ตอนที่ 1298 ความลำบากใจของนักปราชญ์ขุย
ด้วยเปลวเพลิงที่แผดเผาอยู่ในดวงตา ผู้ฝึกฝนวิชาดวงตาสวรรค์แห่งเก้าพื้นดินเบื้องล่างนั้นจะพบว่าการรับรู้ที่มีต่อสีต่างๆ จะค่อยๆ ลดประสิทธิภาพลงตามเวลาที่ผ่านไป และสุดท้ายโลกทั้งโลกของเขาก็จะมีเพียงสีดำและสีขาว
ด้วยธรรมชาติของโรค มันเป็นอาการที่ไม่อาจเยียวยาได้ ไม่มีวิธีรักษา
สิ่งนี้ไม่ได้ระบุไว้ในข้อบกพร่องที่หอสมุดเทียบฟ้าเรียบเรียงให้ แต่ด้วยความรู้ความเข้าใจอันล้ำลึกของจางเซวียนที่มีต่อเรื่องวรยุทธและวิธีการรักษาโรค เขาก็สามารถสันนิษฐานความเป็นไปข้อนี้ได้
“ตาบอดสี? มันคืออะไร?” นักปราชญ์ขุยงงงันกับถ้อยคำที่ไม่คุ้นหู
เขาไม่เคยได้ยินคำนี้จากใครมาก่อน
“คุณไม่รู้หรือว่ามันคืออะไร?” จางเซวียนชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะคิดได้
เพราะความแตกต่างกันของโลก 2 ใบ จึงเป็นไปได้ที่อาการตาบอดสีนั้นจะไม่ใช่ของธรรมดาในโลกใบนี้
ดังนั้น เขาจึงคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจว่าจะอธิบายคำนี้อย่างไร “ตาบอดสีหมายถึงการขาดความสามารถในการแยกแยะสีต่างๆ ดูอย่างชุดของผม คุณเห็นมันเป็นสีอะไร?”
“สีเทา” นักปราชญ์ขุยตอบ
“อันที่จริงมันเป็นสีฟ้าอ่อน ไม่ใช่สีเทา” จางเซวียนตอบพร้อมกับส่ายหัว
“ฟ้าอ่อนหรือ?” นักปราชญ์ขุยขมวดคิ้ว
สีฟ้าอ่อนเป็นแบบนี้หรืออย่างไร? ทำไมดูไม่เห็นจะใช่เลย?
“ให้ผมถามคุณอีกคำถามนะ รุ้งมีกี่สี?”
ขณะที่พูด จางเซวียนก็วาดมือเป็นเส้นโค้งและสร้างสะพานรุ้ง 7 สีขึ้นกลางอากาศ
“ผมบอกได้ 2-3 สี แต่ดูเหมือนจะไม่ได้มี 7 สีอย่างที่คุณสร้างขึ้นมา อีกอย่าง สีส่วนใหญ่ก็อยู่ในโทนเดียวกัน ผมจึงบอกไม่ได้แน่ชัด” หลังจากจับจ้องที่สายรุ้งอย่างตั้งใจ นักปราชญ์ขุยก็รู้สึกถึงความตกตะลึงที่เข้าจับหัวใจของเขา
เขาได้เห็นรุ้งมามากมายเมื่อครั้งยังอายุยังน้อย และแยกแยะสีทั้ง 7 สีได้อย่างถูกต้อง แต่ตอนนี้เขามองเห็นเพียง 3 สีเท่านั้น อีกทั้งความแตกต่างระหว่างสีก็คลุมเครือมาก หรือว่าเขาจะมีอาการตาบอดสีอย่างที่อีกฝ่ายพูดจริงๆ ?
นี่เป็นผลข้างเคียงจากการฝึกฝนเคล็ดวิชาดวงตาสวรรค์แห่งเก้าพื้นดินเบื้องล่างที่ท่านอาจารย์ของเขาทิ้งไว้ให้หรือ?
