Skip to content

King of Gods 954

King Of Gods

บทที่ 954 ใจกลาง

จ้าวเฟิงเพิ่งออกจากพื้นที่ต้องห้ามหุบเขาวายุทมิฬ วินาทีต่อมา พลังเซียนชั่วร้ายก็ทะลักออกมาด้วยเช่นกัน

“น่ารังเกียจนัก ในหุบเขาวายุทมิฬกลับไม่มีคน!”

พลังเซียนชั่วร้ายลุกลี้ลุกลนเล็กน้อย สตินึกคิดของมันสับสนวุ่นวาย พลังวิญญาณกึ่งโปร่งแสงของมันตอนนี้ดำมืดไปแล้วมากกว่าเก้าส่วน จนกลายเป็นสิ่งมีชีวิตเหมือนร่างปีศาจลมมืด

“มีคนมาแล้ว!”

พลังเซียนชั่วร้ายเหมือนจับได้ฟางเส้นสุดท้ายของชีวิต ทั่วร่างสั่นสะท้านอย่างตื่นเต้น ไม่สนใจอะไรทั้งนั้น พุ่งทะยานไปทางฝั่งของเงาดำที่ปรากฏขึ้นไกลๆ

“จิ๊ๆ มอบร่างของเจ้ามา…ให้ข้า!”

พลังเซียนชั่วร้ายตรงดิ่งไปหาคนชุดดำที่กำลังโบยบินอยู่

“หืม?” คนชุดดำที่เพิ่งทะยานมาจากไกลๆ ชะงักสีหน้า

นี่มันตัวอะไรกัน?

“เหอะ!” เมื่อรับรู้ถึงเจตนาร้ายของฝ่ายตรงข้าม คนชุดดำแค่นเสียงหยัน ไม่หวาดกลัวแม้แต่น้อย ตรงดิ่งไปยังพลังวิญญาณสีดำกลุ่มนี้

ฟุ่บ! พลังเซียนที่ชั่วร้ายตรงพุ่งทะลุเข้าร่างของคนชุดดำในทันที

โครม! ไม่ถึงเสี้ยววินาที พลังเซียนชั่วร้ายร้องโหยหวน กระเด็นออกมาจากในร่างของคนชุดดำ พลังในร่างกายหลุดลอยออกไปเล็กน้อย

“เจ้า…นี่มันไม่ใช่ร่างของมนุษย์!”

พลังเซียนชั่วร้ายร้องลั่นด้วยความตกใจ

ในวินาทีที่มันพุ่งปะทะเข้าไปหาคนชุดดำ ก็ถูกกลิ่นอายน่ากลัวที่ทรงพลังอย่างที่สุดกระแทกกระเด็นออกไป พลังดังกล่าวแข็งแกร่ง ถึงกระทั่งเหนือกว่าผู้เป็นนายของเขาในช่วงชีวิตก่อน

เสวียนอ้าวกฎเกณฑ์ที่แฝงอยู่ในนั้น เขามองไม่ออกเลยแม้แต่นิดเดียว

“เป็นไปได้อย่างไรกัน? พลัง…ที่แกร่งกล้า…ขนาดนี้!”

สติของพลังเซียนชั่วร้ายพร่าเลือนไป แม้จะพูดยังพูดได้ไม่ชัดเจนนัก

พรึ่บ! ร่างกายของเขามืดมิดไปทั่วร่าง จนกลายเป็นปีศาจลมมืดขนาดมโหฬารตัวหนึ่ง ไอเหี้ยมโหดชั่วร้ายทั่วร่างระเบิดทะลักออกมา

ผลัวะ! ปีศาจลมมืดในขั้นเซียน กลายร่างเป็นคมมีดทมิฬใหญ่ยักษ์พุ่งทะลักไปหาคนชุดดำ

“เนตรเพ่งมรณะ!”

