ตอนที่ 108 เมิ่งเหยียน
“อะไรนะ?”
“พวกเราเป็นนักปรุงยาอาวุโส ส่วนคุณเป็นแค่มือใหม่ บังอาจพูดว่าตัวเองชี้จุดบกพร่องของเราได้เนี่ยนะ?”
“คุณจะกร่างขนาดนี้ไปเพื่ออะไรกัน นักปรุงยาอย่างเรามีวิธีการที่เป็นภูมิความรู้มากมาย เอาเป็นว่าตัดเรื่องชี้จุดบกพร่องของเราออกไปก่อนได้เลย ถ้าคุณสามารถระบุวิธีการที่เราใช้ปรุงยาได้ล่ะก็ เราจะถือว่าคุณชนะ!”
หลังจากฟังจางเซวียนพูด ทุกคนก็ปรี๊ดแตกอีกรอบ
เด็กเมื่อวานซืนคนหนึ่งบังอาจอวดอ้างว่าตัวเองรู้แจ้งแทงตลอดวิธีการปรุงยา รวมถึงชี้ข้อบกพร่องได้ เพียงแค่ได้เห็นการปรุงยาซึ่งๆหน้าเนี่ยนะเหรอ?
“หมอนี่เสียสติหรือเปล่า?”
อีกฟากหนึ่ง โอวหยางเฉิงกับเหวินเซวี่ยนั่งไม่ติด
โดยทั่วไป คำถามที่ถูกนำมาใช้ในวิวาทะกับเหล่านักปรุงยาจะเป็นคำถามที่มีความเชื่อมโยงกัน ถ้าผู้เข้าประลองมีความรู้ความเชี่ยวชาญเรื่องการปรุงยา ก็ถือว่าสมเหตุสมผลดี ว่าแต่ นี่จะมาระบุวิธีการปรุงยาและชี้ข้อบกพร่องเหรอ?
การปรุงยานั้นเหมือนกับการเขียนหนังสือ มีลายมือหนึ่งหมื่นแบบที่แตกต่างกันไปสำหรับคนหนึ่งหมื่นคน แม้แต่ยาตัวเดียวกันก็มีอย่างน้อยหนึ่งพันวิธีในการปรุง ขั้นตอนต่างๆในแต่ละกระบวนการนั้นซับซ้อนและประณีตจนความผิดแผกแตกต่างเพียงนิดเดียวอาจทำให้กลายเป็นการปรุงยาอีกวิธีการหนึ่งไป
ยิ่งไปกว่านั้น การปรุงยาแต่ละวิธียังเป็นกระบวนการที่ถ่ายทอดกันรุ่นสู่รุ่น แลกมาด้วยหยดเลือด หยาดเหงื่อ และน้ำตามหาศาลของผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วนที่พยายามไม่รู้กี่ครั้งกี่หนเพื่อให้ได้วิธีการที่สมบูรณ์แบบ
มันอาจจะไม่สมบูรณ์แบบไปเสียทั้งหมดก็จริง แต่อย่างน้อย นักปรุงยาเหล่านั้นก็ทำมันทุกวัน และยังไม่เคยพบข้อผิดพลาดใดๆ
ต่อให้นักปรุงยาระดับ 3 ดาวมาอยู่ตรงนี้ ก็ยากที่จะชี้ข้อบกพร่องได้
นี่ไม่ใช่แค่การเพิ่มระดับความยากแล้ว แต่เป็นการพลิกกฎเกณฑ์ทั้งหมด เรียกได้ว่ายากแบบทะลุฟ้าสะเทือนสวรรค์!
ถ้าความรู้ระดับศิษย์นักปรุงยาเทียบเท่ากับการบวกลบเลขสามหลัก สิ่งที่จางเซวียนเสนอนั้นก็เทียบได้กับข้อสันนิษฐานของโกลด์บาค[1]เลยทีเดียว
ไม่ใช่แค่ความยากเพิ่มขึ้น แต่มันพุ่งไปถึงระดับที่ไม่มีใครคาดถึง
น้องชาย แน่ใจนะว่าไม่ได้พูดเล่น?