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เขามีศรัทธาอย่างมั่นคงไม่คลอนแคลนต่อศาสตร์แห่งดวงตาหยั่งรู้ที่ท่านอาจารย์ของเขารังสรรค์ขึ้น แต่เมื่อเจอเข้ากับการหว่านล้อมและการวิเคราะห์อย่างมีเหตุมีผลของชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้า เขาก็อดที่จะแคลงใจไม่ได้
“แล้วมีวิธีแก้ปัญหานี้หรือเปล่า?” นักปราชญ์ขุยถาม
“สำหรับตอนนี้ ผมทำได้แค่วิเคราะห์ข้อบกพร่องของศาสตร์แห่งดวงตาหยั่งรู้เท่านั้น ยังไม่พบวิธีแก้ไขเลยจริงๆ” จางเซวียนส่ายหน้า
เพราะหอสมุดเทียบฟ้าทำได้แค่ระบุข้อบกพร่องของเทคนิคนั้นออกมา และจางเซวียนก็ยังไม่เคยสัมผัสใกล้ชิดกับหนังสือเรื่องศาสตร์แห่งดวงตาหยั่งรู้มาก่อน จึงไม่อาจประมวลสิ่งใดเข้ากับเคล็ดวิชาดวงตาสวรรค์แห่งเก้าพื้นดินเบื้องล่างเพื่อจะปรับปรุงมันให้สมบูรณ์แบบได้
“เอาเถอะ แต่ในเมื่อเราพบปัญหาแล้ว ไม่ช้าไม่นานก็คงจะพบวิธีแก้ไข!”
ขอแค่จางเซวียนมีหนังสือเกี่ยวกับศาสตร์แห่งดวงตาหยั่งรู้มากพอที่จะนำมาปรับปรุงเคล็ดวิชาดวงตาสวรรค์แห่งเก้าพื้นดินเบื้องล่างให้สมบูรณ์แบบ ปัญหาเหล่านั้นก็จะได้รับการแก้ไข
ก่อนหน้านี้ มีข้อบกพร่องมากมายอยู่ในเคล็ดวิชาฝ่ามือปีศาจสวรรค์โทมนัสของนักปราชญ์โบราณชิวอู๋ และเทคนิควรยุทธนั้นอาจส่งผลให้ผู้ฝึกฝนมีอาการตาบอดเช่นกัน แต่เมื่อได้ประมวลมันเข้ากับเทคนิควรยุทธอีกมากมาย เขาก็แก้ปัญหานั้นได้
“หวังให้เป็นอย่างนั้นก็แล้วกัน” นักปราชญ์ขุยพยักหน้า “ถ้าอย่างนั้น คุณจะยังฝึกฝนเคล็ดวิชาดวงตาสวรรค์แห่งเก้าพื้นดินเบื้องล่างอยู่หรือเปล่า?”
นักปราชญ์ขุยรู้ดีว่าดวงตาหยั่งรู้นั้นทรงพลังแค่ไหน และมันก็คงจะน่าเสียดายหากต้องบอดไปเพราะผลจากการฝึกฝนศาสตร์แห่งดวงตาหยั่งรู้
“ผมคิดว่าผมจะระงับการฝึกฝนเทคนิคนี้ไว้ก่อน แต่จะพยายามหาทางแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นให้ได้ก่อนจะฝึกฝนมัน”
แม้จะมีข้อบกพร่อง แต่เคล็ดวิชาดวงตาสวรรค์แห่งเก้าพื้นดินเบื้องล่างก็ยังเป็นเทคนิคการต่อสู้ที่ไร้เทียมทานมาก เขาจะต้องหาวิธีเข้าถึงหนังสือเกี่ยวกับศาสตร์แห่งดวงตาหยั่งรู้เพื่อนำมาประมวลเข้าด้วยกันและทำให้มันสมบูรณ์แบบขึ้นจนได้
ถึงอย่างไรก็ไม่จำเป็นต้องรีบร้อน สิ่งที่เขายังอ่อนด้อยอยู่ในตอนนี้ไม่ใช่เทคนิคการต่อสู้ แต่เป็นระดับวรยุทธ ถ้าวรยุทธของเขายังมีระดับต่ำเกินไป ต่อให้มีเทคนิคการต่อสู้ที่ทรงพลังสักแค่ไหน ก็ยังไม่อาจเผชิญหน้ากับตระกูลจางและตระกูลหลัวได้อยู่ดี
“อือ ถ้าได้อย่างนั้นก็ดี อีก 3 วันนับจากนี้คุณควรจะพยายามทำความเข้าใจเคล็ดวิชาดวงตาสวรรค์แห่งเก้าพื้นดินเบื้องล่างให้ถ่องแท้เสียก่อน หากมีสิ่งใดที่ไม่เข้าใจ สอบถามผมได้เลย คุณจะไม่มีโอกาสได้คลี่คลายข้อสงสัยของตัวเองอีกเมื่อออกจากดินแดนแห่งนี้ไปแล้วในอีก 3 วันข้างหน้า” นักปราชญ์ขุยพยักหน้า
“ขอบคุณผู้อาวุโส!” จางเซวียนตอบก่อนจะทรุดตัวลงนั่งกับพื้น
ขณะที่เขาจับจ้องถ้อยคำที่อยู่กลางอากาศ สมาธิของเขาก็ดำดิ่งอยู่กับอยู่กับหัวสมองเพื่อพยายามจดจำทุกถ้อยคำที่เกี่ยวข้องกับเคล็ดวิชานี้ให้เป็นที่เข้าใจ
มีข้อบกพร่องอยู่มากกว่า 30 ข้อในศาสตร์แห่งดวงตาหยั่งรู้ และทุกข้อสร้างความบอบช้ำอย่างสาหัสให้กับร่างกาย
หลังจากศึกษาศาสตร์แห่งดวงตาหยั่งรู้อยู่ครู่หนึ่ง จางเซวียนก็กุมขมับอย่างจนปัญญา
ไม่ใช่เพราะไม่อยากฝึกฝน แต่มันมีข้อบกพร่องอยู่มากเกินไป คนรักความสมบูรณ์แบบอย่างเขาจะกล้ำกลืนของแบบนี้ลงไปได้อย่างไรกัน?