น้ำเสียงเย็นชาดังกึกก้องขึ้นในร่างของคนชุดดำพร้อมๆ กับพลังมรณะที่ทะลวงไปในฟ้าดิน

เสวียนอ้าวมรณะที่ไม่อาจต่อสู้ขัดขืนได้ค่อยๆ แผ่กระจายมาปกคลุมด้านหน้าของคนชุดดำ ในทุกแห่งหนที่แววตาคู่นั้นกวาดผ่าน ฟ้าดินก็มืดสลัวลงไป ต้นไม้ใบหญ้าเหี่ยวแห้ง ทุกสิ่งไร้ซึ่งชีวิต

ปีศาจลมมืดขนาดมโหฬารเบื้องหน้าเขา ถูกพลังต้องห้ามกลุ่มนี้ปกคลุม และกักขังเอาไว้ที่เดิมอย่างรวดเร็ว

ผลัวะ! ปีศาจลมมืดเผยสีหน้าหวาดกลัว กรีดร้องคำราม

มองเห็นเพียงพลังชั่วร้ายเพลิงทมิฬบนร่างปีศาจลมมืดกำลังกระจายตัวออกทีละน้อย

เมื่ออยู่ต่อหน้าเสวียนอ้าวมรณะ พลังชีวิตจะสูญสิ้น สรรพสิ่งทั้งหมดค่อยๆ สูญสลาย นี่คือพลังสูงสุดในฟ้าดินที่ไม่อาจจะขัดขืนต้านทานได้

ตอนนี้สมาชิกหลายคนของกองกำลังคนชุดดำตามมาอย่างรวดเร็ว

ทันใดนั้น เงาดำมรณะปกคลุมบนจิตใจของคนทั้งสาม พลังที่ไม่อาจขัดขืนได้เหมือนช่วงชิงเอาทุกสิ่งในร่างกายของพวกเขาไป

“เสวียนอ้าว…มรณะ!”

“รีบถอย!”

“นี่คือความสามารถของผู้อาวุโสชุดดำงั้นหรือ?”

หลังจากที่สมาชิกทั้งสามถอยร่นไปจึงสูดลมหายใจลึกเข้าปอด เพียงพลังเสวียนอ้าวมรณะที่ตกค้างอยู่เพียงเล็กน้อยของคนชุดดำยังน่ากลัวขนาดนี้ ทำให้พวกเขาต่างไม่กล้าเข้าใกล้ ถึงกระทั่งพวกเขารู้สึกว่าพลังชีวิตในตัวพวกเขาหายไปเล็กน้อย รวมไปถึงอายุขัยของวิญญาณด้วย

พู่ว! จากการอ่อนแอลงของพลังปีศาจลมมืด เงาวิญญาณสลัวรางภายในร่างของปีศาจลมมืดก็ค่อยๆ ถูกกระชากออกมา

“เจ้าคือ…ทายาทของเนตรเทพเจ้า!”

เงาวิญญาณกลุ่มนี้ก็คือพลังเซียนในอดีตนั่นเอง

มันคิดไม่ถึงว่าหลังจากที่ตนเองเปลี่ยนเป็นปีศาจลมมืดแล้ว ยังสามารถฟื้นฟูจิตสำนึกให้กลับมาได้อีกครั้ง แต่ท้ายที่สุดก็หลีกหนีความตายไปไม่พ้น!

เปรี๊ยะ! พลังเซียนกึ่งโปร่งแสงที่อยู่ภายใต้การปกคลุมของเสวียนอ้าวมรณะโรยราและอ่อนแอลง จนถูกดูดซึมเข้าไปในร่างคนชุดดำ ในเวลาเดียวกัน กายเนื้อสีดำกลุ่มหนึ่งด้านหน้าก็กลายเป็นไอเพลิงทมิฬหลอมรวมเข้าไปในอากาศ หลังจากนั้นไม่นาน คนชุดดำมองไปยังพื้นที่ต้องห้ามดุจโลกที่มืดมิดเบื้องหน้า แล้วจึงหมุนตัวจากไป

“ผู้อาวุโสชุดดำ ตอนนี้พวกเราจะไปไหนกัน?”

