ตอนที่ 1301 การนอนหลับคือทักษะสำคัญ
“โว้ยยยย เลวทรามที่สุด!” จางเฉี่ยนสบถกับตัวเองอย่างดุเดือด เขาได้แสดงความสามารถที่เกินขีดจำกัดของตัวเองแล้วในการทดสอบ และคิดว่าคงจะทำให้ตำแหน่งของตัวเองสูงขึ้น แต่แล้วกลับตรงกันข้ามกับความคาดหมาย เขาไม่ติด 50 อันดับแรก ไม่เพียงเท่านั้น บาดแผลของเขายังเจ็บลึกขึ้นไปอีกเมื่อเจ้าสารเลวจางเซวียนคนนั้นได้อันดับที่ 50 เขี่ยเขาออกจากโซนหัวกะทิ
เขาเคยคิดว่าอำนาจที่เขาจะได้รับจากการได้เข้าสู่โซนหัวกะทิจะทำให้เขาสั่งสอนบทเรียนให้กับหมอนั่นได้ แต่ราวกับสวรรค์เล่นตลก สถานการณ์ตอนนี้เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง
“พี่อวิ๋นเฟิง ไอ้จางเซวียนคนนั้นแหละที่มันหาเรื่องผม แถมยังเป็นคนเดียวกันกับที่เขี่ยผมออกจาก 50 อันดับแรกด้วย!” จางเฉี่ยนกำหมัดแน่นและรำพึงอย่างโกรธเกรี้ยวกับชายหนุ่มคนหนึ่งที่อยู่ไม่ห่างออกไปนัก
จางอวิ๋นเฟิงเป็นผู้เข้าแข่งขันอีกคนหนึ่งจากตระกูลจางที่มีคุณสมบัติเพียงพอได้เข้าสู่โซนหัวกะทิ โดยอยู่ในอันดับที่ 46
“ผมรู้ แต่คุณก็ทำตัวเองนะ” จางอวิ๋นเฟิงมองหน้าจางเฉี่ยนและพึมพำอย่างเฉยเมย “แม้แต่ผมยังลังเลที่จะเข้าหากลุ่มคนจากศาลาว่าการที่ราบธารน้ำแข็ง แต่คุณกลับพรวดพราดเข้าไปทันทีที่มาถึง อยากจะประจบประแจงพวกนั้น คุณก็สร้างปัญหาเองนี่นา!”
“ผมยอมรับว่าผมหยิ่งผยองเกินไปและสมควรที่จะถูกหยามหน้า แต่หมอนั่นแสดงเจตนาร้ายต่อตระกูลจางออกมาในที่สาธารณะ ถึงกับพูดว่าคนจะตระกูลจางมักจะเข้าไปจุ้นจ้านในกิจการใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับบรรดาสาวสวย และคุณคงนึกภาพไม่ออกหรอกว่าเขาใช้น้ำเสียงแบบไหนตอนที่พูดถ้อยคำพวกนั้นออกมา เราจะปล่อยให้หมอนั่นทำลายชื่อเสียงของตระกูลจางง่ายๆ แบบนี้ไม่ได้!” จางเฉี่ยนอุทธรณ์อย่างไม่พอใจ
“อย่ามาใช้ลูกไม้ตื้นๆ ของคุณกับผมเลย ไม่ว่าเขาจะแสดงเจตนาร้ายต่อตระกูลจางหรือไม่ แต่เขาก็กล้าพอที่จะโจมตีคุณแม้แต่หลังจากที่คุณเปิดเผยตัวตนของตัวเองแล้ว ไม่ต้องห่วงหรอก ผมจะสอนบทเรียนให้เขาทีหลัง และทำให้เขารู้ว่าความปราดเปรื่องเพียงเล็กน้อยที่เขามีนั้นไม่อาจนำมาใช้ได้ในปูชนียสถานนักปราชญ์!”