ถ้าเขาบีบบังคับตัวเองให้ฝึกฝนวรยุทธนี้ คงตายเพราะความอึดอัดใจเสียก่อนที่จะได้ทำอย่างอื่น
เมื่อเห็นจางเซวียนหยุดอยู่ชั่วขณะ นักปราชญ์ขุยถามพร้อมกับยิ้มอย่างอ่อนโยน “เป็นอย่างไรบ้าง มีอะไรที่เกี่ยวข้องกับเคล็ดวิชาดวงตาสวรรค์แห่งเก้าพื้นดินเบื้องล่างที่ทําให้คุณสับสนหรือเปล่า ผมช่วยคลี่คลายข้อสงสัยของคุณได้นะ!”
รู้ดีว่านักปราชญ์ขุยถามด้วยความปรารถนาดี จางเซวียนลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะส่ายหัว “มีอยู่ 2-3 อย่างที่ทำให้ผมสับสน แต่ไม่เป็นไร ผมไม่คิดว่าคุณจะแก้ไขเรื่องนั้นได้หรอก”
ไม่ใช่เพราะเขาประมาทความสามารถของนักปราชญ์ขุย แต่ดูเหมือนว่า แม้แต่นักปราชญ์โบราณโป๋ช่างเองก็ไม่น่าจะแก้ไขข้อสงสัยของเขาได้ เพราะไม่อย่างนั้น เขาคงไม่ต้องลงเอยด้วยการที่ต้องตาบอด
“คุณกำลังจะบอกว่าผมคลี่คลายข้อสงสัยให้คุณไม่ได้อย่างนั้นหรือ?” นักปราชญ์ขุยขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจ “ผมใช้เวลาหลายร้อยปีฝึกฝนเคล็ดวิชานี้จนเข้าถึงขั้นที่ 2 แล้ว ตราบใดที่เป็นปัญหาเกี่ยวกับการฝึกฝนวรยุทธ ผมแน่ใจว่าผมตอบได้”
เขารู้ว่าชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้ามีทักษะการหยั่งรู้อันน่าทึ่ง มองเห็นแม้แต่ข้อบกพร่องของศาสตร์แห่งดวงตาหยั่งรู้ทันทีที่เพ่งดู แต่ตัวเขาเองก็ได้ฝึกฝนเทคนิคนี้มาหลายปีแล้ว แถมยังเป็นนักรบผู้ทรงพลังด้วย เขามั่นใจว่าด้วยความเข้าใจอันลึกซึ้งในเทคนิคการต่อสู้ที่มีอยู่ เขาน่าจะตอบทุกคำถามที่ชายหนุ่มสงสัยได้
“คุณแน่ใจว่าคุณจะตอบได้อย่างนั้นหรือ?” เห็นความมั่นใจของนักปราชญ์ขุย จางเซวียนหันมามองและยิ้มอ่อน “เอาล่ะ ผมมี 2-3 คำถามที่อยากได้คำตอบ และจะสำนึกในบุญคุณของคุณมากหากคุณตอบได้ ข้อแรก ในการจ้องมองเทพเจ้าและปีศาจนั้น รูปร่างของเทพเจ้าและปีศาจเป็นอย่างไร? หากมันขึ้นอยู่กับแนวคิดส่วนตัวของบุคคลผู้นั้น จะมิส่งผลกระทบต่อศาสตร์แห่งดวงตาหยั่งรู้หรือ?”