สมาชิกคนหนึ่งรีบยิ้มถาม

ในที่สุดเขาจึงเข้าใจว่าเหตุใดคนชุดนำถึงกลายมาเป็นผู้นำ

ด้วยความสามารถของคนชุดดำ ต่อให้เป็นเซียนทั่วไปก็ยังมีแต่หนทางตายเท่านั้น

“ไปที่จุดศูนย์กลาง!” คนชุดดำตอบสั้นๆ

หลังจากที่คนทั้งหมดหายไปในพื้นที่ต้องห้ามหุบเขาวายุทมิฬ ไม่มีใครได้ยินเสียงหัวเราะชั่วร้ายที่ดังขึ้นในส่วนลึกที่สุดของพื้นที่ต้องห้ามนี้

“ฮ่าๆ ไม่เสียแรงที่ข้าใช้พลังดั้งเดิมสองส่วนไป เลือดเนื้อชั้นต่ำเหล่านี้ก็น่าเพียงพอแล้ว…”

……

“จ้าวเฟิงมาแล้ว!”

องค์ชายเก้าและพวกที่กำลังโบยบินอยู่มองเห็นสายวายุอัสนีสีชาดกลุ่มหนึ่งด้านหลัง จึงหยุดเดินทาง

“ไม่เป็นอะไรก็ดี!” สีหน้าของตาเฒ่าอิงกระดากอายอยู่เล็กน้อย

ในฐานะที่เป็นผู้นำ สุดท้ายแล้วกลับปล่อยให้จ้าวเฟิงจัดการพลังเซียนชั่วร้าย ส่วนตนเองหนีเอาชีวิตรอดไปก่อน ดีที่จ้าวเฟิงกลับมาอย่างปลอดภัย

“พวกเราหาที่ปลอดภัยเพื่อปรึกษาหาวิธีช่วยจิงข่ายกันก่อนเถอะ!”

สีหน้าของตาเฒ่าอิงเคร่งขรึมลงไป ถึงแม้ว่าความสามารถของจิงข่ายจะไม่เท่าไหร่นัก แต่อย่างไรเสียเขาก็เป็นกำลังรบหลักในกองกำลัง ไม่อาจสูญเสียไปเช่นนี้

ผ่านไปไม่นานเท่าไหร่นัก ทุกคนก็มาถึงใต้ผาแห่งหนึ่ง

พรึ่บ! ตาเฒ่าอิงปล่อยจิงข่ายออกมาจากโลกมิติส่วนตัวของเขา

จิงข่ายในขณะนี้ ร่างกายดำมืดไปทั่วร่าง กลิ่นอายเพลิงทมิฬที่ไร้รูปร่างค่อยๆ แผ่กระจายออก

“ถูกไอเพลิงทมิฬกัดกร่อน แล้วยังโดนพลังวิญญาณที่แข็งแกร่งส่งผลกระทบต่อจิตใจด้วย!”

โจวซู่เอ๋อร์ปรายตามองไม่นานก็สามารถวินิจฉัยได้

จ้าวเฟิงชะงักไปเล็กน้อย อีกฝ่ายมองไม่กี่ครั้งก็สามารถวิเคราะห์ออกมาได้ วิชาการรักษาไม่ธรรมดาเลยจริงๆ หากเปลี่ยนเป็นจ้าวเฟิง อย่างน้อยจำเป็นต้องใช้พลังวิญญาณสำรวจรอบหนึ่ง หรือไม่ก็ใช้พลังของดวงตาซ้ายเสียก่อน

“น่าจะเป็นประมาณที่ท่านบอก ท่านพอจะมีวิธีการรักษาหรือไม่!”

