ตอนที่ 118 พี่ไม่ได้มาเล่นๆ
“ผมยอมแพ้!”
หลังจากประกาศว่าจะไม่ปรุงยาอีกต่อไป นักปรุงยาไป๋หมิงก็ก้มศีรษะคำนับ
จางเซวียนอย่างนอบน้อม
วิวาทะกับเหล่านักปรุงยาเริ่มต้นมาได้สองชั่วโมงกว่าๆ และมีนักปรุงยายอมแพ้ไปแล้วสี่คน
เป็นเรื่องผิดคาดสำหรับทุกคนที่เกี่ยวข้อง แม้แต่โอวหยางเฉิงยังไม่อยากจะเชื่อ
เขาไม่ได้หวังอะไรในตัวจางเซวียนมากนัก และไม่เคยคิดว่ามันจะลงเอยแบบนี้!
มันช่างขาดลอย!
ไม่สงสัยเลยว่าเหตุใดจึงได้คะแนนเต็มในการสอบศิษย์นักปรุงยา ทั้งยังรู้ว่าสมุนไพรชนิดไหนที่ผิด ความสามารถของจางเซวียนน่าประทับใจยิ่งนัก
อีกฟากหนึ่ง เหวินเซวี่ยตาเบิกโพลงด้วยความกลัว ตัวสั่นไม่หยุด แค่คิดว่าตัวเองเคยแดกดันเยาะเย้ยบุคคลที่สามารถทำให้นักปรุงยาเหล่านี้ถึงกับอึ้ง…ไม่รู้ว่าผีห่าซาตานตัวไหนดลใจเธอหรือเธอบ้าดีเดือดไปเอง โชคเที่เขาไม่มีทีท่าอยากจะเอาคืน ไม่อย่างนั้น เธออาจถูกไล่ออกจากสมาคมนักปรุงยาก็เป็นได้!
“ผมจะเป็นคนต่อไปเอง!”
หลังจากเห็นความพ่ายแพ้ของไป๋หมิงและความเงียบงันที่เกาะกุมทุกคน ตู้หม่านก้าวออกมา
“ออมมือให้ผมด้วย!”
ตู้หม่านฝืนยิ้มและเดินตรงไปที่หม้อต้มยา
ยาที่เขาปรุงเป็นยาเกรด 1 เช่นกัน แต่อยู่ในระดับต่ำกว่ายาคลายจุดชีพจรและยาสงบใจเล็กน้อย
การเคลื่อนไหวของเขาว่องไวลื่นไหล ไม่นานก็ปรุงยาได้สำเร็จ อยู่ในขั้นอิ่มตัว
ตู้หม่านมีความเป็นมิตร อีกทั้งเมื่อวานทั้งคู่ก็ได้ทำความคุ้นเคยกัน ด้วยเหตุนี้จางเซวียนจึงไม่พูดอะไรมากนัก เขาชี้ข้อบกพร่องที่เห็นได้ชัดสองสามข้อ และตู้หม่านก็ยอมรับความพ่ายแพ้
ณ เวลานี้ จากนักปรุงยาทั้งหมดสิบคน ห้าคนยอมแพ้แล้ว
ถือว่าวิวาทะกับเหล่านักปรุงยาเดินมาถึงครึ่งทาง
“ต่อเถอะ ใครจะเป็นคนต่อไป?”
จางเซวียนสองมือไพล่หลัง พินิจพิเคราะห์ฝูงชนอย่างสุขุมเยือกเย็น ความเงียบเข้าครอบงำอีกครั้ง
ในการประลองวิวาทะกับเหล่านักปรุงยาของศิษย์นักปรุงยาคนอื่นๆ ผู้เข้าทดสอบมักจะมองคณะกรรมการอย่างพรั่นพรึง กลัวว่าอีกฝ่ายจะตั้งใจโยนคำถามยากๆให้ แต่ครั้งนี้ตรงกันข้าม นักปรุงยาที่เหลือมีสีหน้าหวาดหวั่น กลัวว่าจะได้ยินเสียงเรียกชื่อตัวเอง ถ้าไม่ได้เห็นกับตา จะต้องไม่มีใครเชื่อเป็นแน่
“ผมไปเอง!”
เงียบกันไปอีกครู่หนึ่ง แล้วผู้อาวุโสก็ยืนขึ้น
นักปรุงยาหลินมู่!
คนที่นักปรุงยาเฉิงเจียงเคยขอชมทักษะของเขา เพื่อจะแอบลอกเลียนวิธีปรุงยาอย่างลับๆ [มือพันด้ายน้ำแข็งล
“นักปรุงยาหลิน ได้โปรดช้าก่อน ผมอยากประลองร่วมกับคุณ!”
หลังจากหลินมู่ยืนขึ้น นักปรุงยาวัยกลางคนก็ลุกตาม
นักปรุงยาจินเฉิง!
“ประลองด้วยกันรึ?” หลินมู่ขมวดคิ้ว
คนสองคนจะปรุงยาพร้อมกัน แล้วให้อีกฝ่ายชี้ข้อบกพร่องหรือ?
