Skip to content

Library Of Heaven’s Path 102

ตอนที่ 102 ไปให้สุดขอบโลก

“โอ้… ในที่สุดก็สำเร็จ!”

จางเซวียนไล่พลิกหนังสือมาตั้งแต่บ่าย จนตอนนี้จะสี่ทุ่มแล้ว เขาถอนใจเฮือกใหญ่อย่างโล่งอกที่ภารกิจลุล่วงไปได้

มีหนังสือทุกประเภทอยู่ในหอสมุด และทุกเล่มพูดถึงการปรุงยา

แม้วิชาของเขาจะแก่กล้าขึ้นอย่างพรวดพราด แต่การต้องพลิกหนังสือจำนวนมหาศาลก็ทำให้จางเซวียนเหนื่อยล้าทีเดียว

หลังจากพลิกดูหนังสือทั้งหมดแล้ว จางเซวียนก็แน่ใจว่าไม่มีเล่มไหนที่พูดถึงสภาวะพิเศษ ไม่มีคำตอบสำหรับคำถามของเขา

นั่นแปลว่าเขาจะต้องเป็นนักปรุงยา เพื่อจะได้เปิดดูหนังสือขั้นสูงและก้าวไปถึงเป้าหมายของตัวเองให้ได้

“ความรู้พวกนี้จะต้องเพียงพอต่อการเข้าสอบปรุงยาแน่ๆ”

แม้สมาพันธ์นักปรุงยาของอาณาจักรเทียนเซวียนจะเป็นเพียงสาขาเล็กๆ แต่ก็มีสำนักงานใหญ่บิ๊กเบิ้มหนุนหลังอยู่ ซึ่งหมายความว่าถึงแม้ดินแดนจะล่มสลายไป แต่สมาพันธ์ก็จะไม่ล่ม ตลอดหลายศตวรรษที่ผ่านมา หรืออาจจะถึงพันปีก็ได้ ที่แม้แต่หนังสือขั้นพื้นฐานก็ยังบรรจุความรู้มากมายไว้ในนั้น

ต่อให้นักปรุงยาตัวจริงก็ไม่อาจจะอ่านหนังสือเหล่านี้จบทุกเล่ม ไม่อาจซึมซับความรู้ทั้งหมดเอาไว้ได้ แต่จางเซวียนทำได้

ด้วยความรู้มหาศาลขนาดนี้ ในอาณาจักรเทียนเซวียน ถ้าเขาจะตั้งตัวเป็นปรมาจารย์ผู้มีความรู้เป็นที่สองในด้านการปรุงยา ก็จะไม่มีใครหน้าไหนกล้าบอกว่าตัวเองเป็นที่หนึ่งแล้ว

แต่นั่นก็แค่ในทางทฤษฎี ถ้าเขาพยายามจริงจัง ต่อให้ไม่มีเรื่องการปรุงยามันก็ยังยากอยู่ดี

“เราต้องไปหาอะไรกินหน่อยแล้ว”

จางเซวียนปลอบท้องไส้ที่กำลังประท้วง เขายืดตัวตรงและสาวเท้าออกจากหอสมุด

หลังจากกินอาหารเช้า เขาทบทวนบทเรียน ทำแบบทดสอบความประสงค์ และเข้าสอบเป็นศิษย์ของนักปรุงยา… หลังจากที่วุ่นวายมาตลอดทั้งวัน ท้องไส้ของเขาก็เริ่มคำรามประท้วงอย่างดุเดือดตั้งแต่หลายชั่วโมงที่แล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะเขามีวิชาแก่กล้าขึ้นมากล่ะก็ คงอดทนไม่ได้นานขนาดนี้แน่

หนังสือขั้นพื้นฐานสำหรับศิษย์ของนักปรุงยานั้นอยู่ในห้องโถงซึ่งใช้เป็นสถานที่ทดสอบ จางเซวียนเดินออกมา เห็นโอวหยางเฉิงกับตู้หม่านนั่งอยู่ข้างใน ทั้งคู่ถือพู่กันไว้ในมือ ดูเหมือนกำลังจดบางสิ่งลงในกระดาษอย่างรีบร้อน ความงุนงง ความยุ่งยากใจ ความสับสน และความรู้สึกของคนที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกระคนกันอยู่ในสีหน้าของทั้งคู่