ตาเฒ่าอิงผงกศีรษะเล็กน้อย เขาเองก็เข้าใจในวิชาแพทย์ของโจวซู่เอ๋อร์อยู่ไม่น้อย

“ไอเพลิงทมิฬสามารถรักษาและกำจัดออกไปได้ แต่ในดวงวิญญาณของเขายังมีพลังวิญญาณที่ลึกลับหลงเหลืออยู่ ยากที่จะกำจัดออกได้!”

โจวซู่เอ๋อร์ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงให้คำตอบ

ในเวลานี้ จิงข่ายก็ได้สติขึ้นมา ลืมตาสองข้างขึ้นอย่างมึนงง

“อา ตาเฒ่าอิง? พวกเราออกมาแล้ว”

จิงข่ายลุกนั่งอย่างรวดเร็ว และมองไปรอบๆ ตัว

“เฮ้อ เสียดายที่สถานที่ที่ซ่อนสมบัติมีปีศาจเฝ้าอยู่!”

จิงข่ายยังคงโหยหาสมบัติในหุบเขาวายุทมิฬไม่เสื่อมคลาย

ทุกคนมองไปที่จิงข่ายอย่างจนด้วยคำพูด ใกล้จะตายคาหุบเขาวายุทมิฬอยู่แล้ว สุดท้ายก็ยังเอาแต่คิดถึงสมบัติพวกนั้น หนำซ้ำตาเฒ่าอิงและจ้าวเฟิงเสี่ยงชีวิตช่วยเขาออกมา แต่กระทั่งคำขอบคุณสักคำก็ยังไม่มี

“อีกอย่าง นิสัยของเขาเปลี่ยนแปลงไปมาก ต่อให้พลังวิญญาณลึกลับที่เหลือเพียงเศษเสี้ยวนั้นถูกกำจัดออกไป ก็ยังไม่สามารถเปลี่ยนเขาให้กลับไปเป็นจิงข่ายคนเดิมคนนั้น!”

โจวซู่เอ๋อร์มองไปที่จิงข่าย พลางเอ่ยสำทับอีกประโยคหนึ่ง

“โจวซู่เอ๋อร์ เจ้าว่าอะไรข้านะ?” สีหน้าอารมณ์ของจิงข่ายเปลี่ยนแปลงทันที แววตาบึ้งตึง

บรรยากาศรอบตัวตกอยู่ในความเงียบสงัด

“โจวซู่เอ๋อร์ ท่านกำจัดไอเพลิงทมิฬในร่างของเขาออกไปก่อนเถอะ!”

ตาเฒ่าอิงเอ่ยทำลายความเงียบ มองจิงข่ายที่เป็นคนแปลกหน้าไปแล้ว

“อืม กำจัดพลังวิญญาณและไอเพลิงทมิฬออกไปก่อน แล้วค่อยหาวิธีอื่น!”

โจวซู่เอ๋อร์เห็นด้วยกับความคิดของตาเฒ่าอิง

ขจัดพลังวิญญาณอีกกลุ่มหนึ่งและไอเพลิงทมิฬในร่างจิงข่ายออกไปก่อน ถ้าหากจิงข่ายเปลี่ยนแปลงไป เช่นนั้นแปลว่ายังพอมีหนทางช่วยเหลือได้

“จิงข่าย ไม่เป็นไร ให้โจวซู่เอ๋อร์กำจัดไอเพลิงทมิฬในร่างเจ้าออกไปก่อน!”

ตาเฒ่าอิงโน้มน้าว

“ได้ ข้าเองก็รู้สึกว่าร่างกายค่อนข้างผิดปกติ!”

ตาเฒ่าอิงยังพอมีอิทธิพลอยู่ในใจของจิงข่าย ถึงแม้ว่าจะพูดเช่นนี้ จิงข่ายก็ยังคงรู้สึกหวาดระแวง จึงระวังตัวจากโจวซู่เอ๋อร์

“ตาเฒ่าอิง ที่พื้นที่ต้องห้ามหุบเขาวายุทมิฬเกิดอะไรขึ้นกันแน่? เข้าไปทั้งหมดสี่กลุ่ม แต่มีเพียงพวกเจ้าที่ออกมา!”