“ความจริงที่ว่าเขามองเห็นข้อบกพร่องของเราอย่างทะลุปรุโปร่งนั้นแสดงถึงทักษะการหยั่งรู้ที่น่าทึ่ง และบ่งบอกว่าเขาได้ร่ำเรียนมาอย่างดี ก็เป็นไปได้ว่าอาจมีปรมาจารย์สักคนคอยชี้แนะ แต่ผมก็ไม่เชื่อว่าความรู้ที่เขามีในหัวจะเจ๋งเหมือนทักษะการหยั่งรู้ของเขา โดยเฉพาะเมื่อดูจากอายุ เพราะฉะนั้น…ทำไมเราไม่ตั้งคำถามแทนการปรุงยาล่ะ อย่าให้เขาปั่นหัวเราได้อีก!”
นักปรุงยาจินเฉิงร่ายยาว
“เอ่อ…” หลินมู่อึ้งไป
“จริงด้วย ทำไมผมคิดไม่ได้นะ?”
“เขายังอายุไม่เต็มยี่สิบเลย ต่อให้อ่านหนังสือออกตั้งแต่เกิด ก็จะอ่านได้ซักกี่เล่มกัน? แล้วจะจำได้แค่ไหนเชียว?”
“วิวาทะกับเหล่านักปรุงยาของจริงน่ะมีการตั้งคำถามเกี่ยวกับการปรุงยาให้ผู้เข้าทดสอบตอบด้วยนะ เขาคงรู้อยู่แก่ใจว่าตัวเองมีความรู้ไม่มากพอ เลยจงใจเพิ่มระดับความยากด้วยการชี้ข้อบกพร่องในการปรุงยาแทน มันยากขึ้นก็จริง แต่ถ้าเขามีปรมาจารย์ชี้แนะและได้ร่ำเรียนมาอย่างดี มันก็ไม่ยากหรอกที่จะชี้ข้อบกพร่องของพวกเรา!”
“ถูกต้อง ปรมาจารย์น่ะรอบรู้ ในขณะที่พวกเราเป็นแค่นักปรุงยาระดับ 1 ดาว เพราะอย่างนี้ ทักษะการหยั่งรู้ของเขาจึงแสนจะน่าทึ่ง ก็เข้าใจได้อยู่นะว่าทำไมถึงเห็นข้อบกพร่องทั้งหมดได้!”
คำพูดของนักปรุงยาจินเฉิงจุดประกายให้นักปรุงยาสี่คนที่เหลือ พวกเขาเกิดความมั่นใจขึ้นมาอีกครั้ง
การที่อีกฝ่ายมองทะลุข้อบกพร่องทั้งหมดได้จากการสังเกตวิธีปรุงยา หมายถึงทักษะการหยั่งรู้อันโดดเด่น ไม่ได้หมายความว่าเขาเป็นผู้รอบรู้ ดังนั้น การตั้งคำถามอาจเป็นจุดอ่อนของเขาก็ได้ ที่ผ่านมาไอ้หนุ่มนี่จูงจมูกพวกเขามาตลอด
“ถูกต้อง!”
หลินมู่ถึงบางอ้อและพยักหน้าอย่างกระตือรือร้น
ทุกคนเห็นด้วยกับจินเฉิงอย่างไร้ข้อกังขา การสั่งสมความรู้นั้นต้องใช้ทั้งเวลาและความพากเพียร จางเซวียนคนนี้ มองอย่างไรก็อายุไม่น่าจะเกินยี่สิบ ต่อให้อ่านหนังสือทุกวันก็เถอะ เขาจะอ่านได้กี่เล่มกัน? แล้วยังต้องจำให้ได้ด้วย!
“คุณจะตั้งคำถามกับผมแทนใช่ไหม?”
ไม่คิดว่าจะลงเอยแบบนี้ จางเซวียนยิ้มอ่อนเป็นการตอบรับ
“ได้ งั้นเริ่มเลย!”
หลังจากอ่านหนังสือขั้นต้นและหนังสือทั้งหมดในหอสมุดอาจารย์มาแล้ว ความรู้ของเขาคงจะมากกว่านักปรุงยาทุกคนในที่นี้ ต่อให้คนพวกนี้อยากทดสอบความรู้ของเขา ก็ไม่มีอะไรจะต้องกลัว
“จะคอยดูว่าหลังจากเพลี่ยงพล้ำให้ผมแล้วน่ะ จะยังมั่นหน้าไหวไหม!”
นัยน์ตาของนักปรุงยาจินเฉิงส่องประกายเย็นชาเมื่อเห็นอีกฝ่ายหนึ่งไม่ยี่หระ “ตามกฎของวิวาทะกับเหล่านักปรุงยาโดยทั่วไป ผมถามได้สามคำถาม ถ้าคุณตอบได้ทุกข้อ ผมต้องยอมแพ้! แต่ถ้าคุณตอบผิดแม้แต่ข้อเดียว…จะถือว่าสอบตก ที่ทำสำเร็จมาก่อนหน้านี้ถือเป็นโมฆะ!”