“พวกคุณทำอะไรกัน”

เมื่อเห็นนักปรุงยาทั้งสองคนอยู่ในสภาพนั้น จางเซวียนก็เดินเข้าไปหาด้วยความอยากรู้

“เอ่อ…”

ทั้งคู่พยายามจะค้นหาว่าจางเซวียนทำอะไร พอเห็นเขาเดินเข้ามา ต่างก็ผงะและรีบใช้มือปิดป้องกระดาษบนโต๊ะเป็นพัลวัน

จางเซวียนก้มหน้าลงมอง เห็นคำสองสามคำ

จับตาดูความเคลื่อนไหวของเขาจากการพลิกหน้าหนังสือในหอสมุด

ข้อ 1: สร้างภาพ (30 โหวต)

ข้อ 2: เบื่อหน่าย (1 โหวต)

ข้อ 3: หาข้อมูลในหนังสือ (1 โหวต)’

หลังอ่านจบสองสามบรรทัดแรก จางเซวียนจึงครุ่นคิด

นี่มันเกี่ยวกับเรารึเปล่า

เพราะก่อนหน้านี้ เขาเป็นคนเดียวที่มาพลิกหนังสือในหอสมุด

มันต้องเกี่ยวกับเราแน่… ว่าแต่ไอ้คะแนนโหวตบ้าบอนี่คืออะไร แล้วอีกอย่าง ทำไม ‘สร้างภาพ’ ถึงมาเป็นข้อแรก แล้วจำนวนโหวตก็…

“แค่กๆ พวกเราแค่สงสัยเรื่องที่คุณมาพลิกหนังสือในหอสมุดนี่ เราไม่ได้ทำอะไรนะ แค่แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน…”

โอวหยางเฉิงยอมข่มความอับอายและเปิดเผยความจริง ตัวเขาได้ชื่อว่าเป็นนักปรุงยาที่ละเอียดถี่ถ้วนและแสนเข้มงวด แค่นึกภาพเขาหมกตัวอยู่ในห้องกับนักปรุงยาอีกคนเพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเรื่องพฤติกรรมการพลิกหนังสือของศิษย์ของนักปรุงยาคนหนึ่ง แถมยังเปิดโหวตอีกต่างหาก… คงไม่มีใครยอมเชื่อแน่ ต่อให้เรื่องนี้แพร่งพรายออกไปก็เถอะ

“ผมมองหาหนังสืออยู่เล่มหนึ่ง…แต่หาไม่เจอ ก็เลยไล่พลิกดูมันทุกเล่ม”

จางเซวียนตอบแบบไม่ยินดียินร้าย

เขาไม่อาจเปิดเผยความลับเรื่องหอสมุดเทียบฟ้าได้ แต่พฤติกรรมการพลิกหนังสือของเขาก็ออกจะพิลึกพิลั่นจริงๆ นั่นแหละ ช่วยไม่ได้ที่ใครต่อใครพากันสงสัย เห็นทีต่อไปเขาต้องระมัดระวังมากกว่านี้

แต่ก็เอาเถอะ เขาแค่พลิกหนังสือ ถึงคนอื่นจะสงสัยว่าเขาทำแบบนั้นทำไม แต่ไม่มีใครจับต้นชนปลายได้แน่ มันเป็นไปไม่ได้ที่คนพวกนั้นจะระแคะระคายถึงหอสมุดขนาดมหึมาในหัวของเขา

“ตอบง่ายอะไรอย่างนั้น”

โอวหยางเฉิงกับตู้หม่านทำหน้าเหมือนคนท้องผูกเมื่อได้ฟังคำตอบ ทั้งคู่ถึงกับยอมอดข้าวเพื่อถกเรื่องนี้กันตลอดทั้งเย็น ต่างก็คิดว่าการกระทำนี้ต้องมีเงื่อนงำ นึกไม่ถึงว่าคำตอบจะง่ายขนาดนี้