องค์ชายเก้าเก็บความสงสัยในใจเอาไว้ไม่ไหว

“เรื่องนี้ข้าเองก็ไม่รู้แน่ชัดนัก พื้นที่ต้องห้ามใดๆ ในสุสานราชวงศ์ ทั้งหมดเป็นสถานที่อันตรายซึ่งยังไม่ได้สำรวจให้แน่ชัด แม้กระทั่งราชวงศ์ในยุคต้น อย่างไรเสียที่นี่ก็เป็นมิติเก่าแก่ที่หลงเหลือจากบรรพกาล!”

ตาเฒ่าอิงเอ่ยตอบอย่างเคร่งเครียด จากนั้นจึงถอนหายใจอีกครั้ง “ส่วนคนอื่นที่เหลือน่าจะใช้ค่ายกลใน ’หยกมังกรคุ้มกัน’ หนีไปเแล้ว!”

องค์ชายเก้าตกตะลึง รับรู้ได้ถึงภัยอันตรายในพื้นที่ต้องห้ามหุบเขาวายุทมิฬ

นอกเหนือจากตาเฒ่าอิงและจ้าวเฟิงแล้ว คนอื่นต่างใช้ค่ายกลหนีออกมาหรือไม่ก็ตายอยู่ข้างใน

“ทว่าในครั้งนี้พวกเราได้ประโยชน์ค่อนข้างมาก มีโลกมิติมรดกสองแห่งถูกทำลายลงไป ไม่มีการทดสอบ หนำซ้ำยังเก็บเกี่ยวเอาพลังชะตามังกรและทรัพยากรของเซียนมาได้ด้วย!”

ตาเฒ่าอิงจงใจเปลี่ยนเรื่อง ต่อมา ตาเฒ่าอิงและจ้าวเฟิงจึงถ่าย ‘พลังชะตามังกร’ ทั้งหมดเข้าไปใน ‘ตรารัชทายาทจำลอง’ องค์ชายเก้า แต่ ‘พลังชะตามังกร’ ในหยกมังกรคุ้มกันของตาเฒ่าอิงกลับไม่ถึงครึ่งของจ้าวเฟิงทั้งๆ ที่ไปพื้นที่ต้องห้ามหุบเขาวายุทมิฬด้วยกัน

“จ้าวเฟิง เจ้าไม่ได้ใช้พลัง ‘พลังชะตามังกร’ ปกป้องตนเองเลยหรือ?”

ตาเฒ่าอิงตกตะลึง

ในขณะที่เพิ่งเข้าไปในมิติแห่งนี้ ทุกคนต่างใช้ ‘พลังชะตามังกร’ เพื่อผ่อนแรงกดดันของมิติ จนเวลาผ่านไปทุกคนจึงค่อยๆ คุ้นเคยกับสภาพแวดล้อม

ด้วยเหตุนี้จึงสิ้นเปลืองพลังชะตามังกรลดน้อยลงไป

เมื่อถูกใช้ปกป้องสารพัด คุ้มกันตนเอง สกัดกั้นการรุกโจมตีของเสวียนอ้าวพลังที่แกร่งกล้ามากมาย ตัวอย่างเช่นลมมืด

ในพื้นที่ต้องห้ามหุบเขาวายุทมิฬ เขาแทบไม่มีเวลาไหนเลยที่ไม่ใช้ ‘พลังชะตามังกร’ ไปเพื่อปกป้องตนเอง และต้านทานเสวียนอ้าวต่างๆ แต่ก็ยังคงโดนกัดกร่อนจากไอเพลิงทมิฬอยู่เล็กน้อย ทว่าตั้งแต่เริ่มต้นจนสุดท้าย จ้าวเฟิงไม่ได้ใช้ ‘พลังชะตามังกร’ ไป แถมยังสามารถประคองสติเอาไว้ได้!