เหวินเซวี่ยมองจางเซวียนอย่างสะพรึงเหมือนเห็นผี
เมื่อวานนี้เขายังไม่รู้เลยว่าต้องอ่านหนังสือเล่มไหนเพื่อเตรียมสอบเป็นศิษย์นักปรุงยา แถมไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าหนังสือพวกนั้นมีอยู่ในหอสมุดของสมาคมนักปรุงยาหรือไม่ แต่มาวันนี้กลับกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญ สร้างความตะลึงพรึงเพริดให้คนที่นี่
ถ้าเธอไม่ได้เห็นอย่างใกล้ชิดกับตาล่ะก็ จะต้องคิดว่าเขามีบุคลิกภาพแปรปรวนเป็นแน่
แต่ถึงแม้คนเราจะเปลี่ยนแปลงได้อยู่ตลอดเวลา ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะเปลี่ยนกันขนานใหญ่เช่นนี้ภายในวันเดียว ต่อให้จางเซวียนอยากสร้างภาพ ก็ไม่เห็นจะต้องเล่นใหญ่ขนาดนี้
“ทำไมล่ะ? พวกคุณไม่ตกลงเหรอ กลัวจะอับอายขายหน้าถ้าผมชี้ข้อบกพร่องของคุณได้ หรือบอกวิธีปรุงยาของคุณได้งั้นสิ”
จางเซวียนหัวเราะหึๆ ไม่แคร์ทุกสายตาจับจ้อง เขาได้ใคร่ครวญมาเป็นอย่างดี และพบวิธีเอาชนะการประลองวิวาทะกับเหล่านักปรุงยาแล้ว
ต่อให้อ่านหนังสือที่มีในหอสมุดสมาคมนักปรุงยาจนจบทุกเล่ม ก็ได้แค่ความรู้ระดับพื้นฐาน แต่ในที่นี้มีนักปรุงยาตั้งหลายคน ซึ่งก็คาดเดาได้ยากว่าคนเหล่านี้มีความสามารถเหนือชั้นกว่าหนังสือพวกนั้นหรือไม่ พวกเขาอาจตั้งคำถามที่เกินไปจากสิ่งที่เขียนไว้ในหนังสือก็ได้ ซึ่งถ้าเขาตอบผิดหรือไม่ได้ ก็เป็นอันจบเห่ทันที!
นี่ล่ะคือประเด็น เขาต้องหาวิธีไม่ให้เกิดปัญหาแบบนั้น
ในมุมมองของคนทั่วไป การระบุวิธีปรุงยาและการชี้ข้อบกพร่องระหว่างที่เฝ้าสังเกตกระบวนการปรุงยานั้นยากกว่าการเข้าประลองวิวาทะกับเหล่านักปรุงยามาก แต่จางเซวียนมีหอสมุดเทียบฟ้าอยู่ในหัว ซึ่งสามารถชี้จุดอ่อนหรือข้อบกพร่องของใครต่อใครให้เขาเห็นอย่างง่ายดาย เรื่องที่แทบจะเป็นไปไม่ได้สำหรับคนทั่วไปจึงกลายเป็นเรื่องพื้นๆสำหรับเขา แค่อ่านตามสิ่งที่หอสมุดเทียบฟ้าบอกเท่านั้น
กรรมวิธีปรุงยาของนักปรุงยาก็เทียบได้กับการแสดงกระบวนท่าของวรยุทธ หอสมุดเทียบฟ้าจะประมวลผลข้อมูลออกมาเมื่อได้เห็น
จางเซวียนตั้งใจทำตัวก้าวร้าวสามหาวเพื่อให้คนเหล่านั้นเดือดดาล หลังจากที่ดูถูกดูหมิ่นเขาไปแล้ว ทุกคนจะต้องเห็นตรงกันว่าเขาเย่อหยิ่งจองหอง เอาน่ะ ขอแค่คนพวกนี้ยอมเปลี่ยนวิธีการทดสอบเท่านั้นแหละ…
ฮ่าฮ่า ตกลงซะทีสิ ทุกอย่างจะเป็นของกล้วยๆทันที พวกคุณตายหมดแน่นอน เชื่อเหอะ!