“ขอบคุณมาก พี่อวิ๋นเฟิง!” เมื่อได้ยินว่าอีกฝ่ายเต็มใจจะล้างแค้นให้ จางเฉี่ยนตาโตด้วยความตื่นเต้น
สายเลือดของจางอวิ๋นเฟิงนั้นบริสุทธิ์กว่าเขามาก อยู่ในขั้น 1 ยิ่งไปกว่านั้น ระดับวรยุทธของอีกฝ่ายก็ยังสูงกว่าเขา เข้าถึงขั้นสุดยอดการควบคุมขั้นต้นแล้ว ถ้าอีกฝ่ายเต็มใจจะออกรับแทนเขาล่ะก็ เจ้าหมอจางเซวียนจะต้องเดือดร้อนแน่
“อือ” จางอวิ๋นเฟิงตอบอย่างไม่รู้สึกรู้สาอะไร
สำหรับเขา เจ้าหนุ่มที่มีถิ่นฐานบ้านช่องมาจากดินแดนอันห่างไกล ถือเป็นเพียงสิ่งรบกวนเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น ไม่ได้ควรค่าแก่การใส่ใจแม้แต่นิดเดียว
…..
“ต่อไปละนะ นี่คือกลุ่มคนที่มีคุณสมบัติเพียงพอจะได้เข้าสู่โซนทั่วไป!” ผู้อาวุโสหลิวโบกมืออย่างวางมาดอีกครั้ง ไม่แยแสความตื่นเต้นของฝูงชน
เส้นสายสีเงินแผ่ลงมาจากท้องฟ้า รายชื่อปรากฏทีละชื่อ
ไม่ช้า ทั้ง 450 ชื่อที่ได้เข้าสู่โซนทั่วไปก็ปรากฏ หลังจากแน่ใจว่ามีชื่อของจางจิ่วเซี่ยวอยู่ในกลุ่มคนเหล่านั้นแล้ว จางเซวียนก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก
อันดับของจางจิ่วเซี่ยวนั้นไม่สูงนัก อยู่ที่ 460 แต่ถึงอย่างไร สิ่งสำคัญก็คือเขาได้ผ่านการทดสอบและได้เป็นนักเรียนของปูชนียสถานนักปราชญ์เรียบร้อยแล้ว
ส่วนคนอื่นๆ ที่เดินทางมาด้วยกันจากจักรวรรดิเฉียนฉงนั้น หม่าหมิงไห่กับอีก 6 คนผ่านการทดสอบเช่นกัน แม้อันดับของพวกเขาจะไม่ดีนัก แต่โดยรวมแล้วก็ถือว่าผ่านไปได้อย่างน่าพอใจ
หลังจากเปิดเผยรายชื่อของนักเรียนที่เข้าสู่โซนทั่วไปแล้ว ผู้อาวุโสหลิวพูดต่อ “หลังจากนี้ ผมจะประกาศรายชื่อผู้ที่มีคุณสมบัติได้เป็นนักเรียนผู้สังเกตการณ์!”
จากนั้นเขาก็โบกมือ แล้วอีก 500 รายชื่อก็ปรากฏ
เมื่อรวมแล้ว ปูชนียสถานนักปราชญ์มีนักเรียนทั้งหมด 500 คนซึ่งรวมทั้งโซนหัวกะทิและโซนทั่วไป และอีก 500 คนซึ่งเป็นนักเรียนผู้สังเกตการณ์
ทันทีที่รายชื่อของนักเรียนผู้สังเกตการณ์ทั้ง 500 คนปรากฏขึ้น ก็มีเสียงของความตื่นเต้นและความผิดหวังพึมพำไปทั่วกลุ่มฝูงชน
จางเซวียนมองรายชื่อของนักเรียนผู้สังเกตการณ์ และรับรู้ได้ว่ามี 4 คนที่มาจากจักรวรรดิเฉียนฉง รวมแล้ว 11 คนจาก 33 คนในหมู่พวกเขาได้เข้าสู่ปูชนียสถานนักปราชญ์ ถือเป็นอัตราส่วน 1 ใน 3 เมื่อเทียบกับปีก่อนๆ ก็ถือว่าไม่เลวนัก
ผู้อาวุโสหลิวโบกมืออีกครั้งแล้วพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ผู้ที่มีรายชื่ออยู่ในรายการเหล่านี้ ให้อยู่ตรงนี้ก่อน ส่วนคนที่เหลือไปพักผ่อนได้!”