“เอ่อ” นักปราชญ์ขุยชะงักไปทันทีกับคำถามนั้น
ในโลกใบนี้ ไม่มีใครเคยเห็นเทพเจ้าหรือปีศาจที่แท้จริงมาก่อน จึงเป็นธรรมดาที่ทั้งเทพเจ้าและปีศาจจะเป็นสิ่งที่มนุษย์ใช้จินตนาการสร้างขึ้น
อันที่จริง เมื่อไรก็ตามที่นักปราชญ์ขุยฝึกฝนเทคนิคนี้ เขาจะนึกภาพการนองเลือดและการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์โดยสัญชาตญาณ ตั้งใจใช้รังสีที่เป็นเจตนาสังหารเข้าแทนที่แนวคิดของเทพเจ้าและปีศาจเพื่อสร้างความหวาดกลัวขึ้นในจิตใจของคู่ต่อสู้
ขณะที่นักปราชญ์ขุยกำลังจะเปิดเผยกรรมวิธีของเขา ชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าก็พูดขึ้นอีกครั้ง “ถ้าสิ่งที่เรากำลังจะจินตนาการเป็นเพียงการสังหารโดยทั่วไป เมื่อเจตนาสังหารเกิดขึ้นในดวงตาและจิตใต้สำนึกแล้ว คนคนนั้นจะต่างอะไรกับเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่น? อีกอย่าง ปีศาจและเทพเจ้า ควรจะดำรงอยู่เพื่อความยิ่งใหญ่และอำนาจ ไม่ใช่เพื่อการสังหาร หากเราใช้การสังหารเข้าแทนที่แนวคิดของความยิ่งใหญ่และอำนาจ จะไม่กลายเป็นการตีความเทคนิคนี้อย่างผิดๆ หรือ?”
นักปราชญ์ขุยหน้าซีดเมื่อได้ยินคำนั้น
ก็จริง ผลจากการใช้แนวคิดเรื่องการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์และการนองเลือดทำให้มีบางช่วงเวลาที่เขารู้สึกว่าไม่อาจควบคุมเจตนาสังหารภายในใจเอาไว้ได้ และเขาก็มุ่งหน้าไปยังอาณาจักรใต้ดินเพื่อสังหารบรรดาเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นเพื่อระบายอารมณ์ของเขา
ในอีกแง่หนึ่ง การใช้การสังหารเพื่อเข้าแทนที่แนวคิดเรื่องปีศาจและเทพเจ้านั้นจะแปรเปลี่ยนเทคนิคนี้ให้กลายเป็นศาสตร์อันน่าสะพรึง ซึ่งขัดแย้งกับจุดยืนและความเชื่อของเหล่าปรมาจารย์
“คำถามข้อที่ 2 ของผม!” เห็นนักปราชญ์ขุยตอบคำถามแรกไม่ได้ จางเซวียนตัดสินใจพูดต่อ “การจ้องมองเทพเจ้าและปีศาจนั้นใช้ดวงตาของผู้ฝึกฝนวิชาเป็นสื่อกลางเพื่อโจมตีจิตวิญญาณของผู้อื่น เมื่อการโจมตีเข้าถึงเป้าหมายแล้ว ผู้นั้นจะต้องซึมซับเอาพลังจิตวิญญาณของเป้าหมายเข้ามาเพื่อล็อกการโจมตีให้ตรงเข้าสู่จิตวิญญาณต้นกำเนิดของผู้นั้น แต่ว่าหากเป้าหมายรู้ตัวว่าจะมีการใช้เทคนิคนี้ พวกเขาก็อาจใช้มันเป็นโอกาสในการนำพลังจิตวิญญาณออกมาใช้ หรือหากถอยไปก้าวหนึ่ง ต่อให้เป้าหมายไม่รู้จุดอ่อนข้อนี้ แต่หากจิตวิญญาณต้นกำเนิดของเขาแข็งแกร่งกว่าผู้สำแดงเคล็ดวิชา การโจมตีนั้นก็อาจสร้างความบอบช้ำให้กับตัวผู้สำแดงเคล็ดวิชาได้!”