“แล้วมันจะเป็นอะไรได้อีกล่ะ” จางเซวียนถาม

ตราบใดที่ไม่หมิ่นเหม่ต่อการเปิดเผยความจริงเรื่องหอสมุดเทียบฟ้า เขาก็โกหกได้โดยไม่รู้สึกผิดอะไรทั้งนั้น

“เอ่อ… ก็ตามนั้นแหละ”

โอวหยางเฉิงส่ายหัวอย่างหมดปัญญา หลังจากที่วิเคราะห์ คุ้ยแคะแกะเกามาตลอดทั้งบ่าย เขาไม่ได้คาดหวังจะได้รับคำตอบง่ายๆ แบบนี้ ดังนั้น สิ่งเดียวที่ทำได้เพื่อขจัดความกระอักกระอ่วนก็คือการเปลี่ยนเรื่องคุย “ผมแจ้งข่าว ‘วิวาทะกับเหล่านักปรุงยา’ ให้กับนักปรุงยาทั้งสิบท่านแล้ว พรุ่งนี้พวกเขาจะมาที่นี่ เตรียมตัวให้พร้อมด้วยล่ะ พรุ่งนี้บ่ายนะ”

“เยี่ยมเลย!” จางเซวียนพยักหน้า และหลังจากถามคำถามเกี่ยวกับ ‘วิวาทะกับเหล่านักปรุงยา’ อีกสองสามคำ เขาก็อำลา

คล้อยหลังออกจากห้อง เขาได้ยินเสียงตู้หม่านดังขึ้น

“คุณแพ้แล้ว จ่ายผมมาเลย”

“ผมแพ้ แต่คุณก็ไม่ได้ชนะเสียหน่อย คุณเดิมพันไว้ที่สร้างภาพต่างหาก…” โอวหยางเฉิงพูดอย่างไม่สบอารมณ์

จางเซวียนชะงัก

พวกคุณเป็นนักปรุงยาที่ใครๆ ก็นับถือ เอาอย่างนี้เลยหรือ พนันกันเรื่องผมเนี่ยนะ หนักกว่าเดิมอีก สร้างภาพ? พวกคุณคิดว่าผมสร้างภาพ!

ด้วยหัวอันหนักอึ้ง จางเซวียนเดินตรงไปยังทางออกของสมาพันธ์นักปรุงยา และเห็นจ้าวหย่ากับพวก

“ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่” จางเซวียนมองเธออย่างสงสัย

ที่นี่สมาพันธ์นักปรุงยานะ ไม่ใช่โรงเรียน จ้าวหย่าจำทางไปโรงเรียนผิดหรือ

“อาจารย์จาง ขอบคุณท่านมาก!”

ทันทีที่เห็นจางเซวียน จ้าวหย่าก็ทรุดตัวลงคุกเข่ากับพื้นอย่างเก็บกลั้นความรู้สึกไม่ได้อีกต่อไป ดวงตาของเธอเปี่ยมไปด้วยความสำนึกในบุญคุณ

“ลุกขึ้น ลุกขึ้นเถอะ มาขอบคุณผมเรื่องอะไรกัน” จางเซวียนขมวดคิ้ว

จ้าวหย่าเป็นอะไรไป มาคุกเข่าต่อหน้าเรา หรือว่า…เธอหายจาก ‘อาการป่วย’ แล้ว

เขาเอ่ยถาม “คุณกินหญ้าพญาตะวันหิมะแล้วหรือยัง ได้ผลเป็นยังไงบ้าง”

หลังจากได้ยินชื่อ ‘หญ้าพญาตะวันหิมะ’ เหยาฮั่นซึ่งคิดมาตลอดว่าจางเซวียนไม่รู้อะไรเกี่ยวกับสมุนไพรเลย ถึงกับตัวสั่น

เขารู้เรื่องสมุนไพร งั้นก็ต้องรู้สรรพคุณของมันด้วยน่ะสิ!