ถึงน้ำเสียงของผู้อาวุโสหลิวจะสุภาพ แต่ความทรงอำนาจในน้ำเสียงของเขาก็บ่งบอกว่ามันคือคำสั่ง ไม่ใช่คำขอร้อง
ไม่ว่าเหล่าผู้เข้าแข่งขันที่พลาดหวังจะรู้สึกเสียใจสักแค่ไหน พวกเขาก็รู้ดีว่าคงจะเป็นการแสดงความโง่เง่าอย่างมากหากจะตั้งคำถามกับการตัดสินของผู้อาวุโสหลิว พวกเขาจึงได้แต่แยกย้ายกันออกไปด้วยความผิดหวัง
ถึงอย่างไร ปูชนียสถานนักปราชญ์ก็ไม่ใช่องค์กรการกุศล และธรรมชาติของการสอบเข้าก็คือเพื่อคัดเลือกผู้เชี่ยวชาญออกจากผู้ที่ไม่เชี่ยวชาญ ผลจึงต้องเป็นอย่างนี้โดยหลีกเลี่ยงไม่ได้ จะต้องมีทั้งผู้ที่ได้ไปต่อและผู้ที่ถูกคัดออก
ภายในไม่ถึง 10 นาที ก็มีเพียง 1,000 คนที่อยู่ในจัตุรัส
“อันดับแรก ผมขอต้อนรับพวกคุณเข้าสู่ปูชนียสถานนักปราชญ์” ผู้อาวุโสหลิวเคาะนิ้วไปตรงหน้าและตราสัญลักษณ์ก็ปรากฏในมือของผู้เข้ารับการทดสอบที่มีคุณสมบัติครบครัน “นี่คือตราหยกสัญลักษณ์ที่บ่งบอกตัวตนของพวกคุณ มันจะอธิบายสิ่งที่คุณควรทำในฐานะนักเรียนของปูชนียสถานนักปราชญ์โดยอัตโนมัติ”
จางเซวียนมองตราหยกของเขาก่อนจะชำเลืองมองไปรอบๆ
ตราหยกสัญลักษณ์ของนักเรียนผู้สังเกตการณ์เป็นสีฟ้าอ่อน ของนักเรียนโซนทั่วไปเป็นสีเหลืองอ่อน และของนักเรียนโซนหัวกะทิอย่างเขาเป็นสีดำ
เมื่อตรวจสอบตราสัญลักษณ์ของเขาอย่างถี่ถ้วน ก็พบว่ามีตัวอักษรคำว่า ‘นักปราชญ์’ สลักไว้ มันแผ่รังสีของความโบร่ำโบราณและประวัติศาสตร์อันยิ่งใหญ่ออกมา ยังมีอักษรจารึกเบ็ดเตล็ดอยู่ด้านข้างตราสัญลักษณ์ มีลักษณะเหมือนกับดวงตาของมนุษย์ ราวกับจะบ่งบอกว่าเหล่าบรรพบุรุษกำลังจับตามองพวกเขาอยู่
ด้วยการกระดิกนิ้ว จางเซวียนหยดเลือดหยดหนึ่งลงไปบนตราหยกสัญลักษณ์ มันซึมเข้าไปทันที เขารู้สึกได้โดยสัญชาตญาณว่าตราบใดที่มีตราหยกอยู่กับตัว ก็สามารถจะเดินไปทั่วพื้นที่ของปูชนียสถานนักปราชญ์ที่เต็มไปด้วยค่ายกลได้อย่างสบายโดยไม่เป็นการเปิดการใช้งานพวกมัน
ในเวลาเดียวกัน จางจิ่วเซี่ยวก็แสดงความเป็นเจ้าของกับตราหยกในมือของเขา ความภาคภูมิใจที่ปรากฏบนใบหน้าของเขานั้นยากที่จะไม่พูดถึงได้