“ต่อไปพวกเราเดินทางไปยังใจกลางของสุสานราชวงศ์กันเถอะ!”

ตอนนี้มีจ้าวเฟิงเข้าร่วมด้วย ทำให้ตาเฒ่าอิงรู้สึกอุ่นใจในระดับหนึ่ง

อีกทั้งการรักษาจิงข่ายก็ยังต้องใช้โจวซู่เอ๋อร์อยู่

“จ้าวเฟิง ต่อไปหวังว่าเจ้าจะมองเห็นความสำคัญของทรัพยากรในมรดกน้อยลงหน่อย และพยายามช่วยองค์ชายเก้าอย่างสุดความสามารถแทน!”

ตาเฒ่าอิงมองด้วยแววตาจริงใจ

“อืม!” จ้าวเฟิงตกปากรับคำง่ายๆ เขาช่วงชิงทรัพยากรล้ำค่ามาจากมรดกสองแห่งในหุบเขาวายุทมิฬ และยังได้จากใต้ดินของหุบเขาอีก ผลเก็บเกี่ยวของเขามากเพียงพอแล้ว ต่อจากนี้ นอกเหนือจากเจอสิ่งของที่จำเป็นกับเขาแล้ว ของพวกทรัพยากรของเซียนชั้นแรกเริ่มหรือชั้นต้น จ้าวเฟิงก็ไม่มีทางใยดี

“สหายจ้าวช่วยเหลือข้าอย่างเต็มความสามารถแล้ว!”

องค์ชายเก้ารีบเอ่ยยิ้มๆ

‘พลังชะตามังกร’ ที่จ้าวเฟิงมอบให้เขาทั้งสองครั้ง แทบจะมากที่สุดในบรรดาคนอื่นแล้ว

“ดี พวกเราอยู่ห่างจากใจกลางสุสานราชวงศ์เอาการอยู่ ในระหว่างนี้พวกเราก็ช่วยจ้าวเฟิงฝึกสัตว์อสูรให้มากหน่อยแล้วกัน!”

ตาเฒ่าอิงประกาศสิ่งสำคัญในการเดินทางต่อไป

ยึดเอาการเดินทางเป็นหลัก การฝึกสัตว์เป็นสิ่งรองลงมา

การพิชิตมรดกต้องใช้เวลาถึงจะได้พลังชะตามังกร แต่การฝึกสัตว์อสูรสามารถเพิ่มกำลังขององค์ชาย ในเวลาเดียวกันก็ยังได้พลังชะตามังกรจำนวนเล็กน้อยอีกด้วย

การเดินทางเป็นระยะเวลาห้าวัน จ้าวเฟิงก็ได้ฝูงสัตว์อสูรที่แกร่งกล้าสองฝูง

ในเวลาเดียวกัน ไอเพลิงทมิฬในวิญญาณของจิงข่ายก็ถูกกำจัดไปจนหมดแล้ว

พลังวิญญาณลึกลับที่ซุกซ่อนในดวงวิญญาณอยู่ลึกเกินไปและยังแข็งแกร่ง โจวซู่เอ๋อร์จึงยังทำอะไรไม่ได้ในตอนนี้ แต่ยามนี้ นิสัยของจิงข่ายก็ยังไม่เป็นมิตรมากขึ้นเท่าไหร่

“หากเป็นเช่นนี้ต่อไป จิงข่ายจะกลายเป็นภาระในกองกำลังของพวกเรา!”

ตาเฒ่าอิงกังวลอยู่เล็กน้อย

“ในตอนนี้เขาไม่เชื่อพวกเราอีกแล้ว คิดว่าเราพยายามจะยึดทรัพยากรในครอบครองของเขา!”

ทุกคนส่งกระแสจิตคุยกันเพื่อหลีกเลี่ยงจิงข่าย

“ไม่สู้มอบเขาให้กับข้า!” จู่ๆ เสียงของจ้าวเฟิงก็ดังขึ้น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!