การมอบสมุนไพรล้ำค่าให้กับลูกศิษย์แบบง่ายๆ และการเอาตัวเข้าเสี่ยงกับการทดสอบปรุงยาเพื่อปลุกสภาวะพิเศษของลูกศิษย์ให้ฟื้นขึ้นมา…

ไม่ต้องพูดถึงการสอนของจางเซวียนหรอก เท่าที่เขาทำนี่ก็ควรค่าแก่การยกย่องแล้ว

“อาจารย์จาง ผมขอโทษที่เคยไร้มารยาทกับคุณ และไม่เชื่อในน้ำใจของคุณ โปรดยกโทษให้ผมด้วย” เหยาฮั่นก้าวออกมาและก้มศีรษะขอโทษ กิริยาของเขาช่างน่าขัน

อาจารย์ที่มีความรับผิดชอบขนาดนี้จะสอนไม่ดีได้อย่างไร ข่าวลือพวกนั้นเป็นเรื่องโกหกทั้งเพ

“เอ่อ คุณ…”

หลังจากเห็นทีท่าของทั้งสองคน จางเซวียนก็ได้แต่กะพริบตาปริบๆ

ใครช่วยบอกทีเถอะว่ามันเกิดอะไรขึ้น เราก็แค่สอบผ่านได้เป็นศิษย์ของนักปรุงยา ทำไมทั้งคู่ออกอาการพิลึกพิลั่นขนาดนี้

แต่ไม่นาน จางเซวียนก็เริ่มเข้าใจสถานการณ์

อันที่จริง เหตุผลที่เขามาที่นี่ไม่ใช่เพียงเพื่อปลุกสภาวะพิเศษของจ้าวหย่าให้ใช้การได้ แต่เพื่อหยวนเทามากกว่า เขาไม่อยากทำอะไรที่ชักจูงให้เธอมาแสดงความสำนึกบุญคุณเลย

แต่เอาเถอะ หลังจากที่พิจารณาสถานการณ์แล้ว จางเซวียนก็เข้าใจได้ว่าในมุมมองของคนทั่วไป การเข้าประลองวิวาทะกับเหล่านักปรุงยามีโอกาสพ่ายแพ้สูงมาก มันเสี่ยงโคตรๆ และเมื่อเขาตัดสินใจลุย ก็แน่นอนว่าคนเหล่านี้จะต้องเห็นเขาเป็นอาจารย์ผู้กล้าฝ่าฟันทุกอุปสรรคเพื่อลูกศิษย์ของตัวเอง

ลำพังแค่ความซาบซึ้งนี้อย่างเดียวก็ประเมินค่ามิได้แล้ว!

หลังจากกระจ่างกับเรื่องทั้งหมด จางเซวียนก็อับจนถ้อยคำ

การกระทำของเขาทำให้จ้าวหย่าสะเทือนใจ แต่ในขณะเดียวกัน การกระทำของคนอื่นๆ ก็ทำให้เขาสะเทือนใจเช่นกัน ที่ผ่านมา เขาดูแลลูกศิษย์เพียงเพื่อไม่ให้ตัวเองถูกไล่ออก แต่ตอนนี้ เขาเข้าใจความจริงพื้นๆ ข้อหนึ่งแล้วว่าทุกคนก็มีหัวใจ พวกเขาจะปฏิบัติต่อคุณเหมือนที่คุณปฏิบัติต่อพวกเขา

ความใฝ่รู้และความสำนึกในบุญคุณที่เด็กๆ มีให้จางเซวียน ทำให้เขาเข้าใจถึงความรับผิดชอบของอาจารย์ และภาระหนักอึ้งที่บรรดาอาจารย์ต้องแบกรับไว้

“อย่าห่วงเลย ในฐานะลูกศิษย์ของผม ผมจะเป็นบันไดพาพวกคุณทุกคนทะยานไปให้ถึงสุดขอบโลก ไปให้ถึงจุดสูงสุดที่พวกคุณต้องการให้ได้!” จางเซวียนกำหมัดแน่นขณะเอ่ยคำปฏิญาณออกมา ตอนนี้เขาแปรสภาพจากนักทะลุมิติมาเป็นอาจารย์อย่างสมบูรณ์แล้ว

บูม!

ชั่วขณะที่ความคิดนั้นปรากฏ ที่จุดสูงสุดของหอสมุดเทียบฟ้า มีเสียงดังกึกก้อง หนังสือสีทองเล่มหนึ่งก่อตัวเป็นรูปร่าง แต่จางเซวียนยังไม่รับรู้ถึงสิ่งนั้น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!