ในฐานะทายาทของครอบครัวสาขา เขาไม่ได้รับการยกย่องมากมายนักจากตระกูลจาง แต่ด้วยความสำเร็จในการเข้าสู่ปูชนียสถานนักปราชญ์ สถานภาพของเขาจะเกิดการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่
“บางที ปีนี้เราอาจจะได้เข้าร่วมการประชุมประจำปีก็ได้!” จางจิ่วเซี่ยวคิด นัยน์ตาเป็นประกายด้วยความตื่นเต้น
ในแต่ละปี ตระกูลจางจะจัดการประชุมประจำปีขึ้น มีแต่สมาชิกฝ่ายในและสมาชิกที่ประสบความสำเร็จจากครอบครัวสาขาเท่านั้นถึงจะได้รับเชิญให้เข้าร่วม ภายใต้สถานการณ์ปกติ จางจิ่วเซี่ยวไม่ได้มีคุณค่าพอที่จะได้รับคำเชิญ แต่ตอนนี้เขากลายเป็นนักเรียนของปูชนียสถานนักปราชญ์แล้ว สถานภาพภายในตระกูลจางของเขาจะพุ่งขึ้นสู่อีกระดับหนึ่ง ด้วยสถานภาพใหม่นี้ เขาย่อมมีคุณสมบัติเพียงพอที่จะได้เข้าร่วมการประชุมกับสมาชิกในตระกูลที่มีระดับขั้นสูงกว่า
“ทั้งหมดนี้ต้องขอขอบคุณปรมาจารย์จาง!” รู้ดีว่าตัวเองไม่มีวันมาถึงจุดนี้หากไม่ได้ความช่วยเหลือจากจางเซวียน จางจิ่วเซี่ยวหันไปมองอีกฝ่ายอย่างสำนึกในบุญคุณ
แม้เขาจะเป็นทายาทของตระกูลจาง แต่ตระกูลจางก็ไม่ได้ให้คำชี้แนะมากนักในเรื่องวรยุทธ รวมทั้งการพัฒนาตัวเองในฐานะปรมาจารย์ด้วย แต่เป็นจางเซวียนที่ตั้งอกตั้งใจให้คำชี้แนะเขาอย่างไม่หยุดหย่อน ไม่ถือสาแม้แต่ทีท่าเป็นปฏิปักษ์ที่เขาเคยมีต่ออีกฝ่ายในตอนแรกๆ เขาไม่มีความรู้สึกอื่นใดนอกจากความเคารพอย่างจริงใจในบุคลิกและความรู้อันลึกซึ้งของชายหนุ่มคนนี้
เสียงของผู้อาวุโสหลิวดังขึ้นอีกครั้งหนึ่ง “การสอบเข้าอาจสิ้นสุดลงแล้ว แต่ผมยังมองเห็นความผิดหวังและความเสียใจในดวงตาของพวกคุณหลายคน ดังนั้น ทางปูชนียสถานนักปราชญ์จึงจะขอจัดการท้าทายของผู้พ่ายแพ้ขึ้น เพื่อมอบโอกาสสุดท้ายให้กับคนที่อยากจะเลื่อนอันดับของตัวเอง!”
“เยี่ยมเลย! ทั้งหมดที่ผมต้องการก็คือโอกาสนี้แหละ!”
“เอาจริงๆ สิ? การท้าทายของผู้พ่ายแพ้แทบจะไม่เคยได้จัดขึ้นเลยนะ ใครจะมาคิดว่าครั้งนี้พวกเราจะมีโอกาส คราวนี้ล่ะ ผมจะต้องได้เป็นนักเรียนของปูชนียสถานนักปราชญ์อย่างเป็นทางการ ไม่ว่าด้วยเล่ห์หรือด้วยกลก็ตาม!”