“ในเมื่อรนหาที่นัก เราจัดให้!”
“อวดเก่งอยู่นั่นแหละ เดี๋ยวได้ขี้มูกโป่งแน่!”
ตามนั้นแหละ บรรดานักปรุงยาปรี๊ดแตกกันอีกรอบ ทุกคนพยายามจะขุดโคตรเหง้าสิบแปดชั่วคนและวงศาคณาญาติของจางเซวียนขึ้นมา
ช่างน่าอับอายอะไรเยี่ยงนี้!
วิญญาณนักสู้ของนักปรุงยาทั้งสิบคนฟื้นคืนชีพ เรียกได้ว่าแทบจะกระทืบเขาให้จมดิน
“ในเมื่อพวกคุณทุกคนดูเห็นพ้องต้องกันดี ก็เริ่มเถอะ” จางเซวียนหัวเราะหึๆหลังจากที่เห็นแล้วว่าเรื่องนี้จุดติด เขามองโอวหยางเฉิงที่ยืนอยู่ตรงกลางห้อง “ท่านประธาน เราเริ่มกันได้รึยัง?”
“เอ่อ…ได้สิ!”
โอวหยางเฉิงไม่คาดคิดว่ากะอีแค่วิวาทะกับเหล่านักปรุงยาจะลามมาได้ถึงขั้นนี้ เขาหงุดหงิดและอับจนหนทาง แต่ก็ไม่มีทางเลือกนอกจากต้องไปต่อ
“เอาล่ะ ผมขอถามว่านักปรุงยาท่านไหนจะเป็นคนแรก ผมเต็มใจจะให้คำแนะนำฟรีๆเลย” จางเซวียนสะบัดแขนเสื้ออย่างวางโต
ใบหน้าของคนเหล่านั้นแดงก่ำด้วยความเดือดดาล
“ทนดูเจ้านี่ไม่ไหวแล้ว ขอสั่งสอนมันหน่อยเถอะ!”
ในที่สุดนักปรุงยาคนหนึ่งก็ยืนขึ้น เขาอายุประมาณสี่สิบกลางๆ ใบหน้าออกเป็นสีเทา และดวงตาสว่างเรืองเหมือนโคม มองปราดเดียวก็รู้ว่าไม่สบอารมณ์นัก
“นักปรุงยา เมิ่งเหยียน!”
“เขาอาจจะอารมณ์ร้าย แต่เป็นนักปรุงยาระดับ 1 ดาวขั้นต้นนะ เขาปรุงยามาแล้วหลายขนาน ไม่ใช่คนที่ใครๆจะประมาทได้!”
“ลูกศิษย์ลูกหาของเขาก็มีชื่อเสียง แถมเขายังมีสารพัดกรรมวิธีปรุงยา เหมาะสมที่สุดแล้วล่ะที่จะเป็นคนแรก”
นักปรุงยาที่เหลือต่างพยักหน้าอย่างเห็นพ้องต้องกันเมื่อเห็นชายวัยกลางคนก้าวออกมา
ในกลุ่มนักปรุงยาระดับ 1 ดาว จะมีพวกฝีมือพื้นๆได้อย่างไร เมิ่งเหยียน คนนี้อาจไม่ได้เก่งที่สุดในกลุ่ม แต่ทักษะของเขาก็ไม่ใช่พวกหางแถว แล้วจะได้เห็นกันว่าไอ้หนุ่มจองหองนั่นทำได้แค่ไหน
“ไอ้หนุ่ม ฉันจะเริ่มปรุงยาล่ะนะ ถ้าเธอระบุวิธีการและชี้ข้อบกพร่องไม่ได้ล่ะก็ เตรียมตัวรับโทษได้เลย!”
เมิ่งเหยียนเดินไปยังหม้อต้มยาด้วยสีหน้าเย้ยหยัน เขาหยิบสมุนไพรสองสามอย่างจากชั้นวางที่อยู่ข้างๆ แล้วรวบรวมพลังปราณโหมเปลวไฟใต้หม้อต้มยาให้กระพือแรงขึ้นอีก
พรึ่บ!
