข้างกายองค์ชายแปดยังมีลั่วจุนเคียงข้างเช่นเดิม

อารมณ์ของทั้งสองคนซับซ้อน มองมายังจ้าวเฟิง

จริงๆ แล้วองค์ชายแปดเสียดายเล็กน้อย หากไม่ใช่เพราะเรื่องลั่วสุ่ยเอ๋อร์

เขาและจ้าวเฟิงคงไม่มีทางเกิดความเข้าใจผิดมากมายขนาดนั้น และยามนี้ผู้ที่ได้จ้าวเฟิงเป็นพวกจะต้องเป็นเขาอย่างแน่นอน

สิ่งที่จ้าวเฟิงแสดงออกมาในมิติเทพลวงตา แม้แต่ซินอู๋เหินบุคคลยอดฝีมือขององค์ชายสี่ก็ยังสู้ไม่ได้

ในยามนี้ จ้าวเฟิงอยู่ในขอบเขตปราณเทวะช่วงปลาย แต่ความสามารถที่แท้จริง เขาไม่กล้าจะประเมิน อีกทั้งดวงตาสีทองราวกับอำพันนั้น ยังทำให้เข้าไม่กล้าสบตาตรงๆ เพราะมันชวนให้วิญญาณสั่นสะท้าน

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!