เมื่อได้ยินเสียงประกาศนั้น นัยน์ตาของผู้เข้าแข่งขันก็พลันเบิกโพลงด้วยความตื่นเต้น
แม้จะไม่ใช่เรื่องธรรมดานักที่จะมีการจัดการท้าทายของผู้พ่ายแพ้ แต่ก็เคยมีอยู่ 2-3 ครั้งในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา ดังนั้นผู้เข้าแข่งขันส่วนใหญ่จึงพอจะรู้จักอยู่บ้าง
“กติกาของการท้าทายของผู้พ่ายแพ้นั้นง่ายดายมาก นักเรียนผู้เข้าสังเกตการณ์จะมีโอกาสเข้าท้าทายนักเรียนของโซนทั่วไป และหากได้รับชัยชนะก็จะได้เข้าแทนที่ตำแหน่งของนักเรียนคนนั้น เช่นเดียวกัน นักเรียนในโซนทั่วไปจะได้รับโอกาสให้เข้าท้าทายนักเรียนในโซนหัวกะทิ และสามารถเข้าแทนที่ผู้นั้นได้หากได้ชัยชนะ ทุกคนจะมีโอกาส 1 ครั้งในการเลือกผู้ที่จะเข้าท้าทาย และผู้ที่พ่ายแพ้จะต้องได้รับโทษ” ผู้อาวุโสหลิวประกาศ
“ผมเชื่อว่าพวกคุณส่วนใหญ่คงจะคุ้นเคยกับกติกานี้ดี จึงไม่ขออธิบายอะไรมากมาย สำหรับคนที่ยังมีข้อสงสัยอีกเล็กน้อย ให้ศึกษาจากตราสัญลักษณ์ที่คุณเพิ่งได้รับไป”
“ศึกษาจากตราสัญลักษณ์?”
จางเซวียนใช้การรับรู้จิตวิญญาณเพ่งเข้าไปในตราหยกสัญลักษณ์ในมือของเขา และกฎเกณฑ์มากมายของปูชนียสถานนักปราชญ์ก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า มีในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการท้าทายของผู้พ่ายแพ้ด้วย
การท้าทายนี้จัดขึ้นเพื่อโอกาสของความชอบธรรม ผู้แข็งแกร่งกว่าจะได้รับตำแหน่งที่สูงขึ้น ขณะที่ผู้อ่อนแอกว่าจะต้องถูกกำจัดออก หรือในอีกด้านหนึ่ง ผู้อยู่รอดคือผู้ที่แข็งแกร่งที่สุด
แต่ถึงอย่างนั้น การเข้าท้าทายผู้ที่เป็นรุ่นพี่ก็ถือเป็นการแสดงความไม่เคารพอย่างสูง ดังนั้นความล้มเหลวจึงหมายถึงการถูกลงโทษ
การถูกลงโทษนั้นมีหลายแบบ ตั้งแต่การจ่ายค่าชดเชย การถูกลงโทษทางร่างกาย การแสดงคำขอโทษต่อสาธารณะ โดยฝ่ายผู้ชนะจะเป็นผู้เลือก
ในอีกแง่หนึ่ง ถึงแม้จะเป็นโอกาสให้ผู้เข้าแข่งขันที่อ่อนแอกว่าสามารถขยับตำแหน่งของตัวเองได้ แต่พวกเขาก็ต้องแน่ใจด้วยว่าสิ่งที่เลือกทำลงไปจะไม่เกินกำลังของตัวเอง
“เริ่มได้!” ผู้อาวุโสหลิวโบกมือและตวาดก้อง จากนั้นสังเวียนรูปกลมก็ปรากฏขึ้นบนพื้น
ส่วนอีกด้านหนึ่ง ฝูงชนก็มองหารายชื่อก่อนหน้านี้เพื่อตัดสินใจว่าจะเข้าท้าทายใคร
“ผมขอเข้าท้าทายผู้ที่ได้อันดับที่ 500 ในการทดสอบ ซเวหนิง!” เสียงหนึ่งดังขึ้นจากฝูงชน
เสียงนั้นมาจากนักเรียนผู้สังเกตการณ์
“ผมจำได้ เขาคือจ้าวฉี ผู้ที่ได้อันดับแรกของนักเรียนผู้สังเกตการณ์ คืออันดับที่ 501 ในการทดสอบ เขาคงอยากเข้าท้าทายผู้เข้าแข่งขันที่มีอันดับสูงกว่าเขาเพียงอันดับเดียว!”