นักปราชญ์ขุยเงียบกริบ พูดอะไรไม่ออก
นี่เป็นข้อบกพร่องอีกข้อหนึ่งของการจ้องมองเทพเจ้าและปีศาจ ซึ่งแม้แต่ท่านอาจารย์ของเขาและนักปราชญ์โบราณโป๋ช่างก็ไม่สามารถแก้ไขได้
แต่ถึงแม้จะมีจุดอ่อนข้อนี้อยู่ แต่ด้วยความว่องไวรวดเร็วของการต่อสู้ จึงมีคนจำนวนน้อยมากที่รับรู้และถือเอาเป็นโอกาสตอบโต้
ดังนั้น จึงไม่อาจเรียกว่าเป็นข้อบกพร่องที่ใหญ่โตนัก
แต่เมื่ออีกฝ่ายชี้ให้เห็นแล้ว ก็คงจะไม่ถูกต้องหากจะบอกว่ามันเป็นข้อบกพร่องที่มองข้ามได้
“คำถามข้อ 3 ในการฝึกฝนขั้นความแค้นของอสูร ผู้นั้นจะต้องใช้เปลวเพลิงเพื่อหลอมดวงตาของตัวเอง และใช้น้ำแข็งเย็นเยือกเพื่อบ่มเพาะมัน ด้วยการปะทะกันของความร้อนและความเย็น ผู้นั้นจะต้องสร้างสมดุลระหว่างทั้งคู่ให้ได้ ซึ่งเกี่ยวข้องกับธรรมชาติของโลก แต่ทั้งนี้ เมื่อ 2 พลังที่ตรงข้ามกันสามารถสร้างความแข็งแกร่งให้กับแผนที่ค่ายกลและเสริมพละกำลังให้กับเส้นสายของการหยั่งรู้ มันก็จะกดข่มความเข้มแข็งของจิตวิญญาณลงไป มีสภาพเหมือนฉนวน สิ่งนี้จะทำให้จิตวิญญาณต้นกำเนิดของผู้สำแดงเคล็ดวิชาอ่อนแอลงไปกว่าเดิม”
“คำถามข้อ 4”
จางเซวียนถามคำถามของเขาคำถามแล้วคำถามเล่า
เมื่อแต่ละคำถามจบลง ใบหน้าของนักปราชญ์ขุยก็ซีดลงไปเรื่อยๆ เมื่อถึงคำถามข้อ 10 ร่างของเขาก็แทบจะทรุด ดูเหมือนพร้อมจะหายตัวไปได้ทุกขณะ
ถึงตอนนี้ เขาไม่ตกตะลึงอีกแล้ว แต่เกิดความพรั่นพรึงขึ้นมาแทน
ถึงเคล็ดวิชาดวงตาสวรรค์แห่งเก้าพื้นดินเบื้องล่างจะถูกคิดค้นขึ้นโดยท่านอาจารย์ของเขา แต่ก็ย่อมหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องมีข้อบกพร่อง ซึ่งภายใต้สถานการณ์ปกติ ข้อบกพร่องเหล่านี้เป็นสิ่งที่แทบมองไม่เห็น จึงไม่ได้สร้างปัญหามากมายในการสำแดงเทคนิคนั้นออกมา
แต่ด้วยการมองเพียงแวบเดียว ชายหนุ่มก็สามารถชี้ข้อบกพร่องออกมาได้ทั้งหมด โดยร่ายยาวทีละข้ออย่างแม่นยำ หากชายหนุ่มเป็นศัตรูของเขา ด้วยความรู้ที่มี หมอนี่ก็คงเอาชนะศาสตร์แห่งดวงตาหยั่งรู้ได้อย่างง่ายดายและทำให้เขาหมดหนทางได้ตั้งแต่กระบวนท่าแรก!