เปลวไฟลุกโพลวอย่างเกรี้ยวกราด และมีเสียงระฆังก้องออกมาจากหม้อต้มยา ราวกับว่ามันเป็นระฆังยักษ์
หึหึ!
สมุนไพรต้นแล้วต้นเล่าถูกโยนลงไปในหม้อต้มยา ด้วยความร้อนสูงขนาดนั้น ทำให้มีกลิ่นเฉพาะตัวของยาอบอวลคละคลุ้งไปทั่ว
‘เนี่ยเหรอ การปรุงยา?’ จางเซวียนเคยอ่านหนังสือเกี่ยวกับการปรุงยามาแล้ว แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นการปรุงยาจริงๆ ‘มหัศจรรย์เหลือเกิน!’ เขาอดประทับใจไม่ได้
เขาไม่เป็นสองรองใครในเชิงวรยุทธ แต่ไอ้การที่ได้เห็นคนอื่นโยนสมุนไพรลงหม้อต้มยาอย่างสบายอกสบายใจโดยไม่มีความลังเลสักนิด และการได้เห็นสมุนไพรทุกต้นถูกจัดวางไว้ในสภาวะที่เหมาะสมที่สุดต่อการปลดปล่อยคุณสมบัติทางยาของมันออกมา ช่างเป็นสิ่งที่เหนือความคาดหมาย
สิ่งนี้ต้องการการฝึกฝนอย่างต่อเนื่องยาวนาน เขาอาจจะปราดเปรื่องในทฤษฎี แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาจะปฏิบัติได้ดีไปด้วย
หลังจากพิจารณาอยู่ชั่วครู่และประมวลความรู้เบื้องต้นจากคลังหนังสือในหอสมุดแล้ว ไม่ช้าจางเซวียนก็ตระหนักว่า
เขาแยกแยะอะไรไม่ออกเลย!
เขาไม่รู้ว่านักปรุงยาใช้วิธีการปรุงยาแบบไหน แถมหาข้อบกพร่องก็ไม่เจอ
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทุกสายตากำลังจับจ้องที่เขา คิดว่าเขาเป็นบ้าที่ร้องขออย่างนั้น แม้แต่ประธานโอวหยางซึ่งเก่งกาจที่สุดในกลุ่ม ก็ยังระบุวิธีการไม่ได้และกำลังมีสีหน้าสับสนงุนงง แล้วศิษย์นักปรุงยาจะไปเห็นอะไร?
“ข้อบกพร่อง!”
หลังจากแน่ใจว่าความรู้ทั้งหมดช่วยอะไรไม่ได้ จางเซวียนก็ไม่รีรอ เขาจดจ่อกับการประมวลผล
“บึ้ม!”
ด้วยเสียงระเบิดกึกก้อง หอสมุดเทียบฟ้าสั่นสะเทือนและหนังสือเล่มหนึ่งปรากฏขึ้นในหัว สิ่งที่เขียนไว้ข้างในคือวิธีการปรุงยาของเมิ่งเหยียน และข้อบกพร่องทั้งหมด
“นี่มัน…” จางเซวียนมีสีหน้าอัศจรรย์ใจเมื่ออ่านจบ
—————————————————————–
[1] ข้อสันนิษฐานของโกลด์บาค (Goldbach Conjecture) เป็นหนึ่งในปัญหาที่ยังแก้ไม่ได้ที่เก่าแก่ที่สุดในทฤษฎีจำนวน และในคณิตศาสตร์ ซึ่งกล่าวว่า ทุกจำนวนคู่ที่มากกว่า 2 สามารถเขียนอยู่ในรูปผลบวกของจำนวนเฉพาะ 2 จำนวนได้ และจำนวนคี่ที่มากกว่า 7 เขียนอยู่ในรูปการบวกกันของจำนวนเฉพาะที่เป็นจำนวนคี่สามจำนวนได้