“นั่นก็พอคาดเดาได้ ในเมื่อทั้งคู่ห่างกันเพียง 1 อันดับ ความเหลื่อมล้ำก็คงไม่มากเกินไป ถึงอย่างไรเขาก็ต้องทดลอง ไม่อย่างนั้นก็จะต้องเสียใจไปชั่วชีวิต”
“จริงด้วย ใครก็ตามที่อยู่ในตำแหน่งเดียวกับเขาคงไม่เต็มใจจะล้มเลิกโดยที่ยังไม่ได้พยายามหรอก!”
…..
ฝูงชนพากันตั้งข้อสังเกตเมื่อเห็นผู้เข้าแข่งขันบางส่วนก้าวเข้าสู่การท้าทาย
ทั้งคู่ห่างกันเพียง 1 อันดับ แต่มันก่อเกิดความแตกต่างอย่างมากมายระหว่างการเป็นนักเรียนผู้สังเกตการณ์กับการเป็นนักเรียนในโซนทั่วไปของปูชนียสถานนักปราชญ์
ไม่ว่าใครที่อยู่ในสถานภาพแบบจ้าวฉี อย่างน้อยก็จะต้องขอลอง จะให้ใครคนหนึ่งพอใจได้อย่างไรในเมื่ออีกเพียงก้าวเดียวก็จะได้ขึ้นสู่จุดสูงสุดแล้ว
ฟึ่บ!
หลังจากประกาศการท้าทาย จ้าวฉีก็กระโดดเข้าสังเวียน
“จัดให้”
ชายหนุ่มอีกคนหนึ่งเดินออกมาจากฝูงชนและก้าวขึ้นสู่สังเวียนเช่นกัน
เมื่อมองใกล้ๆ จางเซวียนก็จดจำได้ว่าชายหนุ่มคนนั้นไม่ใช่ใครอื่นนอกจากคนที่เคยสู้กับเขาเพื่อไวน์เถียนเฉินเมื่อครั้งยังอยู่ในจักรวรรดิเฉียนฉง และต้องเสียหินวิเศษขั้นสูงแบบเข้มข้นเป็นพิเศษให้เขาจำนวน 15 ก้อน, นายน้อยที่ 3 แห่งตระกูลซเว, ซเวหนิง!
ในการดวลครั้งนั้น อีกฝ่ายลงเอยด้วยการอาเจียนออกมาหลังจากที่เคลื่อนไหวเร็วเกินไป และต้องถูกเย้ยหยันจากผู้คนมากมายจากเหตุการณ์ครั้งนั้น
แต่ตลอด 2-3 วันที่ผ่านมา อาจเป็นเพราะแรงบันดาลใจที่ได้รับจากประสบการณ์ในการต่อสู้กับจางเซวียน เขาสามารถเลื่อนระดับวรยุทธของตัวเองจนได้เป็นนักรบเสี้ยวการละทิ้งช่องว่าง
แม้ความแข็งแกร่งระดับนั้นจะไม่ได้มีความหมายอะไรมากมายสำหรับอัจฉริยะผู้ปราดเปรื่องของปูชนียสถานนักปราชญ์ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเขาก็เป็นหนึ่งในนักรบชั้นนำ
“ซเวหนิง คุณได้เจอกับการทดสอบแบบไหนในการทดสอบประตูขุนเขา? การดวลชนิดไหนที่คุณคิดจะใช้กับจ้าวฉี?” ผู้อาวุโสหานซูตั้งคำถาม
ปูชนียสถานนักปราชญ์ไม่ได้คัดเลือกนักเรียนบนพื้นฐานของความแข็งแกร่ง แต่เป็นการประเมินความสามารถโดยรวม ด้วยเหตุนี้เหล่าผู้เข้าท้าทายจึงต้องเข้าท้าทายในด้านที่อีกฝ่ายถนัดเพื่อพิสูจน์ว่าเขาควรค่าพอที่จะได้แทนที่อีกฝ่ายหรือไม่