วิวาทะกับเหล่านักปรุงยามีกฎเกณฑ์ที่ชัดเจน นักปรุงยาทั้งสิบคนไม่ได้รับอนุญาตให้ถามคำถามตามอำเภอใจ มิเช่นนั้นผู้เข้าประลองคงจะอยากผูกคอตาย พวกเขาจะตั้งคำถามได้คนละสามข้อเท่านั้น ถ้าอีกฝ่ายหนึ่งตอบถูก ก็จะต้องยอมแพ้ แต่ถ้าอีกฝ่ายหนึ่งตอบไม่ได้หรือตอบผิด ก็เป็นอันล้มเหลว ไม่ว่าจะตอบถูกมาแล้วกี่ข้อก็ตาม
“ตามนั้น” จางเซวียนรู้กฎเกณฑ์เป็นอย่างดีเช่นกัน เขาพยักหน้ารับ
“เอาล่ะ นี่คือคำถามแรกของผม เวลาที่ปรุงยาเกรด 1 – ยาปรับอุณหภูมิร่างกาย แม้เม็ดยาจะออกมาจากหม้อปรุงใบเดียวกัน มีคุณภาพระดับเดียวกัน แต่ก็เป็นไปได้ที่เม็ดหนึ่งจะมีฤทธิ์แรง ในขณะที่อีกเม็ดมีฤทธิ์อ่อน เรื่องนี้มีเหตุผลอะไรอยู่เบื้องหลัง?” นักปรุงยาจินเฉิงถาม
บรรดานักปรุงยาต่างสนอกสนใจเมื่อได้ยินคำถาม
ยาปรับอุณหภูมิร่างกายเป็นยาที่ใช้กันมากในหมู่นักรบขั้น 4 มันช่วยปรับอุณหภูมิร่างกาย ให้นักรบสามารถฝึกฝนวิชาขั้นผีกู่ได้อย่างคล่องแคล่ว
นี่คือเหตุผลที่พวกเขาปรุงยาขนานนี้กันอยู่บ่อยๆ แต่ก็เป็นอย่างที่นักปรุงยาจินเฉิงพูด บ่อยครั้งที่ยาแต่ละเม็ดมีฤทธิ์ไม่เท่ากันทั้งที่ออกมาจากหม้อใบเดียวกัน ในกลุ่มนักรบที่กินยาจากหม้อใบเดียวกัน บางคนได้ยาฤทธิ์แรง ก็ไปได้ไกลในวิชาขั้นผีกู่ ในขณะที่บางคนพบว่ายาไม่ได้ช่วยอะไรพวกเขาเลย
“นักปรุงยาจินเฉิงตั้งคำถามยากเหลือเกิน!” จางเซวียนส่ายหน้า “ทั้งอาณาจักรเทียนเซวียน ไม่มีคำตอบที่ชัดเจนสำหรับคำถามนี้หรอก ที่คุณถามนี่ คาดหวังให้ผมตอบแบบไหนกัน?”
“แต่เอาเถอะ…คนอื่นอาจไม่รู้จะตอบอะไร แต่ผมมีวิธีของผม”
จางเซวียนยิ้มนิดๆแล้วพูด “จากที่คุณถาม นักปรุงยาชื่อเฉิงเหย่เคยตั้งคำถามนี้มาแล้วเมื่อสามสิบเจ็ดปีก่อน ตอนนั้น เขารวบรวมพลพรรคนักปรุงยาได้ยี่สิบสามคน และทำการศึกษาค้นคว้าตลอดสามวัน เขาบันทึกข้อสรุปที่ได้จากการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นลงในหนังสือชื่อ [ทฤษฎีการปรับอุณหภูมิร่างกายของเฉิงเหย่] ถ้าคุณได้อ่าน ก็จะรู้ว่าข้อสรุปของเขาคืออะไร”
“เขาคิดว่าเหตุผลที่ยาออกฤทธิ์ต่างกันนั้นเป็นเพราะสภาพร่างกายของนักรบ บางคนเกิดมามีร่างกายที่เข้ากันได้ดีกับยาปรับอุณหภูมิร่างกาย ในขณะที่ร่างกายของบางคนต่อต้าน เหมือนกับบางคนที่เมาช้า ในขณะที่คนอื่นไม่เป็นเช่นนั้น”
“จากนั้นมาก็มีผู้คนจำนวนมากให้การรับรองทฤษฎีดังกล่าว แต่ถึงกระนั้น เมื่อ 8 ปีที่แล้ว นักปรุงยาระดับ 3 ดาวชื่อจางเจียน ได้ค้นพบบางสิ่งที่ขัดแย้งกับทฤษฎีนี้ กล่าวคือ ถ้าเป็นเหตุจากสภาพร่างกายของนักรบ แล้วทำไมบางคนถึงเห็นผลในการกินยาครั้งที่สอง ในขณะที่ครั้งแรกไม่เห็นผลเช่นนั้น?”