ความรู้สึกนี้ทำให้นักปราชญ์ขุยตกใจจนเหงื่อซึม
เขาคิดว่าหลังจากที่ได้ร่ำเรียนวิชานี้แล้ว คงแทบไม่มีใครในโลกใบนี้ที่สามารถเทียบชั้นกับเขาได้ ไม่ว่าจะเป็นในการดวลครั้งไหนๆ ขอแค่เขาสำแดงศาสตร์แห่งดวงตาหยั่งรู้ออกมา ก็แน่นอนว่าจะต้องได้ชัยชนะ
แต่เมื่อได้ยินคำพูดของชายหนุ่ม ก็รู้ทันทีว่าเหตุผลที่เขายังคงเป็นหนึ่งอยู่ได้มาเป็นระยะเวลานานก็เพราะยังไม่เคยปะทะกับผู้เชี่ยวชาญตัวจริง หากเขาพบเจอกับศัตรูที่มีความเชี่ยวชาญระดับชายหนุ่มคนนี้ ก็ยังเป็นคำถามอยู่ว่า ในตอนนี้เขาจะยังคงมีดวงตาหยั่งรู้อยู่กับตัวเองอีกหรือไม่
อย่างคำพูดที่ว่า “แม้นักว่ายน้ำที่เชี่ยวชาญที่สุดก็อาจจมน้ำตายได้” ความหลงตัวเองนั้น ในที่สุดก็จะย้อนกลับมาแว้งกัดตัวเอง
เขาระบุข้อบกพร่องได้มากมายด้วยการมองเพียงครั้งเดียว แล้วเราก็ยังพยายามเสนอที่จะให้คำชี้แนะกับเขา
นักปราชญ์ขุยตัวแข็งทื่อ เขาแน่นหน้าอกจนแทบจะพูดอะไรไม่ออก
เพิ่งเมื่อครู่นี้เองที่เขาประกาศอย่างมั่นใจว่าสามารถให้คำชี้แนะกับชายหนุ่มได้ แต่ทันทีที่ชายหนุ่มเริ่มตั้งคำถาม เขาก็พบว่าตัวเองตอบไม่ได้เลยสักข้อ
ตอนนี้ เขารู้สึกเหมือนอยากจะขุดหลุมลงไปฝังตัวเอง
“นี่คือคำถามข้อ 13 ของผม แต่ช่างมันเถอะ วันนี้ผมจะพอแค่นี้ ผู้อาวุโส คุณได้คิดใคร่ครวญคำตอบบ้างแล้วหรือยัง?”
เกิดความเงียบงันอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่ชายหนุ่มจะพูดต่อด้วยน้ำเสียงอบอุ่น “ไม่ต้องรีบหรอก ค่อยๆ ใช้เวลาใคร่ครวญก็ได้ ถึงอย่างไรเราก็ยังมีเวลาอีก 2 วันที่นี่ ตอนนี้ผมจะของีบสักหน่อย ปลุกผมได้เลยเมื่อคุณคิดออก แล้วผมจะได้ถามคำถามอื่นที่ยังเหลืออยู่”
“แค่ก แค่ก!” นักปราชญ์ขุยอ้าปากค้างขณะที่ร่างของเขาสั่นระริก
นี่ควรจะเป็นการทดสอบเพื่อคลี่คลายข้อสงสัย แต่ทำไมถึงดูเหมือนกับว่าชายหนุ่มกำลังประเมินเขาแทน?
ยิ่งไปกว่านั้น เขารู้ดีว่าไม่มีทางที่จะหาคำตอบที่เหมาะสมกับคำถามเหล่านั้นมาได้ อย่าว่าแต่ตัวเขา ต่อให้ท่านอาจารย์ของเขาก็ตอบไม่ได้ เพราะหากท่านอาจารย์ตอบได้ ก็คงจะแก้ไขเคล็ดวิชาดวงตาสวรรค์แห่งเก้าพื้นดินเบื้องล่างไปแล้ว
ไม่มีทางที่เขาจะตอบคำถามเหล่านั้นได้เลย ต่อให้ครุ่นคิดอยู่ถึง 2 ปีก็ตาม นับประสาอะไรกับ 2 วัน!
เหตุผลที่เขาทิ้งเศษเสี้ยวของเจตจำนงเอาไว้ก็เพื่อประเมินคนรุ่นหลัง แต่ตอนนี้ เขาพบว่าตัวเองเจอตอเข้าอย่างจัง
เจ้าปิศาจตนนี้มาจากไหนกัน?
หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะและตัดสินใจว่าไม่มีทางที่เขาจะตอบคำถามใดๆ ได้ นักปราชญ์ขุยก็หันกลับไปมองชายหนุ่มอย่างจนปัญญา แต่สิ่งที่เขาเห็นคือชายหนุ่มกำลังหลับสนิทอยู่บนพื้น น้ำลายไหลยืดออกมาจากปากที่อ้าอยู่ มีรอยยิ้มอยู่บนใบหน้าของเขา ราวกับกำลังฝันดี
“ใครเป็นหัวหน้าปูชนียสถานคนแรกกันแน่ คุณหรือผม?”
นักปราชญ์ขุยรู้สึกหน้ามืด ความขัดใจทำให้ร่างของเขาสั่นสะท้านไม่หยุด ดูเหมือนพร้อมจะเสื่อมสลายไปได้ทุกขณะ