“เหตุผลที่ผมผ่านการทดสอบมาได้ก็เพราะการโจมตีอันรวดเร็วและรุนแรง ตราบใดที่เขาสามารถเอาชนะผมได้โดยกดข่มระดับวรยุทธให้เท่ากับผม ผมก็จะยอมแพ้!” ซเวหนิงเชิดหน้าประกาศอย่างมั่นใจ
แม้ตระกูลซเวจะเป็นเพียงตระกูลขั้น 3 แต่เทคนิคขั้นสุดยอด คือเคล็ดวิชาด้ายไหมทองคำนั้นก็ไม่อาจประมาทได้
ถ้าเขาไม่ได้พบกับคนพิลึกพิลั่นอย่างจางเซวียน เทคนิคนั้นก็คงจะทำให้เขากลายเป็นผู้ไร้เทียมทาน ในระดับขั้นของตัวเองไปแล้ว
ไม่อย่างนั้น เขาคงไม่อาจผ่านการทดสอบประตูขุนเขาและกลายเป็นนักเรียนของปูชนียสถานนักปราชญ์ได้
“การดวลหรือ? เยี่ยมเลย!” จ้าวฉีพยักหน้า เขาคำรามก้อง แล้วระดับวรยุทธก็ลดลงมาจนเหลือแค่เสี้ยวการละทิ้งช่องว่าง
ฟึ่บ!
ครู่ต่อมา ทั้งคู่ก็พร้อมปะทะกัน
กล่าวได้ว่าทั้งสองคนควรคู่กับคำว่าอัจฉริยะ ต่างหลบหลีกการโจมตีกันไปมา คลื่นความสั่นสะเทือนแผ่ออกไปโดยรอบ เมื่อเวลาผ่านไป ทั้งคู่ก็ยังสูสีกันอยู่ ทำให้ยากที่จะระบุว่าใครถือไพ่เหนือกว่า
“ปรมาจารย์จาง คุณคิดว่าใครจะชนะ?” จางจิ่วเซี่ยวถามด้วยความอยากรู้
“ซเวหนิงน่าจะได้เปรียบในแง่ทักษะของเขา” จางเซวียนตอบ
“คิดเหมือนผมเลย!” จางจิ่วเซี่ยวตั้งข้อสังเกต จากนั้นเขาก็หันมามองจางเซวียนและถามด้วยความอยากรู้อีกครั้ง “พูดก็พูดเถอะ ปรมาจารย์จาง คุณพบกับการทดสอบชนิดไหนในการทดสอบประตูขุนเขาน่ะ ผมอยากรู้เหลือเกินว่าคุณเข้าสู่โซนหัวกะทิได้อย่างไร!”
ชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าเขาดูจะเชี่ยวชาญในทุกด้าน ทั้งในแง่ของวรยุทธ ความเป็นปรมาจารย์ การตรวจสอบสมบัติ การวาดรูป…ดูเหมือนจะไม่มีอะไรสักอย่างที่เขาไม่รู้ ไม่มีสักอย่างที่เขาไม่เชี่ยวชาญ
ด้วยเหตุนี้ จางจิ่วเซี่ยวจึงอดสงสัยไม่ได้ว่าความสามารถชนิดไหนที่จางเซวียนต้องเข้ารับการทดสอบเพื่อเข้าสู่โซนหัวกะทิ
“ผมเข้าสู่โซนหัวกะทิได้อย่างไรน่ะหรือ?” จางเซวียนมีสีหน้าครุ่นคิดก่อนจะตอบ
“เอ่อ ผมว่าผมหลับอะนะ?”